แปลจากเรื่อง Allan Quatermain ของ SIR HENRY RIDER HAGGARD
บทที่ ๑๓
ชาวเมืองซู-เวนดิ
แล้วตอนนี้ม่านก็ปิดลงมาสองสามชั่วโมง ตัวละครในนิยายเรื่องนี้ต่างนอนหลับอย่างสดชื่น บางทีต้องละเว้นนางพญาไนเรพธาเสียพระองค์หนึ่ง สำหรับท่านผู้อ่านที่มีความสามารถในเชิงประพันธ์คงจะบรรยายได้ว่าพระนางทรงเอนพระวรกายอยู่บนพระแท่นบรรทมห้อมล้อมด้วยนางในข้างพระที่ ราชองค์รักษ์และข้าราชบริพารผู้มีหน้าที่ พระนางยังไม่สามารถเข้าสู่นิทรารมย์ได้เพราะทรงครุ่นคิดถึงชายต่างถิ่นที่มาถึงพระนครซึ่งไม่เคยมีคนต่างถิ่นมาถึงก่อนหน้านี้เลย ทรงมีความสงสัยขณะที่ไม่อาจจะข่มพระทัยให้บรรทมหลับลงได้ พวกเขาเป็นใครกันและมีความเป็นมาอย่างไร และถ้าพระนางอัปลักษณ์เมื่อเปรียบกับผู้หญิงที่บ้านเมืองของเขา ส่วนข้าพเจ้าที่ไม่มีความสามารถเชิงประพันธ์ขอใช้ประโยชน์จากความสงบชั่วคราวนี้ให้คำอธิบายถึงผู้คนที่พวกเรามาพบ รวบรวมได้มาจากแทบจะไม่ต้องพูดถึงเลยจากข้อมูลที่พวกเราค้นคว้าในภายหลัง
ชื่อของเมืองนี้ ตั้งแต่เริ่มแรกเลยมีชื่อว่าซู-เวนดีส ซูหมายถึงสีเหลือง และเวนดีสหมายถึงสถานที่หรือเมือง ทำไมพวกเขาจึงเรียกว่าเมืองสีเหลืองข้าพเจ้าไม่สามารถสืบเสาะให้รู้ได้อย่างแน่ชัด หรือแม้แต่ชาวเมืองก็ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเหตุใด มีเหตุผลอยู่สามประการ หนึ่งในนี้อาจจะให้คำอธิบายได้อย่างเพียงพอ ประการแรกชื่อนี้ได้มาจากเมื่อเริ่มแรกมีการพบทองคำจำนวนมหาศาลที่เมืองนี้ ที่จริงในข้อนี้ซู-เวนดีสก็คือเมืองเอลโดราโดอย่างแท้จริงซึ่งกล่าวกันว่ามีโลหะมีค่าอยู่จำนวนมหาศาล ในปัจจุบันพวกเขารวบรวมมาได้จากการทำเหมืองเพียงอย่างเดียว จากการตรวจตราในภายหลังโดยใช้เวลาหนึ่งวันสำรวจไปนอกเมืองไมโลซีส ส่วนมากจะพบในหลุมเป็นก้อนทองหนักตั้งหนึ่งออนซ์จนถึงหกหรือเจ็ดปอนด์ และยังมีเหมืองอื่น ๆ ที่คล้ายกันอย่างนี้อยู่ไกลออกไปอีก และข้าพเจ้ายังพบสายแร่ทองคำจำนวนมากอยู่ในหินควอทซ์ ในเมืองซู-เวนดีสทองคำมีอยู่ดาษดื่นมากกว่าโลหะเงิน จึงไม่น่าแปลกที่เรื่องมันจึงเป็นว่าโลหะเงินใช้เป็นเงินตราแลกเปลี่ยนสำหรับเมืองนี้
เหตุผลประการที่สองมาจากในช่วงเวลาประจำที่แน่นอนในรอบปี ต้นหญ้าพื้นเมืองของเมืองนี้ซึ่งมีรสหวานมากกลายเป็นสีเหลืองเหมือนทุ่งข้าวโพด และประการที่สามมาจากเมื่อแรกเริ่มชาวเมืองนี้มีผิวสีเหลือง แล้วเปลี่ยนมาเป็นผิวสีขาวในหลายชั่วอายุคนต่อมาจากการที่อาศัยอยู่บนพื้นที่ราบสูงแห่งนี้ เมืองซู-เวนดีสมีเนื้อที่ประมาณประเทศฝรั่งเศส หรือกล่าวอย่างหยาบ ๆ ว่ามีพื้นที่เป็นรูปไข่แต่ทุกด้านถูกตัดขาดจากโลกภายนอกโดยป่าไม้หนามที่ไม่อาจบุกฝ่าเข้ามาได้ ไกลออกไปกล่าวกันว่าเป็นร้อยไมล์เต็มไปด้วยหนองบึง ทะเลทราย และเทือกเขาสูง กล่าวอย่างสั้น ๆ ว่าเป็นที่ราบสูงขนาดใหญ่โผล่ขึ้นมาจากใจกลางของกาฬทวีป เหมือนกับทางภาคใต้ของอาฟริกาที่มีภูเขาหัวตัดโผล่ขึ้นมาจากพื้นที่ล้อมรอบด้วยทุ่งหญ้า นครไมโลซีสจากเครื่องมือวัดของข้าพเจ้าอยู่สูงเก้าพันฟุตจากระดับน้ำทะเล แต่พื้นที่เกือบทั้งหมดสูงกว่านั้น พื้นที่กว้างใหญ่ของชนบทส่วนใหญ่ข้าพเจ้าเชื่อว่าสูงประมาณหนึ่งหมื่นหนึ่งพันฟุต ผลตามมาคือสภาพภูมิอากาศพูดได้ว่าหนาวเย็นคล้ายกับทางภาคใต้ของประเทศอังกฤษ เพียงแต่ว่าสดใสกว่าและฝนไม่ตกชุกเท่า ผืนดินอุดมสมบูรณ์มากปลูกพืชพันธ์ธัญญาหารได้ทุกชนิดผลไม้ในเขตอบอุ่นและไม้ใหญ่ได้อย่างดี และในส่วนพื้นที่ต่ำปลูกต้นอ้อยสายพันธุ์ที่แข็งแรงเป็นจำนวนมาก ถ่านหินพบว่ามีอยู่มากมายมหาศาลบางแห่งขึ้นมากองอยู่บนผิวดิน รวมทั้งหินอ่อนบริสุทธิ์ทั้งสีขาวและสีดำ และเป็นเช่นนั้นกับโลหะทุกชนิดยกเว้นแร่เงิน มันหาได้ยากมาก ต้องเอามาจากภูเขาทางตอนเหนือไกลออกไป
ซู-เวนดีสประกอบขึ้นด้วยภูมิประเทศอันหลากหลาย รวมทั้งทิวเขาที่ปกคลุมด้วยหิมะสองเทือก แห่งที่หนึ่งอยู่ทางด้านตะวันตกไกลจากป่าไม้หนามที่ล้อมอยู่ออกไป และอีกเทือกหนึ่งแล่นผ่านจากเหนือลงใต้ห่างจากเมืองไมโลซีสไปแปดสิบไมล์ จากตัวเมืองมองเห็นยอดสูงสุดได้อย่างชัดเจน เทือกเขานี้เป็นสันปันน้ำอันสำคัญให้กับผืนดิน อีกทั้งยังมีทะเลสาบใหญ่สามแห่ง ทะเลสาบใหญ่ที่สุดคือที่พวกเราโผล่ออกมาและมีชื่อว่าไมโลซีสตามชื่อเมือง มีพื้นที่สองร้อยตารางไมล์ และทะเลสาบเล็ก ๆ อีกนับไม่ถ้วนบางแห่งเป็นน้ำเค็ม
ประชากรของดินแดนที่ได้รับความกรุณาจากธรรมชาติอย่างเหลือล้นแห่งนี้ เมื่อเทียบกับที่อื่น ๆ หนาแน่นมาก มีจำนวนประมาณอย่างหยาบ ๆ ได้สักสิบถึงสิบสองล้านคน เกือบทั้งหมดเป็นเกษตรกรตามธรรมชาตินิสัยและเป็นชนชั้นส่วนใหญ่ตามอย่างประเทศที่เจริญแล้วทั้งหลาย มีดินแดนที่เป็นของพวกขุนนาง ชนชั้นกลางที่สำคัญมากได้แก่พวกพ่อค้าคนสำคัญ นายทหารประจำกองทัพ ฯลฯ แต่ประชากรส่วนใหญ่เป็นชาวชนบทผู้มีอันจะกินอาศัยอยู่ในที่ดินของขุนนาง ซึ่งสืบทอดกันมาตามระบอบขุนนางศักดินา ชนชั้นสูงของเมืองนี้ซึ่งข้าพเจ้าคิดว่าได้เคยกล่าวไปแล้วว่ามีผิวขาวบริสุทธิ์มีลักษณะคล้ายกับคนทางภาคใต้ แต่คนสามัญจะมีผิวคล้ำกว่าแต่ไม่มีลักษณะของพวกนิโกรหรือชนชาวพื้นเมืองอื่น ๆ ของอาฟริกา สำหรับบรรพบุรุษของพวกเขาข้าพเจ้าไม่สามารถให้ข้อมูลที่แน่ชัดได้ จากบันทึกประวัติของพวกเขาย้อนหลังไปได้เกือบพันปีไม่ได้ให้ร่องรอยแต่อย่างใด บันทึกเก่าแก่มากจากนักบันทึกเหตุการณ์กล่าวพาดพิงถึงประเพณีที่มีอยู่ในสมัยของเขาพูดถึงต้นกำเนิดของพวกเขาบางทีอาจจะ มาพร้อมกับพวกที่มาจากชายฝั่งทะเล นั่นอาจจะเป็นเบาะแสเพียงน้อยนิดหรืออาจจะไม่มีอะไรเลย หรือกล่าวอย่างสั้น ๆ ว่าต้นกำเนิดของชาวซู-เวนดีสสาบสูญไปในม่านหมอกของกาลเวลา พวกเขามาจากไหนหรือเป็นเผ่าพันธุ์ใดไม่มีผู้ใดรู้ สถาปัตย์กรรมของพวกเขาและการแกะสลักคาดว่าน่าจะเป็นชาวอียิปต์หรือเป็นไปได้ที่จะมีต้นกำเนิดมาจากชาวอัสสิเรียน แต่เป็นที่รู้กันดีว่าสิ่งก่อสร้างที่เป็นรูปแบบของเขาเองเพิ่งถือกำเนิดขึ้นมาในช่วงแปดร้อยปีที่ผ่านมานี่เอง และก็ไม่มีร่องรอยทางด้านศาสนาหรือวัฒนธรรมของชาวอียิปต์ให้เห็นเลย อีกอย่างหนึ่งลักษณะท่าทางของเขาและนิสัยบางอย่างของพวกเขาค่อนข้างจะเป็นพวกยิว แต่ก็เช่นเดียวกันมันยากที่จะนึกถึงว่าเป็นไปได้อย่างไรที่พวกเขาสูญสิ้นความเชื่อถือทางศาสนาของชนชาติยิวไปจนหมดสิ้น ยังมีอีกอย่างเท่าที่ข้าพเจ้าพอจะรู้ พวกเขาอาจจะเป็นหนึ่งในสิบของเผ่าพันธุ์สาบสูญที่คนทั้งโลกหลงใหลที่จะค้นหาให้พบ หรืออาจจะไม่ใช่ ข้าพเจ้าไม่รู้แต่ทำได้เพียงแค่บรรยายถึงพวกเขาเท่าที่ข้าพเจ้าได้พบเห็น และปล่อยให้เป็นหน้าที่ของผู้ที่มีความรอบรู้มากกว่าตัวข้าพเจ้าค้นหาว่าพวกเขามาจากที่ไหน ถ้าบันทึกเล่มนี้จะมีผู้มาอ่านบ้างในที่สุดซึ่งเรื่องที่น่าสงสัยมีอยู่อย่างมากมาย
และตอนนี้ข้าพเจ้าก็เล่าถึงเรื่องนี้ไปจนหมดสิ้นแล้ว ข้าพเจ้าขอลองทฤษฎีของข้าพเจ้าเองดูบ้าง แม้ว่ามันจะเป็นแค่เค้าลางที่เล็กน้อยเหลือเกิน มันเป็นเพียงแค่บทกลอนกล่อมเด็กของผู้หญิง เค้ามูลของเรื่องนี้ข้าพเจ้าได้รับฟังมาจากตำนานของชาวอาหรับจากแถบชายฝั่งตะวันออก เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นมานานกว่าสองพันปีแล้ว มีความยากลำบากเกิดขึ้นในดินแดนที่เรารู้จักกันว่าบาบีโลน ชาวเปอร์เซียกลุ่มใหญ่อพยพลงมาสู่เมืองบูไชร์ ที่นั่นพวกเขาโดยสารเรือแล่นมาตามกระแสลมมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือสู่ชายฝั่งอาฟริกาตะวันออก ซึ่งสอดคล้องกับตำนาน การนับถือดวงอาทิตย์กับไฟ และเกิดการต่อสู้กับชาวอาหรับที่ตั้งรกรากอยู่ทางแถบชายฝั่งอาฟริกาตะวันออกซึ่งก็ยังคงอยู่กันมาจนถึงทุกวันนี้ และในที่สุดพวกเขาก็ตีฝ่าพวกอาหรับไปได้หายสาบสูญไปในใจกลางทวีปไม่มีผู้ใดพบเห็นพวกเขาอีกเลย ตอนนี้ข้าพเจ้าขอถามว่าจะเป็นไปได้มากน้อยแค่ไหนที่ชาวซู-เวนดีส คือลูกหลานของพวกที่นับถือดวงอาทิตย์กับไฟ ที่ตีฝ่าพวกอาหรับแล้วหายสาบสูญไป ? ซึ่งอันที่จริงแล้วบุคลิกท่าทางและประเพณีของพวกเขาสอดคล้องกับชาวเปอร์เซียในความทรงจำอันลางเลือนของข้าพเจ้า แน่นอนว่าพวกเราไม่มีหนังสือยืนยันถึงเรื่องนี้ แต่เซอร์เฮนรี่กล่าวว่าถ้าความจำของเขาไม่เหลวไหลเกิดการจลาจลครั้งใหญ่ในเมืองบาบีโลน ประมาณ 500 ปีก่อนคริสต์กาล ผู้คนจำนวนมากถูกขับไล่ออกจากเมือง มีหลักฐานความจริงอย่างแน่ชัดว่ามีการอพยพแยกย้ายกันไปหลายสายของชาวเปอร์เซียนจากอ่าวเปอร์เซียมาสู่ชายฝั่งตะวันออกของอาฟริกา จนกระทั่งเมื่อเจ็ดร้อยปีก่อนเป็นอย่างน้อย มีสุสานของชาวเปอร์เซียที่คิลวาบนชายฝั่งตะวันออกยังได้รับการดูแลเป็นอย่างดี จากร่องรอยที่เหลืออยู่แสดงให้เห็นว่ามีอายุเพียงแค่เจ็ดร้อยปีเอง
จากคุณ :
Sv
- [
28 ส.ค. 49 23:41:50
]