CafeTech-ExchangePantip MarketChatPantownBlogGangTorakhongGameRoom


    เรียงความวันแม่....(อาจจะช้าไปนิด แต่คงไม่ช้าเกินไปใช่ไหมคะแม่)

    1.
    แม่ของฉันเป็นผู้หญิงร่างเล็ก สูงเท่าๆกับฉันซึ่งถือว่าเป็นคนตัวเล็กมากในสมัยที่นิยมกันว่าความสูงเพรียวของผู้หญิงคือความงาม แม่เป็นพยาบาล ในตำแหน่งหัวหน้าตึกซึ่งต้องรับผิดชอบการทำงานของพยาบาลทั้งวอร์ดคืองานอันหนักหน่วงไม่แพ้งานของแพทย์อย่างพ่อเลยทีเดียว
    ฉันเติบโตขึ้นมาท่ามกลางการบริการทางสาธารณสุข การอยู่เวรและทำงานหนักในระดับที่น่าตั้งคำถามระหว่างความสมดุลของรายได้และภาระหน้าที่ บ่อยครั้งไป สมัยที่ฉันยังเด็กเล็กจนไม่อาจรับผิดชอบตนเอง ฉันต้องใช้ห้องพักแพทย์เป็นที่นอน มีชุดนักเรียนในวันรุ่งขึ้นห้อยอยู่ที่ปลายเท้ากับอาหารเช้าแช่ในตู้เย็นเครื่องเล็ก อันเป็นผลมาจากการ ‘แลกเวรไม่ออก’ของพ่อกับแม่ ที่เผอิญมาอยู่เวรดึกชนกัน และไม่อาจหาใครดูแลลูกที่ยังเล็กของทั้งคู่ได้
    พ่อกับแม่ผลัดกันมาดูแลฉันระหว่างนั้นมากที่สุดเท่าที่ท่านจะทำได้โดยไม่เสียงาน...หากมีหลายครั้งที่ฉันตื่นขึ้นมาท่ามกลางความมืด ไม่มีใครหรืออะไรอยู่ในห้องที่เปิดเครื่องปรับอากาศจนหนาวเหน็บ  ฉันเปิดประตูห้องพักแพทย์และออกเดินไปตามระเบียง...ถามคำถามกับใครก็ได้ที่เดินผ่านมา ‘แม่หนูอยู่ไหน’ท้ายที่สุดฉันจะถูกพาจูงไปพบ บางครั้งแม่ไม่ได้สนใจกับลูกสาวคนนี้ในทันทีที่เห็นหน้า เพราะ คนไข้ของแม่ทำท่าจะหยุดหายใจหรืออะไรที่หนักหนาประมาณนั้น กว่าท่านจะเข้ามาพาฉันไปกล่อมนอน ฉันก็ผล็อยหลับไปแล้วที่หลังเคาน์เตอร์พยาบาล
    ภาพสุดท้ายที่เห็นในห้วงจักษุ...คือ ภาพที่แม่วิ่งวุ่น หัวปั่น หน้าเป็นมันกับชีวิตในมือที่ท่าน
    และทีมงานพยายามยื้อสุดชีวิต...ภาพของผู้หญิงตัวเล็กๆหนึ่งคนหนึ่งซึ่งต้องรับมือกับงานที่เกี่ยวพันไปถึงชีวิตคนให้เสร็จสิ้นลุล่วงไปด้วยดีก่อนจะเข้ามารับบทแม่ของลูกสาวเล็กๆหนึ่งคน...คนที่อาจจะทำให้ท่านเหน็ดเหนื่อยยิ่งไปกว่างานพยาบาลของท่านเสียอีก

    2.
    เพราะงานหนักของพ่อและแม่ ฉันจึงต้องรู้จักดูแลตนเองให้เร็วกว่าเด็กอื่นๆในวัยเดียวกัน
    ฉันเรียนรู้ที่จะไม่คิดมากหรือตกใจเวลาที่ไม่มีใครมารับที่โรงเรียนจนกระทั่งฟ้ามืด เรียนรู้ที่จะอยู่กับตนเอง รับผิดชอบตนเอง ไม่ว่าจะเรื่องการเรียนหรือเรื่องอื่นใดในชีวิต
    ฟังดูเป็นเรื่องดี และเป็นเรื่องที่ดีจริงๆเสียด้วย แต่กว่าฉันจะรู้ความจริงข้อนี้ก็อีกหลายปีทีเดียว หากเมื่อฉันเติบโตเข้าถึงวัยที่ฮอร์โมนมีอิทธิพลมากมาย...วัยของการเจริญเติบโตและการเปลี่ยนแปลง ฉันกลับเริ่มตั้งคำถาม เริ่มมีคำถามมากมายที่หาคำตอบไม่ได้และเป็นคำถามที่นำมาซึ่งความหดหู่ น้อยใจ ไม่เข้าใจ และส่งผลให้ฉันเปลี่ยนแปลงกลายเป็นสาวน้อยเจ้าอารมณ์ ช่างพยศ ดื้อดึงและไม่ฟังเสียงใคร
    ฉันกับแม่เริ่มทะเลาะกันบ่อยขึ้น...มากขึ้นและรุนแรงขึ้นตามลำดับ แม่เองก็คงถึงวัยหนึ่งซึ่งฮอร์โมนทำพิษกับท่านเอาแล้วเหมือนกัน ผู้หญิงสองคนซึ่งมีแรงขับของสารเคมีอันปั่นป่วนอยู่ในร่างจึงได้จับจ้องที่จะตรงเข้าโต้เถียงกันและกันจนนำมาซึ่งความแตกแยกอย่างรุนแรง
    ภาพของผู้หญิงสาวร่างเล็กผู้มีนัยน์ตาสวยงามกับรอยยิ้มอ่อนหวาน...รอยอุ่นของอ้อมกอด...รอยจูบที่ข้างแก้มและหน้าผากในเวลาก่อนนอนที่เคยกรุ่นหวานในหัวใจฉันล่องลอยห่างไกลออกไป...ไกลออกไปเหมือนกับหัวใจที่ใคร่จะโบยบินไปให้ไกลแสนไกลของฉัน
    แม่เม้มปากแต่ไม่ว่าอะไรสักคำเมื่อฉันยกเหตุผลของการสอบติดโรงเรียนอันดับต้นๆของประเทศ เหตุผลของการจราจรและการเรียนพิเศษขึ้นมากล่าวอ้างเมื่อเก็บข้าวของออกจากบ้านไป
    ไปสู่ความอิสรเสรี...
    วันเวลาผ่านไป ภาระและหน้าที่เริ่มประดังเข้ามาในชีวิตของฉัน หลายครั้งที่ฉันหมดแรงและสิ้นหวัง หากทุกครั้ง ผู้หญิงคนที่ฉันเคยคิดที่จะหนีมาให้ไกลห่างกลับกลายเป็นคนแรกที่ฉันจะร้องไห้ให้ฟัง ผู้หญิงคนนั้นไม่กล่าวซ้ำเติมฉันแม้สักคำ มีแต่จะปลอบโยน กล่อมขวัญและให้กำลังใจ...ฉันยิ่งรู้สึกผิดและติดค้างเพราะรู้ว่า...แม่ให้อภัยฉันจนหมดสิ้นแล้ว
    และอาจจะเป็นคนเดียวในชีวิตของฉันที่ให้...แม้ฉันไม่ได้เอ่ยปากขอ

    3.
    ตอนที่ออกจากบ้าน... ฉันไม่รู้เลยว่าจะต้องหลั่งน้ำตาให้กับความคิดถึงบ้าน คิดถึงพ่อ คิดถึงแม่ในอีกหลายปีถัดมา เมื่อฉันเรียนจบมัธยมปลาย และเข้าเรียนในโรงเรียนแพทย์ทหาร
    ฉันไม่รู้เอาเลยว่าคำว่า ‘บ้าน’สำคัญมากมายเพียงไร...ตราบจนกระทั่งวันที่ห่างบ้านมาจนไกลไม่แม้แต่จะมีโอกาส ไม่มีมีกระทั่งสิทธิ์ที่จะโทรกลับไปที่บ้าน การเรียนแพทย์หนักหนาสาหัสจริงและการเป็นนักเรียนทหารก็ต้องอยู่ใต้กรอบระเบียบบังคับมากมาย ฉันเริ่มคิดถึงบ้านและครอบครัวในแบบที่ไม่เคยคิดมาก่อน...คิดถึงและหวนไห้ใคร่หาจนน่าเจ็บปวด
    มันยิ่งน่าเจ็บปวดเมื่อคิดขึ้นได้ว่า...นี่อย่างไร ชีวิตอิสระที่เราใฝ่หามาตลอด...ชีวิตของคนที่โตเป็นผู้ใหญ่แบบที่เราเคยแผดเสียงร้องใส่หน้าแม่...แล้วเหตุใดเล่าเราจึงเรียกร้องขอกลับไปสู่ชีวิตวัยเยาว์...กลับไปสู่บ้านและความรักกับการปกป้องแบบที่เราปฏิเสธตลอดมาของพ่อและแม่
    วันแรกที่ฉันถูก ‘ปล่อย’กลับไปบ้าน...ฉันน้ำตาร่วงทันทีที่แม่ตรงเข้ามากอดและหอมแก้มแบบที่ไม่ได้ทำตั้งแต่ฉันเริ่มเข้าสู่วัยรุ่น...ที่แม่ไม่ทำไม่ใช่เพราะไม่อยากทำ แต่เป็นฉันเองที่ปัดป้องและปฏิเสธท่าน เป็นฉันเองที่ตั้งป้อมและหมางเมิน ‘หนูโตแล้ว’
    ฉันก้มตัวลงกราบเท้าแม่...กราบแบบที่เคยกราบสมัยยังเด็กและว่าง่าย ครูให้กราบแม่ในวันแม่ก็กราบ กราบไปอย่างเด็กๆ แต่วันนี้ฉันกราบ กราบทั้งน้ำตา กราบลงไปให้กระหม่อมจรดเท้า
    กราบลงไปด้วยรัก...และขออภัย

    4.
    ตอนที่ลงมือเขียนเรียงความนี้ ฉันเริ่มด้วยการถามตนเองว่า...แม่ให้อะไรกับฉันบ้าง
    ฉันตอบไม่ได้ เพราะเท่าที่นึกออก ทุกอย่างในชีวิตของฉัน ก็ล้วนมาจากแม่ มีแม่ทั้งนั้นที่เป็นผู้บันดาลให้ ไม่ว่าจะเป็นตัวตนของฉัน วัตถุข้าวของ การศึกษา กระทั่งแรงบันดาลใจในชีวิตการงาน
    ถึงวันนี้...ในโรงพยาบาลเก่าโรงพยาบาลนั้นไม่มีเด็กหญิงตัวเล็กๆเดินตามหาแม่ไปตามทางเดิน...แต่ไกลออกไปในโรงพยาบาลของคณะแพทย์ มีเด็กผู้หญิงคนหนึ่งกำลังพยายามปฏิบัติหน้าที่ในฐานะนักเรียนแพทย์อย่างสุดความสามารถ...เด็กผู้หญิงคนนั้นพยายามอย่างเหลือเกินที่จะทุ่มเทชีวิตและหัวใจของเธอให้กับการทำงานและคนไข้
    ให้เหมือนกับที่เธอเคยเห็นแม่ของเธอทำ

    5.
    ถึงบรรทัดนี้ ฉันไม่ถามอีกแล้วว่าแม่ให้อะไรกับฉันบ้าง
    ฉันเริ่มต้นถามตนเองว่า จากนี้ต่อไป...
    ฉันจะให้อะไรกับแม่ของฉันได้บ้าง
    ........................................................................

    แก้ไขเมื่อ 30 ส.ค. 49 15:36:19

    จากคุณ : น้ำฝนหยดอ้วน - [ 30 ส.ค. 49 15:34:55 ]

 
 


ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | PanTown.com | BlogGang.com