ตอนที่ 2 : พรหมลิขิต
คนเรานี่ก็แปลกนะครับ เขาว่าไม่เห็นโลงศพไม่หลั่งน้ำตา
ก็คงจริงดั่งคำสุภาษิตที่เขาว่า... (เขาว่าอีกแล้ว ไม่รู้เขาไหนเหมือนกัน)
คุณเชื่อเรื่องพรหมลิขิตไหมครับ...
ถ้าคุณเชื่อ...
.
.
.
แล้วคุณว่าเกย์แบบเราๆ จะมีพรหมลิขิตกับเขาด้วยไหม?
ประมาณ 2 ปีก่อนผมรู้จักกับคน คนหนึ่ง...
จะว่าไปชีวิตเราสองคนก็คงเหมือนๆ กับคู่เกย์ทั่วๆ ไป... เรารู้จักกันในเธค
ซึ่งเธคที่นั่นเป็นแหล่งอโคจรที่เกย์ทั้งหลายรู้จักกันดีเสียด้วย
คุณอาจคิดว่าแย่... ถ้าเราจะหาแฟนสักคนจากในเธค... ผมว่ามันก็จริงนะ
แต่ที่มันจะจริงยิ่งกว่าก็คือเป็นไปได้ยากที่เกย์สักคู่จะพบรักกันในวัด
...หรือเป็นไปไม่ได้เลยด้วยซ้ำ
คงประหลาดเนอะ ถ้าผู้ชายคนหนึ่งเดินไปขอเบอร์โทรศัพท์จากผู้ชายอีกคนในวัด
มันไม่เหมือนกับผู้ชายคนหนึ่ง เดินไปขอเบอร์ผู้หญิงคนหนึ่ง...
...ทีนี้คุณมีคำตอบหรือยังหล่ะ ว่าทำไมเกย์ถึงมักไปหาคู่กันในที่อโคจร
นอกเรื่องไปนาน... กลับมาเข้าเรื่องกันดีกว่า
แล้วคุณเชื่อไหมว่า ผมคิดว่าผมเจอพรหมลิขิตของผมแล้วนะ
จากเธคอโคจรนั่นหน่ะแหล่ะ...
1 เดือนแรก ผมรู้สึกว่าผมรักเขา และเขาก็รักผม
ทุกอย่างช่างดูเป็นส่วนผสมที่ลงตัวระหว่างเราสองคน...
เช้าถึง เย็นถึง โทรหากันทุกวัน คุยกันจนสว่างคาตา
โลกทั้งใบมันเป็นสีชมพู สวยสด อะไรๆ ก็ดูหวานแหววไปเสียหมด
ความสุขมันเป็นแบบนี้นี่เอง
3 เดือนถัดมา ผมรู้สึกได้ว่ามันเป็นช่วงเวลาหฤโหด
เราสองคนต้องปรับตัวให้กันเป็นอย่างมาก...
เราตัดสินใจย้ายมาอยู่ด้วยกัน ท่ามกลางความแตกต่างของเราทั้งคู่
เราชอบกินอะไรไม่เหมือนกัน เรามีวิถีชีวิตไม่เหมือนกัน
การศึกษาของเราต่างกัน ทุกอย่างไม่สวยงามเหมือนช่วงเดือนแรก...
แต่ผมเชื่อว่า ถ้าพื้นฐานของคนสองคนรักกันมากพอ
เรือลำนี้มันต้องไปกันรอดจนถึงฝั่งแน่นอน... ผมคิดเช่นนั้น (นะ)
โลกทั้งใบมันไม่ใช่สีชมพูเสียแล้ว
1 ปีผ่านไป ทำไมชีวิตคู่มันถึงได้ทรมานแบบนี้...!!!
ทุกสิ่งทุกอย่างมันดูแย่ไปหมด ผมนอนร้องไห้ได้ทุกวัน
กลายเป็นเด็ก 3 ขวบ ที่เอาแต่ใจ...เอะอะโวยวาย
ส่วนแฟนผมกลายร่างเป็นเด็ก 5 ขวบ ที่ทั้งดื้อ ทั้งรั้น
เราสองคนเหมือนไม้เบื่อไม้เมา ที่หาเรื่องทะเลาะกันได้ทุกวัน
เรื่องเดิมๆ บ้าง เรื่องใหม่ๆ บ้าง มันดูลางเลือนเหลือเกินในความทรงจำของผม
ผมเองก็จำไม่ได้แล้วว่าตกลงเราทะเลาะกันบ่อยๆ เพื่ออะไร?
โลกของเราทั้งสองกลายเป็นสีเทาที่แสนหดหู่
1 ปี 6 เดือน ถึงเวลาที่ชีวิตรักของเราสองคนมาถึงทางตัน
ที่จริงผมเคยมีคนรักที่คบกันได้นานเกือบ 4 ปี
แต่ทำไมความล้มเหลวของผมครั้งนี้มันถึงปวดร้าวนักนะ...คงเป็นเพราะผมทุ่มเทเกินไป
หลังจากที่เราสองคนพยายามเปลี่ยนตัวเองให้กลายเป็นใครสักคน
สุดท้ายเรื่องมันจึงลงเอยที่ว่าเราสองคนสวมคอนเวิร์ด ทางใคร ทางมัน !!!
โลกของผมตอนนั้นมืดสนิท
แต่ก็ดี...
โบยบินสู่อิสรภาพได้เสียที ไม่ต้องกดโทรศัพท์วันละหลาย ๆ เวลาให้เปลืองโปรโมชั่น
ไม่ต้องรีบกลับบ้าน ไม่ต้องห่วงว่ามีใครรอกินข้าวและไม่ต้องรอใครกินข้าวด้วย
ไม่ต้องมี กกน. ม้วนเป็นบ่วงดักกระต่ายอยู่ในตะกร้าผ้าไว้ให้คอยตามเก็บ ตามซัก
ไม่ต้องเกี่ยงเวรล้างจาน กินเอง ล้างเอง ไม่ต้องถ่างตารอใครจนเกือบฟ้าสาง
ไม่ต้องบ่นไล่ใครให้ไปอาบน้ำเวลาตีหนึ่ง ตีสอง
ไม่ต้องนอนให้ลมโกรกจนหนาวตัวสั่น เพราะไม่มีคนขี้ร้อนมานอนใกล้ๆ ให้รำคาญใจอีก
ไม่ต้องนอนเบียดกับใครจนตัวลีบบนที่นอนสามฟุตครึ่ง
อยากไปซ้ายก็ไปซ้าย อยากไปขวาก็ไปขวา ไม่มีคำว่าละล้าละลังอีกแล้ว
ผมใช้ชีวิตอย่างเตลิดเปิดเปิง ช่วงผมมีแฟน ผมต้องห่างเพื่อนห่างฝูงไปเสียนาน
เลิกกับแฟนแล้วนี่ ผมต้องใช้เวลาอยู่กับเพื่อนให้หนำใจ
เพื่อนจ๋า... ขออกอุ่นๆ ไว้ซบเพื่อซับน้ำตาหน่อย...
แต่เหมือนที่บอกไว้ในตอนที่แล้วหน่ะครับ
กำลังว่าจะกดโทรศัพท์ไปหาอ๊อฟเพื่อปล่อยโฮใส่ซะหน่อย
กลับกลายเป็นอ๊อฟโทรมาปล่อยโฮใส่เรื่องที่ตัวเองติดเชื้อ...
ไงหล่ะครับ... เศร้าไม่ออก เจอเรื่องเศร้ากว่าเข้าให้...
สุดท้ายเลยตรงดิ่งไปสุมหัวกันที่ห้องโอ
3 คน 3 เศร้ามาเจอกันมันก็เลยเมา... เมากันทุกวัน ซิ่งกันทุกคืน
เมาจนการงานไม่ไปทำ สุดท้ายก็เลยลาออกมาอยู่กับเพื่อนมันเสียเลย
6 เดือนผ่านไปแล้วที่ผมแยกทางจากเขามา ทุกอย่างมันควรจะจบ แต่มันกลับไม่ใช่...
ถ้าคุณยังเชื่อพรหมลิขิต ลองอ่านต่อไป...
คนเราถ้าทำบุญทำกรรมร่วมกันมา.. ผมเชื่อว่าไม่มีทางหนีกันพ้น
ผมกับเขา เรายังคงเจอกันเรื่อยๆ เจอกันในที่ที่เราไม่น่าจะเจอ
ร้านอาหาร... ข้างถนน... หน้าธนาคาร... ห้างสรรพสินค้า
เลิกกันไป 6 เดือน... แต่เราบังเอิญเจอกันมากกว่า 10 ครั้งเสียอีก
เคยดูหนังเกาหลี ทำไมพระเอกนางเอกมันเจอกันบ่อยนัก...
อ๋อ...หนังมันไม่ได้แหลหรอก... เนี่ยเจอมากับตัวเองเลย
โลกตั้งกว้างใหญ่ แต่เหมือนใครจับเราสองคนเอามาตั้งไว้ใกล้ๆ กัน
.
.
.
วันหนึ่งแฟนผมประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์
เขายังไม่มีใคร... ผมเองก็ยังไม่มีใครจึงตัดสินใจไปอยู่ดูแล...
ผมเองก็เพิ่งเข้าใจว่าความผูกพัน กับ ความเคยชิน มันห่างกันแค่นิ้วเดียว...!!!
ตอนจากกันไปผมคิดว่าไม่นานผมคงหายเศร้า เอาหน่า...มันก็แค่ความเคยชินเท่านั้นเอง
เคยชินกับการมีใคร เคยชินกับการจูงมือใครไปดูหนัง
พอต้องไปดูหนังคนเดียว กินข้าวคนเดียว ที่มันเหงาก็แค่เพราะเราไม่ชิน
แต่พอกลับมาเจอหน้าเขาอีกครั้ง... ในวันที่เขาไม่มีใคร
ผมจึงยิ่งแน่ใจในความรู้สึกของตัวเองมากกว่าเดิมอีก
มันไม่ใช่แค่เคยชิน... แต่มันคือความผูกพัน
ผมไม่รู้เขาจะคิดเหมือนกันกับผมหรือเปล่า
แต่สุดท้ายเราก็กลับมาคืนดีกันเอาเสียดื้อๆ โดยที่ไม่ต้องมีใครง้อใคร
เรากลับมารักกันเองเหมือนแม่เหล็กต่างขั้วที่ดึงดูดมาติดกัน
ที่จริงความรักมันก็เป็นเรื่องซับซ้อนเหลือเกิน
แบบนี้ไงเขาถึงว่ากันว่า (เขาอีกแล้วเขาไหนวะ) คนหยาบกระด้างไม่ควรมีความรัก
เพราะความรักมันละเอียดอ่อนจนบางครั้งเราก็ไม่เข้าใจ
ทุกอย่างดูน่าจะไปได้สวย ประสบการณ์เลวร้ายในอดีตทำให้เราสองคนเรียนรู้
แต่เหมือนบททดสอบจากพระเจ้ายังโหดไม่พอสำหรับคู่ของผม...
6 เดือนมาแล้วที่ผมทำตัวว่างงานลอยชายไปมา
ปีนี้อายุก็ปาเข้าไป 26 แล้ว ควรทำตัวเป็นแก่นสารเสียที
ผมจึงเริ่มต้นหางานอย่างบ้าคลั่ง....
เริ่มต้นออกสัมภาษณ์งาน อันไหนสนใจก็ไป อันไหนไม่สนใจก็ไม่ไป
ด้วยความที่ส่วนตัวเป็นคนเลือกงานมากพอสมควร ดังนั้นการเข้าองค์กรใหญ่ๆ
จึงเป็นสิ่งแรกที่ผมคาดหวัง...
แล้วผมก็ได้เจอองค์กรที่ผมถูกใจ
ที่นี่ต้องผ่านการสัมภาษณ์ถึง 3 รอบ
ซึ่งผมเองก็พกความเก่งบวกเฮงมาด้วยละมั้ง จึงฝ่าด่านอรหันต์มาได้ทั้ง 3 รอบ
สรุปว่าเขาตัดสินใจเลือกผมเข้าทำงาน...
ก่อนวันทำงานทางฝ่ายบุคคลเรียกผมเข้าพบเรื่องสัญญาค้ำประกันและกฎระเบียบต่างๆ
และก่อนวันแรกของการเริ่มงานผมจะต้องตรวจสุขภาพมาให้เรียบร้อย
ทั้งนี้ทางบริษัทก็ได้ให้ไปส่งตัวให้ผมไปตรวจร่างกายที่โรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่ง
โอ้โห... ค่าตรวจเป็นพัน มันบ้าหรือเปล่า
คนจะเข้าทำงานต้องเสียค่าตรวจร่างกายขนาดนี้เชียวหรอวะ
แล้วถ้าเป็นเด็กจบใหม่หล่ะ ... หรือถ้าบ้านจนหล่ะ เวรกรรม
ขณะที่บ่นในใจ ก็กรอกตาอ่านรายละเอียดไปเรื่อยๆ
จนมาสะดุดกับคำว่า ตรวจ Anti Hiv
ผมย้อนคิดถึงหน้าเพื่อนรักทั้งสองคน... เฮ้อ...หลอกหลอนกูจริงนะ HIV
9 กรกฎาคม 2549 ผมเดินมาหยุดอยู่ที่หน้าโรงพยาบาล
ที่จริงผมต้องไปเริ่มงานวันที่ 12 กรกฎาคม แต่เอาหน่ะ ตรวจๆไปซะจะได้เสร็จๆ เรื่องไป
.
.
.
โรงพยาบาลที่นี่ก็สะอาดดีนะ หรูดี ติดที่ว่ารอนานมาก
นี่มันโรงพยาบาลเอกชน หรือ สาธารณสุขเคลื่อนที่เนี่ย โอ้ยยยย...รอมาจะชั่วโมงแล้ว
แต่ที่นี่ประหลาดมากเลย ทุกครั้งเวลาผมตรวจร่างกายจะต้องรอพบคุณหมอด้วย
แต่ที่นี่ก็แค่ตรวจปัสสาวะ เจาะเลือด เอ็กซเรย์ปอด แล้วก็กลับบ้านได้เลย
ไม่ต้องรอฟังผล ผลจะส่งไปที่บริษัทเอง
ตรวจเสร็จผมก็เถิดเทิงทิงนองนอยไปหาแฟน ค้างกับแฟนอยู่สองคืน
กะว่าจะกลับอพาร์ทเม้นต์ตัวเองเอาคืนสุดท้ายที่วันรุ่งขึ้นจะไปเริ่มงานนั่นแหล่ะ
แต่ๆ มันไม่ง่ายอย่างนั้นนะสิ
หกโมงเย็นของวันที่ 11 กรกฎาคม แม่โทรเข้าเครื่องผมบอกว่าโรงพยาบาลXXX
โทรเข้ามาที่บ้าน และบอกว่าผลเลือดของผมมีปัญหา ให้ไปพบที่โรงพยาบาลด่วน
พอผมวางสายจากแม่ผม ทางโรงพยาบาลก็โทรเข้าเครื่องผมบอกให้ไปพบที่โรงพยาบาลด่วน (แล้วทำไมหล่อนไม่โทรเข้าเครื่องชั้นก่อนวะ!!!)
ที่นี้ก็เลยกลายเป็นเรื่องใหญ่เรื่องโตเลย เพราะแม่ผมบอกว่าอยากไปด้วย
เสียงพยาบาลไม่ค่อยดีกลัวว่าผมจะเป็นอะไรหรือเปล่า
ผมเลยต้องบอกแม่ผมไปว่าไม่ต้องห่วง คงไม่มีอะไรหรอก
แต่หัวใจเต้นแทบจะทะลุออกมานอกอก... หน้าเพื่อนทั้งสองเริ่มลอยมา
เอาหละสิ... หรือมันจะถึงคิวตูแล้ว...
ตอนแรกกะจะเลี้ยวกลับ ไม่ฟังอะไรเลยดีกว่า
แต่คิดอีกทีว่า เราจะได้อะไรจากการวิ่งหนีเล่านี่
ถ้าเราเป็นเอดส์ เรารู้วันนี้ วันหน้า เดือนหน้า หรือ ปีหน้า เราก็เป็นเอดส์อยู่ดี
จึงตัดสินใจเดินเข้าห้องตรวจไปฟังคุณพยาบาล...
คุณพยาบาลก็บอกผมตรงๆ นั่นแหล่ะครับว่าผลเลือดผมเป็น POSSITIVE
หรือเลือดบวก (ไม่ได้กลัวว่าชั้นจะรับไม่ได้บ้างหรือไงเนี่ย)
เสร็จแล้วคณเธอก็แนะนำสิ่งควรปฏิบัติ เช่น พักผ่อนเยอะๆ กินอาหารที่มีประโยชน์
หรือออกกำลังกายให้เพียงพอ
คือหล่อน... เรื่องนี้หน่ะ ใครๆ เค้าก็รู้ แต่งานชั้น แม่ชั้นหล่ะ ตายแน่...!!!
คุณเธอยังคงจีบปากจีบคอพูดต่อ
เอางี้นะคะ ถ้าคุณไม่อยากให้ทางโรงพยาบาลเปิดเผยทางเราก็จะเก็บผลตรวจเอาไว้เป็นความลับและไม่ส่งไปที่บริษัทแน่นอน หรือถ้าจะให้ส่งผลการตรวจและให้ทางบริษัทเป็นผู้พิจารณาเอาเองก็ได้นะคะ ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของคุณค่ะ
อย่าหาว่าผมหยาบคายเลยนะ อยากจะตะโกนใส่หน้ามันเหลือเกินว่า
นี่ฉันเป็นเอดส์นะ ไม่ใช่คอเคล็ด แขนเคล็ด จะให้ตูชั้นตัดสินใจอะไรได้อีกแล้วตะกี้นี้ทำไมหล่อนไม่โทรเข้ามือถือฉันห๊า!!!
แต่ความเป็นจริงผมก็ทำแบบนั้นไม่ได้ เพราะเธอก็ทำไปตามหน้าที่ของเธอ
(ถึงแม้มันจะดีได้แค่นั้นก็ตามเถอะ)
ผมเดินมานั่งที่ป้ายรถเมล์หน้าโรงพยาบาล ในหัวมันมึนไปหมด
มันมีอะไรวิ่งอยู่ในหัวมากมาย แต่มันก็เหมือนในหัวว่างๆ
คลื่นไส้เหมือนอยากจะอาเจียน...
ค่อยๆ หยิบบุหรี่ในซองขึ้นมาจุดสูบ... จุดแล้วสูบ จุดแล้วสูบอยู่แบบนั้น
ผมนั่งอยู่ตรงนั้นตั้งแต่สองทุ่มจนเกือบห้าทุ่ม....
แล้วผมจะทำอย่างไรต่อไปดี...?
++++++++++++++++++++++++++++++++++++
ตอนที่ 1
http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W4651725/W4651725.html
จากคุณ :
นายต้นปาล์ม
- [
1 ก.ย. 49 11:57:08
]