CafeTech-ExchangePantip MarketChatPantownBlogGangTorakhongGameRoom


    - ๒ – มนต์แห่งรัก – ๒ -

    - ๒ – มนตร์แห่งรัก – ๒ -

            เมื่อเดินออกมาถึงประตูทางออกของห้างสรรพสินค้า ปิ่นนภางค์ก็ต้องชะงักเมื่อเห็นสายฝนโปรยปรายอยู่ด้านนอก หลังจากสบถอยู่ในใจแล้วเธอจึงเดินไปยืนชิดผนังเพื่อไม่ให้ตนเองต้องยืนกีดขวางทางคนอื่น ขณะกำลังลังเลว่าควรจะวิ่งฝ่าปรอยฝนไปยังบริเวณที่เธอจอดรถไว้ดีหรือไม่ เสียงหัวเราะคุ้นหูก็ดังขึ้นแล้วตามด้วยเสียงหวานแทรกแซม

            ภาพที่เด็กหญิงวัยไม่เกินสองขวบใช้แขนข้างหนึ่งโอบรอบคอผู้เป็นพ่อแน่น มือเล็กๆอีกข้างของเด็กหญิงถูกกุมด้วยมือเรียวบางของผู้เป็นมารดา สิ่งที่ปรากฏขึ้นในสายตาเป็นเหตุให้ปิ่นนภางค์ตัดสินใจหมุนตัวกลับ เดินสวนกับครอบครัวแสนอบอุ่นครอบครัวนั้น ก่อนจะจงใจทิ้งถุงในมือลงกับพื้นขณะเดินผ่าน

            “คุณคะ ของตกค่ะ” รอยยิ้มสมใจกรายผ่านดวงหน้าเรียวแล้วเลือนหายไปอย่างรวดเร็ว ปิ่นนภางค์หมุนตัวกลับมาอย่างช้า ส่งยิ้มหวานให้หญิงสาวผู้กำลังยื่นถุงมาให้ แรงผลักดันบางอย่างในหัวใจทำให้เธอปรายตามองชายหนุ่มที่ยืนข้างๆ

            “ขอบคุณค่ะ” เธอพึมพำเบาแสนเบา เธอต้องใช้พลังมหาศาลบังคับมือที่ยื่นออกไปรับถุงไม่ให้สั่นจนผิดสังเกต พอๆกับที่ใช้เรี่ยวแรงเท่าที่มีอยู่บังคับตัวเองมิให้หลั่งน้ำตาออกมาเมื่อพานพบกับสายตาของชายหนุ่มร่างสูงผู้นั้น

            ให้เป็นสายตาของความโกรธเกรี้ยว เกลียดชัง ยังดีกว่าเป็นสายตาว่างเปล่าราวคนไม่รู้จักกัน !

            “ไปเถอะ...ลูกอิงคงง่วงแล้ว” เสียงเร่งเร้าให้ผู้เป็นภรรยาเลิกใส่ใจกับคนแปลกหน้าก่อนร่างสูงจะเดินนำออกไป ปิ่นนภางค์มองหญิงสาวที่ยืนข้างๆซึ่งกำลังส่งยิ้มแหยๆมาให้ก่อนจะวิ่งตามสามี

            ภาพชายหนุ่มอุ้มลูกด้วยแขนข้างเดียวแล้วยื่นแขนอีกข้างออกไปโอบเอวภรรยาที่กำลังกางร่ม ให้ขยับเข้ามาใกล้ทำให้เธอเจ็บยิ่งกว่าเจ็บ นานเท่าไหร่หัวใจก็ไม่เคยชาชินสักที

            ปิ่นนภางค์ก้าวออกจากห้างสรรพสินค้า เดินฝ่าสายฝนโปรยปรายอย่างเลื่อนลอย มิใช่อยากแสดงฉากซึ้งเหมือนในมิวสิกวีดีโอที่เห็นกันดาษดื่น เพียงแค่อยากปกปิดความหวั่นไหวในหัวใจอันเกิดจากกิริยาแสดงความรักต่อครอบครัวของเขา เพียงแค่ไม่อยากให้ใครเห็นความอ่อนแอที่แสดงผ่านหยาดน้ำตาซึ่งบัดนี้มันไหลรวมเป็นสายเดียวกับหยาดน้ำฟ้า

            ลมพัดกรรโชกแรงปลิดขั้วใบไม้ที่ยังเขียวสดปลิวคว้างร่วงลงแนบดิน ไม่ต่างอะไรกับความเฉยชาของเขาซึ่งเปรียบประดุจคมมีดกดกรีดตัดขั้วหัวใจฆ่าเธอให้ตายทั้งเป็น

            ผมเผ้าเสื้อผ้าเริ่มเปียกปอน ถนนเริ่มเจิ่งนองไปด้วยน้ำ ในขณะหัวใจเธอแห้งผากราวกับดินขาดน้ำ แล้วจู่ๆก็มีมือแข็งแรงยื่นมากางร่มให้ ปิ่นนภางค์เงยหน้าขึ้นมองเบื้องบน ร่มคันใหญ่สีน้ำเงินสด หญิงสาวเอียงหน้ามองคนที่ก้าวมาเดินข้างๆ ใบหน้าคมคายมองตรงไปข้างหน้าไม่เหลือบแลมาทางเธอเลยสักนิด ร่างสูงใหญ่ในเครื่องแบบทหารเรือที่คุ้นตา เธอแทบไม่เคยเห็นเขาในเครื่องแบบครึ่งท่อน ขาดๆเกินๆเลยสักครั้ง

            เมื่อรู้ว่าใครที่หยิบยื่นน้ำใจให้ ปิ่นนภางค์ก็สาวเท้าเร็วขึ้น พยายามก้าวออกนอกร่มคันใหญ่ หวังให้สายฝนพร่างพรมลงบนใบหน้าอีกครั้งและเพื่อไม่ให้เธอติดหนี้บุญคุณใคร แต่ดูเหมือนคนเดินข้างๆจะรู้เท่าทันมือแข็งแรงอ้อมด้านหลังมาโอบเอวบางพันธนาการเธอไว้ในวงแขน

            “ปล่อยฉัน” เธอส่งเสียงลอดไรฟัน

            “ทำไมคุณชอบทำร้ายตัวเองนักนะ” เสียงบ่นเปรยอย่างหน่ายระอา และวงแขนแข็งแรงก็ยังมิยอมคลายราวกับคำสั่งเธอเป็นเสียงงอแงเอาแต่ใจของเด็กอนุบาลกระนั้น

            “ทำไมชอบทำร้ายตัวเอง” แม้จะถามซ้ำอีกครั้งแต่น้ำเสียงก็มิได้ส่อแววอยากรู้เท่าใดนัก บางทีเขาอาจจะรู้กระมังว่าถามไปก็เท่านั้นเพราะจะไม่มีครั้งใดที่เขาจะได้คำตอบ ปิ่นนภางค์เม้มริมฝีปากแน่น รวบถุงที่ถือไว้ในมือเดียวแล้วใช้มือที่ว่างพยายามแกะมือแข็งแรงออกให้พ้นเอวตน แต่ดูเหมือนยิ่งดิ้นรนเป็นอิสระเธอยิ่งถลำลึกลงในบ่วงด้วยจู่ๆมือแข็งแรงซึ่งมีท่าทีจะโอนอ่อนตามกลับคว้าหมับกุมมือเธอไว้มั่น

            “คุณนี่น้า...ทำไมชอบพาตัวเองเข้าไปอยู่ในสถานการณ์แย่ๆ” คนพูดหัวเราะในลำคอ ในขณะคนฟังขบริมฝีปากตนเองจนเจ็บ มือที่ถือถุงกำแน่นขึ้น เธอรู้ความหมายของวลี ‘ชอบทำร้ายตัวเอง’ และ ‘สถานการณ์แย่ๆ’ ตามนัยของคนพูดอย่างดีทีเดียว

            “อย่าเปิดแอร์เย็นนักเดี๋ยวจะไม่สบาย” เสียงบอกอ่อนโยนเมื่อปิ่นนภางค์เข้าไปนั่งในรถ แต่ในเวลานี้เธอไม่อยากรับความอ่อนโยน ห่วงใยจากชายคนไหน นอกจาก...เขาคนนั้น

            หญิงสาวถอนหายใจเฮือกใหญ่ สตาร์ทรถ ปรับแอร์จนถึงขีดสุด แล้วหันมามองร่างสูงที่ยืนค้ำประตูรถอย่างท้าทาย เกินจะคาดคิดเมื่อคนที่ยืนตีหน้ายักษ์อยู่โน้มตัวเข้ามาในรถเอื้อมมือไปหยิบแจ็กเก็ตที่เธอถอดพาดไว้กับพนักมาห่มให้ เธอก็ทำสิ่งที่เหนือความคาดหมายของเขาเช่นกันเมื่อยกมือบางกระชากมันออกจากตัวเหวี่ยงปาไปยังหลังรถอย่างไม่ใส่ใจว่ามันจะไปตกลงที่ใด

            “คุณควรจะรักตัวเองนะปิ่นนภางค์ ต่อให้คุณตายลงต่อหน้า เขาก็ไม่หันมาเหลียวแล เพราะคุณไม่ใช่เมียเขา เป็นคนนอกครอบครัว เขาเป็นผู้ชายของคนอื่น ผมบอกเอาไว้เผื่อคุณจะลืม” น้ำเสียงแสดงความกราดเกรี้ยวนั้นทำให้ดวงตากลมโตของคนฟังร้อนผ่าว มือบางกุมพวงมาลัยแน่น ริมฝีปากสวยได้รูปสั่นระริก

            เธอเองก็บอกไม่ได้แน่ชัดว่าปากสั่นเพราะความหนาวเหน็บหรือเพราะความเจ็บแค้นชิงชัง หากเป็นเพราะสาเหตุหลังเธอก็ตอบไม่ได้อีกเช่นกันว่าโกรธเกลียดตัวเองที่รักผู้ชายมีเจ้าของแล้ว หรือโกรธเกลียดผู้ชายที่ยืนอยู่ข้างรถนี้เพราะคำพูดของเขาแทงใจดำเธอได้อย่างแม่นยำเหลือเกิน หรือบางทีอาจจะโกรธเกลียดเขาผู้ชายที่ถูกพาดพิงถึง ผู้ชายที่ทำให้เธอตกเป็นทาส...ทาสรักของเขา ... หลงอยู่ในมนตร์ของรักแรก

            วสุธามองดวงตากลมที่แดงระเรื่อ ริมฝีปากสั่นระริก แล้วต้องสบถด่าตัวเองอยู่ในใจ แทนที่เขาจะเป็นคนปลอบเขากลับตอกย้ำซ้ำรอยเจ็บในดวงใจของเธอ

            “คุณขับรถไหวไหม”แทนคำตอบมือบางละจากพวงมาลัยผลักอกกว้างแน่นตึงจนชายหนุ่มผงะด้วยไม่ทันได้ระวังตัว แล้วประตูรถก็ถูกกระชากปิด

            ทันทีที่ทรงตัวได้วสุธาก็ได้แต่ยืนมองตามรถโฟล์กคันเล็กที่เคลื่อนออกจากที่จอดทะยานเข้าสู่ถนนใหญ่ วิ่งปะปนไปกับรถคันอื่นๆชายหนุ่มถอนหายใจขณะเดินกลับไปยังรถของตนเอง เขาจะทำอย่างไรดีถึงจะคลายมนตร์รักที่ครอบงำปิ่นนภางค์ได้

           


            กลางดึกในคืนฝนพรำ ดวงตาดำขลับละสายตาจากท้องฟ้ามืดสนิทด้านนอกหันมาจับจ้องเปลวไฟจากเทียนสีม่วงอ่อน กลิ่นลาเวนเดอร์บางเบาผสมกับไอชื้นจากสายฝนโชยเข้าจมูก นิ้วเรียวยาววนรอบขอบถ้วยกาแฟสีน้ำตาลไปมา เป็นกิริยาฆ่าเวลาที่เธอมักกระทำเป็นประจำระหว่างรอคอยอะไรบางอย่าง

            ความเยือกเย็นของอากาศกระทบผิวกายและดูเหมือนจะซึมผ่านเข้าสู่เนื้อหัวใจอย่างรวดเร็วจนสั่นสะท้าน หญิงสาวละมือที่กุมถ้วยกาแฟมาทาบลงแนบอกเบื้องซ้ายหวังให้ไออุ่นที่ได้รับจากถ้วยกาแฟคลายความหนาวเหน็บของหัวใจ ทว่า...มันไม่ได้ผลเลย จวบจนกระทั่งโทรศัพท์เครื่องเล็กกรีดเสียงดังลั่นทำลายความเงียบสงบของคืนนี้ ปิ่นนภางค์ผวาเข้าไปรับอย่างรวดเร็วราวกับว่าโทรศัพท์เป็นดังลมหายใจเฮือกสุดท้ายที่ช่วยต่อชีวิตคนใกล้ตายเช่นเธอ

            หัวใจที่เหน็บหนาวอุ่นขึ้นทันควันเมื่อกดปุ่มรับสายและแนบโทรศัพท์กับใบหู เธอรู้ว่าใครถือสายอยู่อีกด้าน ในค่ำคืนที่ผู้คนต่างนอนหลับใหล ความรักชนิดหนึ่งกำลังดำเนินไปอย่างเงียบๆ เป็นรักลับๆระหว่างผู้ชายที่ถูกตีตราแล้วและหญิงสาวช่างฝันที่คาดหวังว่าสักวันหนึ่งรักลับๆของเธอจะถูกเปิดเผยตามวิถีทางที่ถูกต้องและเหมาะสม

            “ทำไมทำอะไรโง่ๆอย่างนี้” เสียงถามกระชากห้วนดังขึ้น หัวใจที่พองคับอก เหี่ยวแฟบลงในทันใด

            “ทำอะไรคะ” ปิ่นนภางค์ถามออกไปด้วยน้ำเสียงใสซื่อทั้งที่เธอรู้ดีว่าเขาหมายถึงอะไร

            “ก็ถุงบ้าๆของปิ่นนั่นไง ทำไมต้องเจาะจงหล่นลงตรงหน้าพี่”

            “มันบังเอิญ” เธอโกหกอย่างแผ่วเบาและใจเย็น ได้ยินเสียงอีกฝ่ายฮึดฮัดฟึดฟัดอยู่ครู่ ก่อนจะบอกเธอด้วยเสียงร้อนรนเจือขอความเห็นใจ

            “พี่ไม่อยากให้เธอสงสัย ปิ่นกำลังทำให้ความรักของเราพัง ปิ่นเข้าใจพี่หน่อยนะครับ เธอเป็นผู้หญิงที่...อย่างไงล่ะ อ่อนแอ เปราะบาง ถูกเลี้ยงมาอย่างคุณหนู แล้วลูกพี่ก็ยังเล็กพี่ยังไม่อยากให้การหย่าร้างเป็นปัญหาสำหรับลูก” มือบางที่กุมโทรศัพท์สั่น เขาขอให้เธอเห็นใจผู้หญิงอีกคน แล้วเธอเล่า...เขาเคยห่วงใยและเห็นใจเธอบ้างไหม

            “ปิ่นครับ ฟังพี่อยู่หรือเปล่า” เสียงถามกลับมาเมื่อเธอเงียบ

    แก้ไขเมื่อ 09 ก.ย. 49 15:59:38

    แก้ไขเมื่อ 09 ก.ย. 49 15:56:39

    แก้ไขเมื่อ 09 ก.ย. 49 15:42:20

    จากคุณ : อุณากรรณ - [ 1 ก.ย. 49 16:33:46 ]

 
 


ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | PanTown.com | BlogGang.com