๑
ผมรู้สึกตัวตื่นขึ้น
...และพบว่าตัวเองอยู่ในความมืดอีกแล้ว
มันเป็นเช่นนี้เสมอไม่ว่าจะหลับหรือตื่น จนบางครั้งผมก็แยกแยะไม่ออกว่าอะไรคือความจริงและอะไรคือความฝัน ภาวะประหลาดแบบนี้ดำเนินมานานแสนนานเหลือเกินจนผมเองก็จำไม่ได้ว่าเกิดขึ้น เป็นมาและเป็นไปอย่างไร รู้สึกตัวอีกทีก็มาอยู่ในห้วงอากาศดำมืดนี้เสียแล้ว
ที่ร้ายกาจยิ่งกว่าก็คือผมจำไม่ได้ว่าตัวเองเป็นใคร
แรกทีเดียวผมรู้สึกหวาดกลัว ความมืดนั้นน่ากลัว เพราะเราไม่อาจรู้ได้ว่ามีสิ่งใดแอบซ่อนอยู่ และความกลัวนั้นดูจะยิ่งโตใหญ่ขึ้นเมื่อพบว่าตัวเองอยู่เพียงลำพัง ข้อสันนิษฐานอีกอย่างหนึ่งผุดขึ้นมาในความคิด บางทีผมอาจไม่ได้อยู่ในความมืด หากแต่อาจเป็นเพราะดวงตาทั้งสองข้างของผมต่างหากที่มืดบอด
ผมทำใจกล้าเหยียดกายลุกขึ้น พยายามคลำทางสะเปะสะปะไปในความมืด โชคร้าย...มือที่เหยียดออกไปจนสุดล้ากลับไม่รู้สึกถึงสัมผัสของสิ่งใดๆ พื้นหินเย็นเยียบใต้เท้าที่ไม่อาจมองเห็นก็ดูราวกับทอดยาวออกไปไม่มีที่สิ้นสุด สิ่งที่เห็นมีเพียงสีดำมืดมิดที่ยิ่งทียิ่งรัดแน่นจนอึดอัดเจียนคลั่ง
ผมไม่พบอะไรเลย ไม่มีสัมผัสแผ่วเบาของสายลม ไม่มีแม้สัญญาณสักอย่างของสิ่งมีชีวิตทุกชนิด ไม่มีกระทั่งสรรพสำเนียงใด ๆ แว่วมากระทบโสตประสาท
ไม่มีอะไรเลย
ไม่มีจริง ๆ
ราวกับว่าผมอยู่เพียงคนเดียวในดินแดนว่างเปล่าแห่งนี้
ความกลัวแล่นขึ้นสวนทางกับความสิ้นหวัง ผมรู้สึกหวั่นกลัว สถานที่แห่งนี้ไม่มีอะไรเลย ไม่มีทางเข้า ไม่มีหนทางออก
แล้วจะทำอย่างไรหากว่าผม...อาจจะต้องติดอยู่ที่นี่ตลอดกาล...
ผมหมุนคว้างไปรอบกาย พยายามกู่ร้องเรียกหาใครสักคน สัตว์สักชนิด หรือแม้แต่ภูติผีปีศาจก็ได้ อะไรก็ได้ที่จะตอบสนองกลับมา...ที่จะยืนยันว่าผมไม่ได้อยู่ตัวคนเดียว
เวลาผ่านไปจากนาทีเป็นชั่วโมง จากชั่วโมงเป็นวัน นานเท่าใดไม่อาจรู้ได้ แต่ก็ไม่มีคำตอบ ที่สุดลำคอของผมก็แห้งผาก ผมก็หมดแรงทรุดลงนอนเกลือกกับพื้น ความขมขื่นซ่านขึ้นมาจุกหน้าอก
หึ...คนตาบอดกับโลกที่ว่างเปล่า...ช่างเหมาะสมเข้ากันเสียจริง ๆ
ผมปิดเปลือกตาลง พยายามข่มใจตัวเองให้หลับ บางทีเมื่อตื่นขึ้นมาอาจจะพบว่าสิ่งที่ผมกำลังเผชิญอยู่นี้เป็นเพียงแค่ความฝัน เมื่อผมตื่นขึ้นมาอีกครั้ง ผมอาจได้เห็นแสงสว่าง ได้พบหน้าใครสักคนที่ผมรู้จัก
ทว่า...เคราะห์กรรมของผมคงไม่หมดสิ้น
เพราะเมื่อผมรู้สึกตัวตื่นขึ้นมาอีกครั้ง ความมืดมิดยังคงอยู่เป็นเพื่อนผมไม่เปลี่ยนแปลง ไม่ว่ายามหลับหรือยามตื่น
ผมหลับตาลง ไม่ดิ้นรน ไม่ไขว่คว้าอะไรอีกแล้ว ตั้งใจจะหลับลึกวนเวียนอยู่ในความมืดนี้ตลอดไป
หากความฝันนี้จะเป็นฝันร้ายที่ไม่มีวันสิ้นสุดก็ปล่อยให้มันเป็นไปเถอะ
ผมเหนื่อยเหลือเกินแล้ว
...
นที
เสียงหนึ่งดังแว่วมา วนเวียนอยู่รอบตัว ซ้ำ ๆ เป็นจังหวะคล้ายตั้งใจ บางคราวเหมือนมาจากที่แสนไกล บางคราวก็แผ่วเบาและใกล้ราวกับกระซิบข้างหู
นที
ผมสะดุ้งตื่น กวาดตาเขม้นมองไปในความมืดมิดรอบตัว แน่ล่ะว่าผมมองไม่เห็นอะไร แต่หูของผมได้ยินเสียงเรียกไม่ได้เฝื่อนไปแน่ ซ้ำเสียงเรียกแปลกปลอมนั้นยังแฝงความคุ้นเคยอย่างน่าประหลาด
เสียงนั้นเรียกใคร?
แม้สมองจะไม่มีความทรงจำเหลือแต่ผมก็ทึกทักเอาเองว่าบางที นที อาจจะเป็นผม
ผมลุกขึ้นออกเดินไปหาเสียงเรียกนั้น ถึงจะไม่อาจทราบว่าผู้ที่เรียกผมมีเจตนาอย่างไร แต่ผมก็เลือกที่จะเสี่ยง
ใครจะรู้...มันอาจจะนำความเปลี่ยนแปลงที่ดีมาสู่โลกมืดแห่งนี้ก็เป็นได้
น่าแปลก พร้อมกับแต่ละก้าวที่เหยียบย่างไป บรรยากาศรอบกายก็ดูราวกับจะสว่างชัดเจนขึ้นทุกที ๆ ผมก้าวเดินต่อไป รู้สึกว่าแสงสว่างเลือนรางโดยรอบกำลังก่อตัวขึ้นเป็นรูปร่าง
...นที
เสียงนั้นเรียกมาอีก ดังกังวานแจ่มชัดเจนเหมือนอยู่ต่อหน้า วินาทีนั้นแสงสว่างที่อ่อนจางเพียงน้อยนิดในชั้นแรก พลันรวมตัวกันเปล่งแสงสว่างเรื่อเรืองยิ่งขึ้นจนราวกับได้ดูดกลืนความดำมืดให้สลายไปจนหมดสิ้น
ความเจิดจ้านั้นบังคับให้ผมต้องปิดตาลง
...และเมื่อเปิดเปลือกตาขึ้นอีกครั้ง ความกลัดกลุ้มทั้งหมดได้ปลาสนาการไปสิ้น
ทุ่งหญ้าเขียวขจีแผ่กว้างอยู่เบื้องหน้าผม สีเขียวสดของใบหญ้าแต่ละใบตัดกับสีสดของครามฟ้าและปุยเมฆขาวเบาบาง ผมกำลังยืนอยู่ใต้ต้นไม้ต้นหนึ่ง ต้นไม้นั้นยืนต้นเดียวดายอยู่กลางทุ่งหญ้า กิ่งก้านสาขาอันใหญ่โตของมันแต่งแต้มด้วยสีชมพูอมแดงของดอกที่ระบัดสะพรั่ง แผ่ปกคลุมออกไปไกลสุดสายตา
มันคือต้นก้ามปู หนึ่งในพรรณไม้ไม่กี่ชนิดที่ผมรู้จัก
แสงแดดสีทองส่องผ่านแพใบไม้ลงมาเป็นลำอ่อนละมุนอาบไล้ทั่วร่างผม และรสสัมผัสที่อบอุ่นของสายลมกระตุ้นให้ใจผมโลดแล่นไปด้วยความยินดี
ผมไม่ได้ตาบอด
และนี่ก็ไม่ใช่ความฝัน ไม่ใช่อย่างแน่นอน
ในที่สุดผมก็หลุดพ้นจากฝันร้ายอันยาวนานมาได้เสียที!
ผมตะลึงมองความสดชื่นของต้นก้ามปูอยู่นาน สายตาจึงเลื่อนลงมาพบใบหน้าขมวดมุ่ยของเด็กผู้ชายคนหนึ่ง เด็กคนนั้นอายุราวสิบขวบ สูงเพียงช่วงอกของผมเท่านั้น
ผมรู้สึกแปลกใจ...เด็กคนนี้เองหรือที่ส่งเสียงเรียกนำทางให้ผมหลุดพ้นจากความมืด
ผมขยับหันมาทางเด็กชายเต็มตัว มีอะไรบางอย่างในใบหน้ามุ่ย ๆ แบบนี้ที่สะกิดใจ แต่ความทรงจำในสมองของผมกลับไม่มีหลักฐานใด ๆ เกี่ยวกับเด็กคนนี้ปรากฏอยู่เลย ถึงอย่างไรผมไม่ใช่คนช่างคุย ซ้ำลักษณะการปรากฏตัวของเด็กยังพิศดารล้ำลึกเกินกว่าสติของผมจะตั้งรับได้ทัน ผมจึงได้แต่ปล่อยตัวเองให้ยืนประสานสายตาอยู่อย่างนั้น ขณะที่ริมฝีปากปิดสนิทเหมือนเป็นใบ้กะทันหัน
ดูเหมือนเด็กคนนี้ออกจะเป็นคนขี้รำคาญอยู่ ดวงตาดำขลับที่มีแววขุ่นเคืองนั้นมองดูผมแล้วก็ส่ายหน้า
แข็งทื่อไร้อารมณ์ไม่เคยเปลี่ยนเลยนะ คุณ
นั่นคือการพบกันครั้งแรกของเราที่ดูไม่จืดเอาเสียเลย
จากคุณ :
แมวใบตอง
- [
3 ก.ย. 49 16:19:17
]