ความคิดเห็นที่ 2
ตอนที่ 4:ยากเย็นอย่างไรกว่าจะได้มีวันนี้ วันแต่งงาน
ใครที่เคยได้เห็นพิธีแต่งงานของคนต่างชาติแล้ว ก็คงอดไม่ได้ ที่จะอิจฉาความโรแมนติก ในบรรยากาศพิธีการที่ถูกจัดขึ้น อย่างศักดิ์สิทธิ์ในโบสถ์ ทั้งนี้คงเป็นเพราะความแตกต่างของวัฒนธรรมและพิธีการของไทยนี่แหละ คนเรามักอยากได้ในสิ่งที่ตนเองไม่มีเสมอ
คนต่างชาติเค้าก็อยากมีพิธีการไทยๆ ตัวอย่างเช่นคุณสามีดิฉันนี่แหละค่ะ ร่ำร้องอยากจะมีให้ได้ กับพิธีการรดน้ำแบบไทยๆ แต่ด้วยข้อจำกัดว่าเราสองคนอาศัยอยู่ต่างประเทศ ทำให้ยากที่จะจัดงานแบบไทยๆ
เมืองที่เราไปอยู่เป็นเมืองเล็กๆ มีคนไทยไม่เยอะมาก วัดไทยก็มีแต่ว่าเป็นวัดเล็ก เลยต้องตัดใจ บอกคุณสามีว่าค่อยกลับมารดกันที่เมืองไทยก็แล้วกันนะจ๊ะ Honey
จุดเริ่มต้นของชีวิตคู่ เริ่มจากเช้าวันหนึ่ง สามีดิฉัน (ซึ่งตอนนั้นยังไม่ได้แต่งงานกัน) ชวนไปรับประทานอาหารเช้าด้วยกันที่บ้าน ปกติแล้ว เราสองคนจะพูดคุยกันไปเรื่อยๆ ตอนนั้น ดิฉันจำได้ว่ากำลังเล่าให้เค้าฟังถึงการดำรงชีวิตในเมืองไทย เนื่องจากว่ามีคนชักชวนให้เค้ามาเป็นอาจารย์ในเมืองไทย ดิฉันก็เลยถือโอกาสเล่าให้ฟังก่อน ถึงการดำเนินชีวิตในเมืองไทย เพื่อที่จะได้เป็นข้อมูลพื้นฐานประกอบการตัดสินใจ รวมไปถึงลักษณะการคบกันของชายหญิงว่า จะอยู่ด้วยกันได้นั้น ต้องแต่งงานกันก่อน พูดยังไม่ทันขาดคำ คุณรู้มั้ยเค้าทำอย่างไรกับดิฉัน...
ภาพที่ดิฉันจำได้ เป็นภาพของชายชาวอเมริกัน ขนาดตัวกำลังน่ารัก นั่งคุกเข่าลงอยู่ข้างหน้า พร้อมกับกุมมือด้านซ้ายของดิฉัน ที่เลอะไปด้วยเปลือกผลไม้ขึ้นมา โน้มใบหน้าของเขาไปที่มือนั้น พร้อมกล่าวคำว่า Will you Married me?
โอว ! My God อะไรกันนี่ ดิฉันมึน งง อึ้ง ไปได้สักประมาณ 2-3 นาที รู้สึกว่า ไอร้อน ไล่ล้ำขึ้นมาจากปลายเท้าจรด ปลายคาง ไล่ขึ้นตามใบหน้าพอจะมองเห็นเลือดฝาดบนสองแก้ม มุมปากทั้งสองด้านของดิฉันเคลื่อนตัวแยกออกจากกัน เข้าสู่ใบหูทั้งสองด้านพอเห็นไรฟัน น้ำตาหยดเล็กๆ เริ่มเอ่อล้นอยู่ที่ดวงตาทั้งสอง มันเป็นน้ำตาแห่งความปลื้มปิติ ไม่มีความยินดีใดเอาชนะความรู้สึกยินดี ที่เกิดขึ้น ณ ตอนนั้นได้
พอได้สติกลับมา ดิฉันถามกลับไปว่า Do you really mean that? Honey? ชายหนุ่มคนนั้นยิ้มรับอย่างขำๆ แล้วตอบเตือนสติดิฉันว่า Yes, Honey เมื่อดิฉันตั้งสติได้ จึงตอบกลับไปว่า Yes, I will พร้อมสวมกอดชายคนนั้น ด้วยความรัก ดีใจ และปลื้มใจเป็นอย่างยิ่ง
จากนั้นกระบวนการเตรียมงานแต่งงานในต่างแดนก็เริ่มขึ้น ทำให้ดิฉันได้เรียนรู้ว่าไม่ใช่เรื่องง่ายเลยสักนิด เป็นเหมือนการเดินทางไกลไปสู่จุดหมายที่เราใฝ่ฝัน
จุดหมายแรกของเราสองคน คือการเลือกวันแต่งงาน ดิฉันเสนอว่า จะเดินทางกลับในเดือนเมษายน ดังนั้นอยากให้แต่งใกล้ๆ กับเดือนที่จะกลับ เช่น มกราคม กุมภาพันธ์ หรือ มีนาคม
แต่พอมานึกดูอีกทีถ้าแต่งงาน อยู่ด้วยกันไป เดือนมกราคมของทุกปีจะต้องเลี้ยงฉลองวันเกิดของดิฉัน ส่วนเดือนกุมภาพันธ์ต้องฉลองกันวันวาเลนไทน์ ดังนั้น เดือนมีนาคมนี่แหละค่ะเหมาะสมที่สุด เราจะได้มีเซอไพรส์ให้กันทุกๆเดือน
เมื่อเลือกเดือนได้แล้วต่อไปก็เลือกวัน วันเสาร์จะเป็นวันที่เหมาะสมที่สุดเนื่องจากทุกคนไม่ต้องทำงาน พี่ดี้นำปฏิทินมากาง พร้อมคิดกันว่าจะเป็นวันเสาร์ที่ 4, 11, 18 หรือ 25 ดีนะ เราสองคนคิดกันเป็นการใหญ่ จนมาตกลงได้วันที่ ที่เหมาะสม ดิฉันเกิดวันที่ 1 เดือน 1 ส่วนสามีดิฉันเกิดวันที่ 31 เดือน 7 เมื่อเอาเลขจากวันเกิดสามี 3+1+7 อ้าว ได้ 11 พอดี อะไรจะเหมาะเจาะขนาดนี้ เราสองคนมีส่วนร่วมกับวันนี้ด้วยกันทั้งคู่ ตกลงเลยค่ะ วันเสาร์ที่ 11 มีนาคม 2549
ผ่านการเลือกวัน เราสองคนก็เดินทางมาสู่จุดมุ่งหมายถัดไปคือการเลือกแหวน การแต่งงานในแบบฉบับของคนต่างชาตินั้น เรื่องแหวนเป็นสิ่งสำคัญ เพราะต้องนำแหวนมาร่วมทำพิธี เราสองคนเดินสำรวจแหวนกันทุกครั้งที่ไปตามห้างสรรพสินค้า เพื่อตัดสินใจเลือกจะเอาวัสดุอย่างไร รูปแบบอย่างไร
เราสองคนไม่ชอบใส่ทอง จึงตัดตัวเลือกหนึ่งไปได้อย่างง่ายดาย นอกจากนั้นดิฉันก็ไม่ชอบแหวนเพชร เพราะรู้สึกว่ามันดูเกินฐานะเกินไป คนขายจึงแนะนำทองคำขาว และ แพลทินัม ซึ่งเทียบราคาแล้ว ทองคำขาวที่ว่าแพงแล้ว ยังถูกกว่าแพลทินัมมาก เราจึงตัดสินใจเลือกทองคำขาวนี่แหละดี และเหมาะสมกับฐานะ ประจวบเหมาะกับรูปแบบแหวนเกลี้ยงวงหนึ่ง ซึ่งมีดีไซน์ธรรมดาๆ แต่มีตกแต่งรายละเอียดที่รอบๆ ของขอบรอบแหวนทั้งสองด้าน ดิฉันกล่าวชักชวนว่า พี่ดี้ Look at this!! ซึ่งเค้าเองก็บอกว่าเค้าก็ดูวงนั้นอยู่ คิดว่าเรียบดี แต่กลัวว่าเราจะไม่ชอบ แหม! ใครบอกล่ะ ดิฉันน่ะชอบค่ะ ถูกใจมาก จึงได้ตัดสินใจซื้อเก็บไว้เหมือนเป็นการเก็บหลักกิโลจุดที่สอง ของการเดินทางของเราทั้งคู่
ได้วัน และแหวนแล้ว เราก็มาสู่การเตรียมงาน เราสองคนเริ่มตั้งแต่วางแผนว่าจะจัดที่ไหน เริ่มสำรวจราคาค่าเช่าโบสถ์ โอว! มายกอด ราคาโบสถ์อย่างเดียวก็ประมาณ 500 เหรียญแล้วค่ะ นอกจากนั้นยังต้องหาเช่า เก้าอี้ โต๊ะ จาน ชาม ช้อนซ้อม คำนวณดูแล้วเป็นเงินหลายพันเหรียญอยู่ ดิฉัน ถึงแม้จะยังไม่ได้แต่งงานกัน วิญญาณ แม่บ้านเริ่มเข้าสิง สูตรคณิตศาสตร์เริ่มเดินทางเข้ามาในศรีษะ ช่วยคำนวณเป็นเงินบาทไทย ไม่เอาค่ะ แพง เก็บเงินไว้เลี้ยงลูกดีกว่า เราจึงคิดหาทางอื่นต่อไป
พี่ดี้เริ่มคุยกับเพื่อนชาวต่างชาติที่เคยมีประสบการณ์การจัดงานแต่งงาน Florence & Rick เพื่อนเก่าเพื่อนของพี่ดี้คู่หนึ่ง แนะนำว่า ใช้บ้านของทั้งคู่ดีไหม ไม่คิดค่าใช้จ่าย ตอนนั้น บรรยากาศ สวนหลังบ้านไม่ใหญ่มากนัก แต่ก็ไม่เล็กจนอึดอัด แถมมีการตกแต่งอย่างสวยงาม กลางสวนปูพื้นคอนกรีตไว้ สำหรับนั่งกลางสวน ชมธรรมชาติ ใช่เลยค่ะ ที่นี่ เราแค่จัดย้ายเก้าอี้ออกชั่วคราว เราก็จะมีพื้นที่แต่งงานอยู่กลางสวน อย่างกับในฝันค่ะ
เมื่อพื้นที่เรียบร้อยก็เป็นเรื่องการเตรียมการ์ดเชิญ ดอกไม้ประดับ อาหาร เครื่องดื่ม, Guestbooks และ Unity Candles Unity Candles เป็นเทียนที่เค้าใช้จุดกันก่อนตัด Cake น่ะคะ คิดว่าทุกคนคงเคยเห็น
นอกจากนั้นยังต้องเตรียม Wedding Cake และ Topper ซึ่งเป็นตุ๊กตาที่วางบน Cake อีกค่ะ ทุกอย่างในงาน เราสองคนคุยกันว่าอยากให้แขกที่มางานรู้สึกว่าเป็นบรรยากาศ ที่แสดงความอบอุ่นของเราทั้งคู่มากที่สุด ดังนั้น เราจึงช่วยกันเตรียมงานกันเองหมดทุกอย่าง
ทำการ์ดกันเอง อาหาร เครื่องดื่ม ต้องขอขอบคุณเพื่อนเจ้าสาวทุกท่าน ที่ช่วยกัน ทำลูกชุบเพื่อให้บรรยากาศความเป็นไทยได้ผสมผสาน กับบรรยากาศต่างชาติของตัว Wedding cake
สิ่งที่ดิฉันและพี่ดี้ ชอบที่สุดคือ Wedding Cake Topper เราสองคนคิดว่า เป็นสิ่งพิเศษที่สุด เนื่องจากสั่งทำจากเมืองไทย ปั้นตุ๊กตาล้อเลียนเป็นรูปเราทั้งสองคน ถึงแม้จะหนักไปสักนิด ทำให้ไม่สามารถวางบนหน้า Strawberry layer Cake สองชั้นของเราได้ก็ตาม
ชุดเจ้าสาว ดิฉันได้ความช่วยเหลือจาก พี่ Apple คนไทยที่อาศัยอยู่ที่นั่น เธอน่ารักมากค่ะ นอกจากเป็น Photographer ผู้ไม่คิดเงินสักดอลล่าแล้ว เธอยังคอยเช็คข่าวโปรโมชั่น และพาดิฉันไปลองชุดเจ้าสาวในร้านต่างๆ
จนกระทั่ง ดิฉันเจอชุดที่คิดว่าเหมาะสมที่สุด เป็นชุดเปลือยไหล่สีขาว ตกแต่งแบบเรียบเท่ห์ หวานนิดๆ เหมาะกับบุคลิก ผมสั้นของดิฉัน พร้อมกับ Wedding Veil หรือ ผ้าบางๆ ที่เจ้าสาวใส่บนศรีษะ ที่สั่งซื้อทางอินเตอร์เนต (ราคาถูกกว่าตามร้าน) ด้วยนะคะ
ชุดเพื่อนเจ้าสาวที่จะต้องมีแบบ หรือ สีที่เหมือนกันทั้งหมด ของ แซสสี่, แอมมี่, พจ และปุ๋ม เราฝ่ายเจ้าสาวพากันไปเดินเลือกตามห้าง จนกระทั่งได้ Concepts ชุดเดินชมสวนกระโปรงสั้น สีดำ แซมชมพู น่ารัก น่าหยิก จากประสบการณ์เมืองไทยถ้าใส่สีดำ ไปงานแต่งงาน อาจถูกไล่ออกมาตั้งแต่ยังไม่ได้เข้างานก็เป็นได้ แต่แปลกค่ะ ที่นั่น เค้าจะไม่ให้ใส่สีขาว หรือสีสดใสเกินไป เพราะว่าจะสวยเกินเจ้าสาว งานวันนั้น แขกส่วนมากจึงใส่สีโทนมืด หรือเลี่ยงเป็นสีที่ไม่สดใสมากเกินไป
เมื่อทุกอย่างพร้อมแล้ว วันศุกร์ตอนเย็น ซึ่งเป็นวันก่อนวันแต่งงานหนึ่งวัน เรามีพิธี Rehersal หรือพิธีซ้อมใหญ่กันที่สถานที่จริง วันนั้นอากาศดีทำให้วางใจว่าพรุ่งนี้ฝนคงไม่ตกแน่นอน ที่เป็นกังวลลมฟ้า อากาศ ก็เพราะทั้งงานเราจะจัดกันข้างนอกชายคา ถ้าฝนตกก็จบสิคะ โดยเฉพาะซุ้ม Webcam ถ่ายทอดสด ด้วยความช่วยเหลือของ พีท ฮีโร่ และ นุ๊ก ที่ส่งภาพบรรยากาศสดๆ ไปที่เมืองไทย ให้ครอบครัว และเพื่อน ได้รับชมไปพร้อมกัน...เมื่อทุกอย่างพร้อมแล้ว วันนั้น ก็มาถึง....
จากคุณ :
มิสซิสอาร์โนลด์
- [
6 ก.ย. 49 09:15:31
]
|
|
|