CafeTech-ExchangePantip MarketChatPantownBlogGangTorakhongGameRoom


    ส้มดา ไม่อุทธรณ์(วันหลังบวช)

    แล้วถึงวันที่ผมจำใจต้องสละผ้าเหลือง สึกนะสิ ผมต้องทิ้งชีวิตคว่ทเป็นพระสงฆ์ออกมาใช้ชีวิตฆราวาสดังเดิม ผมสึกออกมาอย่างเงียบๆ เพราะไม่อยากให้ผู้ใดต้องมาเดือดร้อน ต้องจัดงานต้อนรับให้เอิกเกริก บวชมาแล้วต้องรู้จักสมถะ คำนี้ผมจำขึ้นใจ

        อย่าสงสัยเลย ผมสึกก่อนออกพรรษา  แปลว่ายังไม่ครบพรรษานะสิ  

        ก็ใช่นะสิ  การสึกครั้งนี้เป็นอุบัติเหตุที่ไม่ตั้งใจ แล้วโอกาสหน้าจะกลับมาบอกให้ฟังอีกทีว่าเกิดอะไรขึ้น ผมรู้สึกเสียใจมากๆที่ไม่สามารถอยู่ครบเทอมพรรษา แต่เมื่อหลวงพ่อมาขอร้องด้วยตัวเอง ให้ผมเสียสละครั้งยิ่งใหญ่ แม้จะอยู่ช่วงกลางพรรษา แล้วจะให้ผมทำอย่างไรล่ะ นั่นหละผมจึงต้องยอมเสียสละ ..ทำไมหลายคนชอบยกคำนี้มาใช้กับผมมากเหลือเกิน ถ้าไม่มีดินพอกหางหมูไว้ตัวผมคงลอยเป็นรามสูรไล่ฟันไล่ปล้ำนางเมขลาไปแล้ว

        เมื่อสึกออกมาเลือกที่จะกลับบ้านก่อน ไม่ใช่ว่าอายเรื่องผมบนหัวหรอก แต่เป็นเพราะปัจจัยเมื่ออยู่ในวัดกว่าจะได้แต่ละครั้งยากเย็นไม่ใช่น้อย จึงขอไปตั้งหลักเสียก่อน

         เมื่อผมเดินเข้าเขตบ้าน พ่อกับแม่พากันตกใจอย่างที่สุด ไม่ใช่ประหลาดใจจำผมไม่ได้หรอก  ถามผมด้วยเสียงอึกทึก เมื่ออธิบายให้ฟัง ทุกคนก็สบายใจขึ้น แต่มีเพียงบ่นพึมพำเล็กน้อยที่ไม่ได้มาร่วมพิธีงานสึกของผมที่วัด

        “ไม่รู้ว่าซวยอะไรนักหนา บ้านสงบได้ไม่กี่วัน มันสึกออกมาอีกแล้ว.....”  พ่อบ่นพึมพำหยอกผมเล่นอีกแล้ว หลายวันที่ผมไม่อยู่แกคงเหงามาก

        “คงไปสร้างความเดือดร้อนที่วัดด้วยละมั้ง หลวงพ่อถึงไล่มันออกมา .....” แม่หยอกเล่นกับผมด้วยอีกคนแล้ว แต่แรงไปหน่อย ผมบอกแม่แล้ว หลวงพ่อไม่ได้ไล่แต่ขอให้ผมเสียสละ เป็นบุญกุศลที่ยิ่งใหญ่

        “กูไม่ได้หยอก แต่กูด่ามรึงว้อย....” สองเสียงดังประสานออกมาพร้อมกัน ร้องคอรัสเสียงเพราะเสียด้วย จนอยากปรบมือให้

        จะว่าไปผมเห็นพ่อกับแม่ทำท่าทางแบบนี้กับผมบ่อยๆ แกล้งทำทีเป็นโกรธแสดงได้เหมือนมากเหลือเกิน แต่ครั้งนี้ผมรู้สึกเพลีย จึงไม่อยากเล่นสนุกด้วย ขอปลีกตัวหาที่นอนเข้าสู่สมาธิขั้นวิเวกดีกว่า หลายครั้งผมไม่แน่ใจว่าแกโกรธหรือหยอก  งงไปหมดแยกไม่ออก

        เย็นวันนั้น คนในหมู่บ้านที่รู้ข่าวต่างมาดูตัวจริงให้เห็นกับตา จนผมเขินอายที่ต้องมาอยู่ท่ามกลางสายตาจ้องมองเยอะแยะแบบนั้น โดยมากเป็นกลุ่มที่ช่วยกันจัดงานบวชให้กับผมนั่แหละ  เมื่อเห็นว่าตัวผมยังมีความอิ่มบุญอยู่ ทุกคนต่างพูดไม่ออกยังตื้นตันใจ

        “เวรกรรมของพวกเรานะ ตาดา”

         ฟังพวกนั้นบ่นกับพ่อสิ หลายคนเสียดายที่ผมรีบสึกออกมา เสียใจที่ยังไม่มีโอกาสได้ไปทำบุญที่วัดใส่บาตรให้ผมเลย ซึ่งผมได้แต่แสดงความเห็นใจ

        สิ่งที่ทำได้เพียงปลอบใจพวกเขาเหล่านั้น มีบวชต้องมีสึกเป็นของธรรมดา แต่ท่าทางคงไม่ค่อยจะเข้าใจกันอีกละ

        ผมอยู่คุยด้วยกับเขาไม่นานหรอก ไม่อยากเห็นความเสียใจ เพราะมันจะทำให้ชีวิตแห้งแล้ง จึงขึ้นไปห้องนอนหาหนังสือมาดูมาอ่าน

        อืม....รูปพวกนี้เอง ที่ถือว่าเป็นมารแห่งกิเลส ช่วงอยู่ในวัดหามารพวกนี้มาทดสอบด้วยไม่0ได้เลย  ดูแล้วได้แต่ปลง แต่ต้องทน เราต้องศึกษามาร ศึกษากิเลสให้มาก เพื่อที่จะได้รู้เท่าทัน จึงหยิบหนังสืออีกเล่มออกมา เราต้องมีความจริงจังมุ่งมั่น

        เมื่อไอ้น้องชายอายุสิบสองขวบเข้ามาพอดี หนังสือทั้งหมดแว๊บหายไปใต้ผ้าห่ม กิเลสมักเป็นเช่นนี้แล หลบซ่อนตัวได้อย่างรวดเร็ว เราต้องตามให้ทัน

        เฮ่อออ... ออกมานั่งเล่นอยู่บ้านสองสามวัน ตัวขี้เกียจมันเกาะเต็มตัวไปหมดจนรู้สึกปวดเมื่อย กระดูกขัดกันลั่นกร๊อบกร๊วบไปทังตัว ขืนหากยังพักผ่อนต่อไป สนิมคงกินไขข้อแน่ๆ นึกอยากหาช่วยผ่อนงานของพ่อบ้างดีกว่า จะมัวนั่งนอนอยู่เฉยทำตัวแบบนั้นไร้ประโยชน์ไม่ได้  ชีวิตต้องมีขยับขับเคลื่อนบ้างสิ  

        ..เอ ทำไรดี เข้าไปในเมืองดีกว่า ต้องมีสิ่งให้ทำแน่นอน

        ดีที่สุด ถูกต้องแล้วคร้าบบบบ.....  ดูเถอะใจผมมันเห็นดีด้วยรีบร้องย้ำออกมา

        มอเตอร์ไซด์ของพ่อจอดทิ้งไว้นั่น หรือว่าพ่อตั้งใจมาจอดให้ผม คงใช่แน่เลย ไม่งั้นจะเสียบลูกกุญแจคาไว้ทำไม ครอบครัวเรามักจะมีความคิดที่ตรงกันในเวลาเดียวกันอยู่เสมอไม่ใช่เรื่องผิดปกติ ไม่เคยคิดหาความเข้าใจ

        ไอ้เวร...... ผมตบถากหัวน้องชายไปหนึ่งทีด้วยความเอ็นดู มันดันทะลึ่งเดินย่องตามมาด้านหลังเลียนแบบโดยไม่รู้ตัว จึงต้องกระซิบชวนเข้าเมืองด้วยกัน ท่าทางมันดีใจมากจนลืมเจ็บหัว

        ดูมันทำสิ... เดินย่องเลียนแบบผมอีกแล้ว แต่เหตุผลที่ผมต้องทำอย่างนี้เพราะไม่อยากให้มีเสียงรบกวนถึงหูพ่อกับแม่ เดี๋ยวแกจะเสียสมาธิในการทำงานและการพักผ่อน

        ผมไม่ได้ขี่ไอ้รถคู่ใจ(พ่อ)คันนี้มาหลายเดือน วันนี้จึงตื่นเต้นไม่น้อย เมื่อเข้าประชิดได้ผมจึงกระโดดใส่ ตบตูดสองที บิดกุญแจ สตาร์ทเครื่องจนควันดำลอยโขมง ไอ้น้องชายกระโดดตัวลอยกอดเอวผมหมับ ขึ้นซ้อนท้าย รถคู่ใจพุ่งทะยานไม่ต่างกับม้าดีได้จ็อกกี้ถูกใจ ยกขาหน้าลอยวิ่งตะบึงเสียงดังลั่นหมู่บ้าน

    แอ่น.....แอ่นนนนน....แอ้นนนนนน..... แปร่นน แปร้นนนนน

        ผมทดลองบิดอัดคันเร่งเต็มที่ ยังใช้การได้ดีทันใจ

        บีบแตรเพื่อทดสอบระบบความปลอดภัย เสียงมันอาจจะดังหนวกหูไปบ้าง แต่เพื่อความมั่นใจ ระบบเบรคยังไม่ต้องทดลอง ต้องรอให้วิ่งไปได้ไกลบ้านสักหน่อยก่อน ถือว่าเป็นการช่วยพ่อตรวจสภาพรถไปด้วย ประเทศเราพัฒนาแล้วต้อง ปลอดภัยไว้ก่อน ฝรั่งมันเรียก ฟิฟตี้เฟริส

        “ฟิฟตี้นั่นมันห้าสิบ ต้องเรียก  เซฟตี้เฟริส ......” น้องชายของผมมันเก่งสมกับความตั้งใจที่อยากทดสอบภาษา ผมชื่นชมในความสามารถของมันที่ผ่านการทดสอบของผมได้

        แต่ลางสังหรณ์บางอย่างเหมือนมีใครจ้องมองอยู่ด้านหลัง ประสาทส่วนนี้ของผมจะเร็วมาก ไม่ใช่ระแวง มันเป็นสิ่งที่พระเจ้าประทานให้ตั้งแต่เกิด จึงหันกลับไปดู แต่ยังไม่ปล่อยคันเร่ง ขืนชะลอละก้อเสียชื่อตายเลย

        อ๋อ.. พ่อเราน่ะเอง  แกวิ่งตามมาส่งจนไกลเลย  ดูสิโบกมืออวยพรให้อีก ผมจึงโบกมือตอบรับ เป็นสัญญาณว่าไม่ต้องห่วง ผมจะดูแลน้องชายให้อย่างดี

        “พ่อวิ่งตามมาด่า..... “ไอ้น้องชายปากเสีย มันยังเด็กจึงม่ค่อยเข้าใจความหมาย ผมใช้ท่าศอกกลับ กระแทกโดนเต็มหน้า  บอกแล้วว่าพ่อตามมาส่ง

        “พ่อออกมาด่า ชี้นิ้วด่า...” มันยังเถียงไม่เลิก ทำให้ผมชักเหลืออด ผมไม่ชอบการพูดหลายครั้ง จึงชะลอรถลง คงต้องคุยกับมันให้รู้เรื่อง อยู่บ้านเดียวกัน ทำไมไม่เข้าใจสื่อความหมายของพ่อ

        แค่ผมชะลอรถเท่านั้นหละ

        “สงสัย พ่อจะวิ่งออกมาส่ง ...” มันเปลี่ยนความคิดอย่างทันใจ ถึงเสียงจะไม่ดัง แต่การกลับเปลี่ยนใจทำให้ผมหายโกรธได้ น้องชายผมสอนง่ายเสมอแบบนี้หละ มันเป็นคนหัวเร็วคิดเร็ว

        ผมบึ่งมอเตอร์ไซด์คู่ใจฝ่าตะลุยกองทัพฝุ่น แหวกกระจุยกระจาย เสื้อถูกปลดกระดุมเหลือเพียงเม็ดล่างเม็ดเดียวผมต้องบอกให้ไอ้น้องชายมันก้มตัวมุดอยู่ใต้หลังเสื้อ ถ้ามองจากภายนอกชายเสื้อคงปลิวไสวเท่ห์ระเบิดเถิดเทิงน่าดู เสียดายที่ผมบนหัวยังไม่ขึ้น แต่เพียงแค่นี้กับแว่นตาดำ มันทำให้ผมดูเท่ห์สุดๆแล้ว ไม่ต้องใส่หมวกกันน๊อคให้มาบังความหล่อ ล้อรถช่วยขยี้ให้กองทัพฝุ่นฮึกเหิมยิ่งขึ้น จนมองไม่เห็นด้านหลัง

       ใจของผมคิดถึงแม่ยอดยาหยีแล้วละ

        ผมต้องแวะปั๊มน้ำมันก่อนจะทะลุเข้าตัวเมือง โถ...มีฝุ่นเกาะเต็มไปหมด ไม่เลือกแม้แต่หัวที่ไร้เส้นผม จะ เข้าเมืองไนสภาพแบบนี้ได้ยังไง ยอดยาหยีของผมไม่ชอบคนสกปรก ล้างหน้าล้างหัวเสร็จแล้ว ผมรู้ดีที่นี่ยังมีลมให้เติม นั่นไงสายยางเติมลม

         ผมยืนเท่ห์กางแขนอ้าปากหาวรับลม ไอ้น้องชายทำหน้าที่ฉีดๆๆๆ พ่นลม เท่านี้เสื้อผ้าผมสะอาดจนดมได้แล้ว ไอ้น้องชายคิดจะให้ผมทำให้บ้าง ยื่นสายยางให้ผม แค่เงื้อมือเท่านั้นหละ มันรีบเก็บม้วนสายลมเก็บเลย ตัวมันยังเป็นเด็กจะต้องเรียกร้องความน่าสนใจอะไรนักหนา กอดผู้หญิงยังเป็นด้วยซ้ำ ผมจัดแจงเก็บชายเสื้อมุดเข้ากางเกง

        จะบอกว่าปั๊มน้ำมันในยุคนี้คือสวรรค์ของนักเดินทางไม่น่าจะเพี้ยน ลองต้องทนกลั้นอาการปวดท้องดูสิ ยิ่งกว่าตกนรกเสียอีก มันยากจะบรรยายออกมาเสียจริง ขมิบทีละหน่อย ทีละหน่อย จะให้ทำอะไรทำให้ได้ทุกอย่างขอเพียงได้แวะปั๊มน้ำมัน ซึ่งนอกจากเป็นที่ถ่ายของเสียออกแล้ว ยังเป็นแหล่งนำของเข้าอีกด้วย ร้านค้าปลีกย่อมหรือว่าจะหาหมูปิ้งลูกชิ้นทอด หาได้ไม่ยาก  

    ท่าทางไอ้น้องชายคงหิวทั้งน้ำทั้งขนม มันแทบจะยอมให้ผมขี่คอ เมื่อบอกว่าจะหาของกินให้  รีบเดินตามอย่างดีใจ

        เด็กพนักงานในปั๊มนี้ ผมคุ้นเคยกับพวกมันทุกคน เป็นเพื่อนเป็นน้องทั้งนั้น นั่นไงขวดน้ำกับขนมปัง มีกล่องข้าวอีกด้วย เพื่อนกันเองทั้งนั้น หากทำตัวเกรงใจจะเสียมรรยาท ผมหยิบขวดน้ำยกกรอกเข้าปากแล้วจึงส่งต่อให้น้องชาย ตั้งใจจะหยิบขนมปังทั้งสองก้อน แต่ถูกกระชากคืนไปก้อนนึง ไอ้คำตันยืนจ้องหน้าผมตาแข็ง ไม่รู้ว่ามันโผล่เข้ามาตั้งแต่เมื่อไร

        ไอ้คำตันตะโกนบอกเพื่อนถึงข่าวดี ว่าผมมาแล้ว ใช่สิ ผมหายไปสองเดือน ทุกคนต่างดีใจอยากเจอหน้าผมทั้งนั้น ดูเถอะ เด็กทั้งปั๊มสี่ห้าคนรีบวิ่งปรี่เข้ามา ไอ้คำแจ้งเพื่อนของผมและเป็นพี่ชายของไอ้คำตันถึงกับปล่อยทิ้งลูกค้า ผมต้องยกมือแสดงความขอบคุณพวกมัน และหยิบขนมปังในมือเข้าปากโดยเร็ว เพราะความรีบจึงลืมที่จะแบ่งให้ไอ้น้องชาย พวกนั้นต่างเข้ามาหยิบกล่องข้าวและห่อขนมไปถือไว้ จ้องหน้าผมราวกับว่าหน้าตาของผมเปลี่ยนแปลงไป  ไอ้คำตันมากระชากขวดน้ำไปจากมือน้องชายผม ยังงี้เสียมรรยาทเกินไปแล้ว ผมจึงแบมือจะฟาดเข้ากลางหัวสั่งสอนสักที แต่โชคดีที่ไอ้คำแจ้งมาขอร้องไว้ก่อน ผมจึงยอมและมันก็ปล่อยกำปั้นของมันลง

        “มรึงจะมา ทำไมไม่บอกก่อน” นี่หละประโยคน้ำใจของมิตรสหายคำแจ้ง มันคงกระดากใจที่ผมมาไม่รู้ตัวจึงไม่มีของต้อนรับ

        “ไอ้ห่า.. พวกมรึงก็เหมือนกัน เห็นมันเข้ามาทำไมไม่รีบบอก” แน่ะมันยังไปตวาดใส่คนอื่นอีก ที่ไม่ช่วยดูแลตัวผม

        เฮ้ย...ไม่เป็นไร...มีแค่นี้ก็กินกันแค่นี้.... ผมเป็นสุภาพบุรุษเสมอ ไม่อยากให้ทุกคนลำบากใจ จึงเข้าไปจะดึงข้างกล่องจากมือของพวกมัน แต่ทุกคนพากันถอยกรูดอย่างพร้อมเพรียงกอดของไว้ในอ้อมแขนแน่น

        พวกมันรักษามรรยาทเหลือเกิน ไม่อยากให้ผมกินของที่ไม่ตั้งใจซื้อมาฝาก โถ.... ข้าวของพวกมันก็คงหาซื้อตามข้างทางรถเข็นนั่นแหละ คงกลัวว่าจะไม่เหมาะสมกับผม

    ผมจึงเลิกถือสากับพวกมัน ชวนน้องชายขึ้นซ้อนท้ายรถมอเตอร์ไซด์ ไปหาแม่ยอดยาหยีของผมดีกว่า

    ก่อนเข้าร้านกาแฟของยอดยาหยี ผมขยับแว่นตาดำอีกสักพักจนกระทั่งมันก็อยู่ในตำแหน่งเหมือนเดิมนั่นแหละ สองมือเสยลูบผมปั้นหน้าหล่อที่ตั้งใจฝึกอย่างหนักเลียนแบบพระเอกหนัง   แหม๋.....ลืมไปว่าเส้นผมยังไม่มี  เชิดหน้าเสียหน่อย เดี๋ยวนี้สาวๆชอบผู้ชายมาดเท่ห์ทำตัวหยิ่งอย่างนี้ เพียงแค่นี้หัวใจของยอดยาหยีคงอ่อนระทวยเป็นมะเขือยาวถูกไฟรนแน่

         เห็นไหมล่ะ รีบหันขวับทันทีเมื่อผมเปิดประตูเข้าไป ดูเธอแสร้งทำเก๊กหน้าทนเก็บความรู้สึกไว้ไม่ยอมยิ้ม ทั้งที่สาวสมัยนี้เขาทำตัวเปิดเผย ทำตามใจเรียกร้องให้ปรารถนากันหมดแล้ว แต่ยอดยาหยีของผมยังทำตัวเป็นสุภาพสตรีที่แสนงดงาม  แต่เจอเสน่ห์ของผมวิ่งปะทะอย่างรุนแรงแบบนี้ จะฝืนใจตัวเองไหวได้นานเท่าไรเชียว อีกไม่นานดอกไม้งามต้องเอนกิ่งเข้ามาใกล้จนได้แหละ ผมฉีกยิ้มแค่มุมปากนิดนิด เพื่อตามเข้าบดขยี้หัวใจซ้ำ  ป่านนี้ประตูใจห้องคงเปิดกว้างรอผมทั้งสี่ห้องแล้ว ถ้ายกเฟอร์นิเจอร์เข้าตั้งเสียหน่อย ก็สามารถเข้าอยู่ได้เลย ไม่ต้องผ่อนไม่ต้องดาว์น

    จากคุณ : กุลา - [ 6 ก.ย. 49 12:29:47 ]

 
 


ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | PanTown.com | BlogGang.com