CafeTech-ExchangePantip MarketChatPantownBlogGangTorakhongGameRoom


    กระเจี๊ยบเขียวต้นนั้น

    กระเจี๊ยบเขียวต้นนั้น

    โดย ‘ศิกานต์’

           
               ...นับตั้งแต่วินาทีที่มองหน้าสบตากับเขาในวันปฐมนิเทศระดับมัธยมปลาย เมล็ดพันธุ์แห่งความชอบพอก็ถูกหว่านเพาะลงตรงกลางหัวใจ...มะตูมไม่สามารถทำอะไรกับมันลงไปได้ นอกจากมองดูมันเติบโตและผลิดอกออกใบเป็นความรัก...
               ทำไมน่ะหรือ...นั่นเพราะมะตูมรู้ตัวเองดีว่าไม่มีอะไรสักอย่างที่จะยึดหัวใจไกรไว้กับมะตูม มะตูมไม่สวย ไม่รวย ไม่เก่ง ผิดไปจากผู้หญิงอีกคนที่ก้าวเข้ามาในหัวใจของไกรอย่างมาดมั่นและสง่างาม ผู้หญิงคนที่ครอบครองหัวใจไกรจนเหลือเนื้อที่ให้มะตูมในส่วนของความเป็นเพื่อนเท่านั้น
               เธอคนนั้น ชื่อ เกด เกดเป็นคนสวย เป็นคนรวยและเป็นคนเก่ง ใบหน้าของเกดหวานเจียนหยด รูปร่างสูงระเหิดระหง ผมยาวถึงเอว กริยามารยาทอ่อนหวานเย่อหยิ่งอย่างคนที่ได้รับการเรียกขานว่า ‘คุณหนู’มาเท่าชีวิต ในขณะที่ไกรนั้นออกจะลุยๆ ชอบเล่นกีฬาและอยู่กลางแจ้งเป็นชีวิตจิตใจ ผิวพรรณจึงค่อนข้างคร้าม เข้ากับหน้าคมมีแววบึกบึน เป็นคู่รักที่ไม่มีอะไรเหมือนกันเลยแม้สักน้อย...ราวกับแม่เหล็กต่างขั้วอย่างไรอย่างนั้น มะตูมจึงไม่แปลกใจว่าทำไมสองคนนั้นถึงดึงดูดเข้าหากันได้รวดเร็วถึงเพียงนี้
                และเพราะมะตูมเป็น ‘เพื่อน’ของไกร มะตูมจึงพลอยอยู่ร่วมกลุ่มเดียวกับเกดตลอดปีการศึกษา ไม่ว่าทำรายงานหรือจับกลุ่มรับประทานอาหารกลางวัน มันทำให้เธอเรียนรู้ที่จะอดทนเห็นภาพ ทนฟังเสียงที่มีผลไม่ต่างไปจากการบีบคั้นหัวใจจนเลือดหยาดไหลให้เห็นกับตา มะตูมเรียนรู้ที่จะแสร้งทำเป็นไม่เห็น หรือหากเห็นเธอก็สามารถกลบเกลื่อนท่าทีที่ฟ้องถึงความในใจได้จนแนบเนียน...ทว่า ความอดทนในทุกๆเรื่องมีปริมาณจำกัด มะตูมกลัวใจตนเองเหลือเกินว่าวันหนึ่ง อะไรบางอย่างที่เฝ้ากลบฝังจะระเบิดออกมาด้วยอานุภาพการทำลายล้างรุนแรง
                  “แปลงนั้นหวานจนมดขึ้นแล้ว”
                  มะตูมเลือกเรียนแผนวิทยาศาสตร์-เกษตรกรรมด้วยเพราะความรักพืชพรรณในฐานะ ‘เด็กบ้านสวน’ที่เป็นมาตลอดชีวิต เธอรักโลก รักชีวิตที่ผลิบานขึ้นเหนือพื้นดิน เสียจนไม่แยแสกับแดดกล้าหรือลมแรง หากวันนี้ภาพที่เห็นกลับระคายเคืองเธอได้มากกว่านั้นหลายร้อยเท่านัก
                 ...ภาพของหนุ่มสาวสองคนนั่งยองๆถอนหญ้าพลางหยอกล้อเย้าแหย่ไปพลาง ท่ามกลางโลกสีเขียวของแปลงเกษตร...มะตูมแน่ใจว่าเกดและไกรมองเห็นมันเป็นสีชมพู และโลกใบนั้นเขามีกันสองคน...
                 ...นี่เราโง่มากหรือเปล่านะ...ที่ยังคงฝังใจไว้กับคนที่ไม่เคยเหลือบแลแยแสเราเลย...
                   ไม่รู้ว่าเพราะอะไร มะตูมคิดถึงต้นกระเจี๊ยบเขียวที่ขึ้นอยู่ริมแปลงเกษตร มันเกิดขึ้นมาด้วยอุบัติเหตุ เมล็ดอาจจะปนกับปุ๋ยหรือมูลนก แวบแรกที่เห็น มะตูมรู้สึกผูกพันกับมันอย่างประหลาดและตัดสินใจเก็บมันเอาไว้ ดูแลให้น้ำให้อาหารเท่ากับที่ให้ต้นไม้ในความรับผิดชอบของเธอทุกต้น
                    กระทั่งวันที่ทุกคนลงความเห็นให้ถอนมันทิ้งมาถึงเมื่ออาทิตย์ก่อน งานขุดถอนไม่ใช่งานง่าย เพราะรากไม้ได้แผ่ขยาย ชอนไชยึดดินไว้จนลึกและมั่นคงเสียแล้ว พวกเขาต้องขุดดินลึกและกว้างเป็นเมตรเสียจนเหงื่อไหลไคลย้อย ด้วยความระอุของไอแดดและอากาศร้อน
                    ตอนนั้นเองที่มะตูมคิด...เธอน่าจะถอนมันออกเสียตั้งแต่ยังเป็นต้นอ่อน เพราะมะตูมแท้ๆที่ทำให้เพื่อนต้องเสียทั้งพลังงานและเวลามากเกินจำเป็น เพราะและเพื่อวัชพืชต้นเดียวแท้ๆ
                    มะตูมจำภาพกระเจี๊ยบเขียวต้นนั้นยามถูกถอนรากโค่นโคนลงได้ดี ร่องรอยของมันยังอยู่ชัดเจนจนบัดนี้ เนื้อดินถูกขุดเป็นหลุมลึก กลายเป็นโพรงกว้าง...คงไม่ต่างจากเนื้อหัวใจของเธอหากต้องตัดใจและถอนต้นรักที่แผ่รากลงลึก
                    เจ็บเท่ากันใช่ไหม...กับการรักคนที่เขาไม่รักเรา...
                    “มะตูมเราเสียใจด้วยนะ เรื่องต้นกระเจี๊ยบ” ไกรเดินเข้ามากระซิบ เมื่อเกดแยกไปล้างไม้ล้างมือ นัยน์ตาของเขาอ่อนแสงลงอย่างอ่อนโยน พาให้ใจของคนฟังไหวยวบ
                    “เรารู้ว่ามะตูมรักต้นไม้ทุกต้น โดยเฉพาะกระเจี๊ยบต้นนี้ แต่มันโตเกินไปแล้ว กินเนื้อที่ไปถึงกลุ่มอื่นและแย่งอาหารผักในแปลง”
                    “เราเข้าใจ” มะตูมเอ่ยได้แค่นั้น เพราะวินาทีนั้นเองที่เธอค้นพบคำตอบของทุกคำถาม

                   
                   เกดรู้สึกเหนื่อยเอามากๆในระยะหลัง
                   การเรียนในมหาวิทยาลัยเริ่มหนัก โดยเฉพาะกับเด็กที่สอบเทียบมาอย่างเกด แม้จะเป็นเพียงวิชาวิทยาศาสตร์ขั้นพื้นฐานของหลักสูตรแพทยศาสตร์ แต่มันทำให้เกดหนักใจเมื่อนึกถึงอนาคต เธอไม่มั่นใจเลยว่าจะทำออกมาได้ดี เกดเอาเรื่องนี้ไปปรึกษาพ่อ ท่านมองหน้าเกดปราดเดียวเท่านั้น แล้วเอ่ยเรียบๆด้วยประโยคอันคุ้นชิน
                   “คนอื่นทำได้ แกก็ทำได้ มีมือมีเท้าเท่ากันแท้ๆ”
                   เกดน้ำตาร่วง นี่พ่อจะรู้บ้างไหมหนอ ว่าเพื่อพ่อ เพื่อครอบครัว เกดต้องทิ้ง ต้องยอมสูญเสียอะไรไว้เบื้องหลังบ้าง? เพราะเกดเป็นความหวัง เพราะเกดเป็นความสุขของท่าน เกดจึงต้องทุ่มเทจนสุดตัวสุดใจ ให้ท่านได้เอ่ยอ้างอย่างภาคภูมิ
                   “ลูกสาวผมติดหมอจุฬา ปีนี้แกเพิ่งอยู่มอห้า”
                    แล้วความสุขของเกดล่ะ ความสุขของเกดอยู่ที่ไหน...เกดถามตนเอง แล้วพลันดวงหน้าหนึ่งก็ลอยขึ้นมาให้คำตอบ เป็นดวงหน้าคร้ามคมที่กำลังแย้มยิ้มของหนุ่มน้อยผู้เปี่ยมไปด้วยอารมณ์สนุกสนาน เมื่ออยู่กับเขา เกดหัวเราะได้ตลอดเวลา เมื่อรักกับเขา เกดสดชื่นเหมือนคนจรในทะเลทรายยามพบแหล่งน้ำเย็นใส
                    ไกรเป็นความสุขของเกด ไกรจึงมีค่ากับเกดมาก เกดไม่แยแสหรอกนะกับการต้องมีแฟนอยู่มอปลายนุ่งขาสั้น ในขณะที่เกดเป็นนิสิตมหาวิทยาลัยเต็มตัว แต่ไกรกลับใส่ใจสนใจมันมากอย่างนึกไม่ถึง
                     “เฮ้ยไกร...แม่ เอ๊ย พี่สาวมารับกลับบ้านหรือวะ”
                    ไกรหน้าเครียด นัยน์ตาขุ่น ไกรคนที่สนุกสนานแจ่มใสแม้ในวันเวลาที่ยากเย็นที่สุดหายไปเสียข้างไหนกันนะ ไกรคนนี้ทุกข์ตรม สลดเศร้า เก็บเนื้อเก็บตัวเสียจนเกดเริ่มเบื่อ...เบื่อมากๆ
                    เกดเจอเรื่องเครียดๆมามากพอแล้ว ทำไมเกดต้องมารับฟังปัญหาของไกร มาเครียดมาเคร่งมาแคร์ไกรในเวลาที่เกดเองยังเอาตัวเองไม่รอดไปจากปัญหาของตนด้วย
                    สังคมน้องใหม่ในมหาวิทยาลัยของเกดเป็นสังคมที่เปิดกว้าง มีกิจกรรมและผู้คนใหม่ๆเพิ่มขึ้นในชีวิตโดยไม่ทันรู้ตัว เกดเพลิน เพราะมันทำให้เกดสามารถหลงลืมความเครียดลงได้ชั่วครู่ชั่วยาม มารู้ตัวอีกที ก็เมื่อไกรเริ่มทำตัวแย่ลง หึงหวงและตั้งคำถามกับเกดมากขึ้น
                    “ผู้ชายคนนั้น...คนที่เกดนั่งรถเขามาสยามเป็นใคร”
                    “นี่เกดอยู่ไหนทำไมยังไม่กลับบ้าน แล้วจะกลับเมื่อไร”
                    “เกด...ทำไมไม่รับโทรศัพท์ผม”
                      ฯลฯ
                     เกดหงุดหงิด เพราะความเหนื่อยจนเปลี้ย สมองหรือเล่าหนักจนแทบดิ่งพื้นโลก ที่เจียดเวลามาคุยกับไกรทุกวันก่อนนอนเหมือนเคย นับว่ามากมายแล้วสำหรับเกด
                     หากไกรกลับไม่พอใจ ไม่ไว้วางใจเกดมากขึ้นทุกวัน
                     ...เกดโกรธไกรมากนะ โกรธที่ไกรไม่เชื่อใจเกด ดี! ในเมื่อไกรคิดว่าเกดไม่ซื่อสัตย์ เกดหลายใจ เกดคงทนคบกับไกรต่อไปไม่ได้...เกดบอกไปอย่างนั้น ไกรมองหน้าเกดด้วยสายตาที่เกดอ่านไม่ออก แล้วหายไปจากชีวิตของเกด...
                      มะตูมโทรมาหาเกดเมื่อคืน...เพื่อนร่วมชั้นคนที่ขาวจนเกือบซีด ตัวเล็กบางสูงแค่ปากของเกดเท่านั้น ท่าทางเรียบร้อยเงียบๆหงิมๆ เขาเป็นทุกข์เป็นร้อนแทนไกรใหญ่โต บอกเกดว่าไกรกำลังมีปัญหาทางบ้าน ไกรขาดเรียน ไม่ตั้งใจเรียนจนผลการเรียนตกและเริ่มมีปัญหากับทางโรงเรียน
                     ...แม่คุณเอ๋ย...ช่างไม่รู้อะไรเอาเสียเลย!
                     เธอช่างไม่รู้เอาเลยว่าความทุกข์และแรงกดดันของเกดมีมากมายมหาศาลแค่ไหน มันมากเกินกว่าเกดจะสามารถแบ่งปันปัญหาของใครมาได้อีก
                     “มันธุระอะไรของเธอเหรอ มะตูม นี่มันเรื่องระหว่างเรากับไกร”
                     หากสายนั้นถูกตัดก่อนจะจบประโยคแสนกระด้างประโยคนี้ด้วยซ้ำ
                     เกดเป็นเหมือนไม้ดัด ที่ถูกคนรอบข้างดัดเป็นรูปเป็นร่างตามใจพวกเขา กิ่งและก้านจึงตึงจนเครียด ใกล้หักโค่นเต็มที ไม่สามารถนับน้ำหนักจากใครหรืออะไรเพิ่มอีกแล้ว
                     ความใกล้ชิดของมะตูมกับไกรกำลังพูนทวี และเกดก็เริ่มกลัว...กลัวเสียเหลือเกินว่าไกรจะใจอ่อนให้กับความใกล้ชิด อ่อนไหวไปกับคำปลอบโยนที่ฝ่ายหญิงหยิบยื่นให้
                     เกดไม่มีวันยอมสูญเสียไกรให้กับใคร...ไม่มีวัน!
                     เกดตัดสินใจคว้าโทรศัพท์...หมุนหมายเลขที่จำได้จนขึ้นใจ

                     
                     ผมเพิ่งวางโทรศัพท์เมื่อครู่นี้เอง
                     เกดโทรมา...ผมเกือบลืมเธอไปแล้ว ลืมเด็กผู้หญิงสะสวยอ่อนหวาน คนที่พูดจาเดินเหินนุ่มนวลราวกับเกิดในรั้วในวังคนนั้น ในช่วงแรก ผมได้แต่แอบมองเธอ เกดตั้งใจและเคร่งขรึมอย่างมากเวลาเรียน บางครั้งออกเศร้า ชั่วขณะนั้นผมปรารถนาเสียเหลือเกิน...
                    ปรารถนาที่จะแบ่งปันความรู้สึกนี้กับเธอ รับรู้เรื่องราวของเธอให้มากกว่าที่เป็น
                    ผมรู้ดีว่าผู้หญิงคนอื่นๆในห้องและในสาย มักมองและเอ่ยถึงเกดอย่างหมั่นไส้เพราะความที่เธอทำตัวสูงส่ง บอบบางอยู่ทุกขณะจิต เกดจึงหยิบหย่ง คล้ายไม่หยิบจับอะไรเลยเวลาพวกเราต้องลงแปลง เกดกลัวกระทั่งคราบดินจะเปื้อนรองเท้านักเรียน และเดินหนีออกจากรัศมีน้ำจากสายยางไกลเกินเหตุทุกครั้งที่แปลงข้างเคียงรดน้ำ
                    ผมกลับสงสารเกดและนึกเอ็นดู....นั่นเพราะเกดเหมือนแม่ผมราวโขกมาจากพิมพ์
                   ...หน้าตาสะสวย รูปร่างแบบบาง ผิวพรรณผ่องแผ้ว ลักษณะท่าทางสูงส่งไม่ติดดิน...เคยมีคนเอ่ยล้อแม่ผมว่าเป็นดอกฟ้าขนานแท้และดั้งเดิม ผมจำได้ว่าแม่ยิ้ม และตอบไปว่า เพราะสายเลือดและคำนำหน้านามทำให้แม่เป็นดอกฟ้า แต่แม่ก็มีความสุขกับผืนดินอย่างเหลือเกิน...
                    แม่เป็นคนรักต้นไม้ ชอบที่จะปลูกและทะนุถนอมพืชพรรณ แปลงผักสวนครัวหลังบ้านกับสวนดอกไม้หน้าบ้านเรางามอย่าบอกใครเชียวครับ แม่ทุ่มเทและเอาใจใส่มันอย่างมาก
                   เอ...อันหลังๆนี่ยิ่งห่างไกลจากตัวเกดไปทุกที เห็นจะคล้ายยายมะตูมมากกว่า...เพื่อนผมคนนี้ตัวเปี๊ยกเดียวเท่านั้น ผิวขาวเหมือนสำลี ท่าทางคล้ายถูกลมพัดทีจะปลิวหายไปอย่างนั้น แต่เนื้อในกลับผิดรูปลักษณ์ มะตูมชอบที่จะขลุกอยู่กับดอกไม้ต้นไม้ในแปลงอย่างไม่กลัวแดดเผา หากไม่อยู่ในแปลงก็นอนเขลงในเรือนเกษตร เท้าคางดูหนังสือภาพพรรณไม้สีสวยๆอย่างเพลิดเพลิน...เหมือนเด็กเล็กๆยังไม่เดียงสาคนหนึ่งมากกว่าเด็กมอปลาย
                   มะตูมรักและเอาใจใส่ต้นไม้ทุกต้น ไม่ว่าจะใหญ่เล็กหรือสวยงามมากน้อยแค่ไหน ยิ่งกับกระเจี๊ยบเขียวต้นนั้น มะตูมเป็นคนแรกที่สังเกตเห็นมันแฝงตัวอยู่ริมมุมด้านหนึ่งของแปลง
                   ...ต้นอ่อน เล็ก บอบบาง ทว่าเขียวใสอย่างมีชีวิตชีวา หยัดรากในคราแรกอย่างเจียมเนื้อเจียมตัว แต่แล้วกลับแผ่ขยายรากรวดเร็ว ลึกล้ำเกินคาดหมาย...
                   มะตูมยังคงอาวรณ์กระเจี๊ยบเขียวต้นนั้น...แม้เมื่อจะผ่านการขุดโค่นไปเนิ่นนานและผมเองก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากชี้แจงปลอบโยนไปตามเรื่อง
                  “เราเข้าใจ”ตาสบตา ชั่วพริบตานั้น ผมบังเกิดความคิดแปลกประหลาดอย่างหนึ่งขึ้นมา ความคิดที่ว่า แท้จริงและมะตูมกับต้นไม้ต้นนั้นคือกันและกันนั่นเอง
                   ...แฝงตัวในมุมอับสายตา ทำตัวเองให้คล้ายไม่สลักสำคัญ แต่เติบโตอย่างมั่นคงและแข็งแรงเกินคาดฝัน นั่นมิใช่มะตูมหรอกหรือ?
                   หวนคิดไปถึงเกด...สำหรับผม เกดเป็นไม้ดอกอะไรสักชนิด...สีสวย กลิ่นหอม ราคาแพง...เป็นพันธุ์ไม้ประเภทที่เจ้าของถนอมไว้ในเรือนกระจกกันแดดกันลม ได้รับการตกแต่งดูแลอย่างดี มีหน้าที่เพียงชูช่องดงามเป็นเกียรติเป็นศรีแก่เจ้าของของมันเท่านั้น เกดจึงรู้จักแต่รับ รับและรับมาตลอด...ไม่เคยคิดที่จะให้อะไรกับใคร ไม่เคยเลย...
                   ผมเห็นใจดวงจริงของเธอเมื่อมรสุมลูกโตสาดโครมเข้ากลางครอบครัว ยามที่ผมเห็นดอกฟ้าดอกเดียวของบ้านถูกดขยี้จนหมองศรี ตกตมจมดินด้วยน้ำมือเดียวกับที่เคยโน้มเธอลงจากฟากฟ้าครั้งกระโน้น น่าสะอิดสะเอียดและชิงชังนักหนาที่ผมต้องเรียกเจ้าของมือคู่นั้นว่า...พ่อ!
                   เกดไม่รู้หรอกว่าผมเริ่มตั้งคำถามกับตนเองโดยที่หาคำตอบไม่ได้แม้สักคำเดียว คำถามที่ว่าความรักที่แท้นั้นคืออะไร มันสามารถล่มสลายลงง่ายๆ จบลงง่ายๆได้เฉกนี้เองละหรือ...เป็นคำถามที่เกดเข้ามาให้คำตอบกับผมโดยที่เธอไม่รู้ตัว เมื่อเธอห่างเหินออกไปโดยเจตนา มีความเบื่อหน่ายเฉยชายามจ้องมองมาที่ผมและความหวานที่เคยมีอยู่ก็เปลี่ยนแปรไปอยู่ในสายตาที่มองนิสิตหนุ่มรูปหล่อร่วมคณะแทนที่ผม
                   ผมได้คำตอบที่ว่า แท้จริงแล้วรักคืออารมณ์ชนิดหนึ่ง เกิดได้ย่อมดับสูญได้ ผมกับเกดไม่พร้อมเลยที่จะมีความรัก เรายังเด็กเกินไป มองความรักแต่ในแง่งดงามและไม่คิดที่จะรับความทุกข์อันเกิดจากมัน
                   แต่ความทุกข์นั้นเองที่เป็นบทเรียนให้กับผม...ความทุกข์ที่ต้องเห็นมารดาบังเกิดเกล้าค่อยๆเศร้าซึมจนแทบจะกลายเป็นวิปลาส...ความทุกข์ตอนที่ต้องอุ้มร่างบางร่างนั้นส่งโรงพยาบาลด้วยหัวใจที่ไหวระรัวเพราะแม่กรอกยานอนหลับหมดทั้งขวดในคราวเดียว!
                    ขอบคุณสวรรค์! บัดนี้ผมเติบโตขึ้นทั้งกายใจและสามารถก้าวล่วงมันได้ในที่สุด
                    ใต้เงาไม้เลื้อยสะพรั่งไปด้วยดอกดวงสีม่วงพราวของอัญชัน ท่ามกลางสรรพสิ่งเขียวขจี ผมมีคนที่รักและรอผมอย่างไม่มีเงื่อนไข คนที่หวังดีต่อผมอย่างจริงใจรออยู่ตรงนั้น ยืนอย่างที่เคยยืนมาเป็นปีตรงมุมอับสายตา มองผมด้วยสายตาที่มองมาตลอดเวลาที่รู้จัก...อ่อนโยน จริงใจ รักใคร่ไยดี...ทั้งหมดทั้งปวงนี้เป็นยิ่งกว่าแหล่งพลังงาน เป็นมากกว่าหลักเข้มแข็งแน่นหนา ให้ผมเกาะยึดยามหกล้มหกลุก
                    ...ที่เกดประชดนั้นถูกแล้ว ผมกำลัง ‘แพ้ความดี’ เป็นน้ำใจดีของเธอผู้นั้นเองที่เฝ้ารินรดกล้าไม้แห่งมิตรภาพระหว่างเรา...
                   “เกดโทรมาตะกี้”ผมตัดสินใจบอกความจริง “เกดร้องไห้ เขาบอกว่าเขาเพิ่งรู้ว่าเรามีปัญหา เขาขอโทษที่ไม่ได้มายืนเคียงข้างเรา เขาขอเริ่มต้นใหม่ ก็แปลกดี พ่อทิ้งแม่ไปตั้งแต่ต้นเทอม สมัยที่พี่เกรียงยังไม่กลับมาจัดการเรื่องแม่ ตอนนั้นเราต้องการเขาเป็นที่สุด เขากลับไม่ไยดีเราเลยสักนิด พอมาตอนนี้ เขาเพิ่งมาเสียใจ มาเสียดายเรา เหมือนเสียดายสัตว์เลี้ยงอะไรสักตัวที่หนีออกจากบ้าน”
                    “ตอนนั้น ไกรไม่ยอมบอกเกดเขาสักคำนี่นา”
                    “ถ้าเขาถาม ถ้าเขาใส่ใจเรากว่านั้น เราคงบอกไปแล้ว เกดไม่สนใจเราเอง คิดแต่ว่าตัวเขามีความทุกข์มากเหลือเกิน ไม่มีที่ว่างในใจให้ใครหรืออะไรอีกต่อไป คนจะคบกัน ถ้าไม่คิดถึงใจอีกฝ่ายเลย ให้รักยังไงคงไม่รอด ว่าแต่มะตูมจะปลูกต้นกระเจี๊ยบเขียวไหม เราขอปันที่อาจารย์ตรงริมรั้วแล้ว อาจารย์อนุญาตเพราะเป็นพืชสมุนไพร รู้สึกว่าจะรักษาโรคกระเพาะอาหารหรืออะไร เราไม่แน่ใจ ต้องเปิดดูหนังสืออีกที”
                    “กระเจี๊ยบเขียวไม่ใช่กระเจี๊ยบแดงนะจ้ะ นอกจากฝักอ่อนกินกับน้ำพริกได้ ไม่เห็นมีอะไรดี ผิวใบสากระคายก็ปานนั้น ดอกไม่สวย ชงน้ำกินก็ไม่ได้ เราว่าปลูกอย่างอื่นดีกว่า”
                    “ถ้าไม่สวย ไม่มีอะไรดี แล้วทำไม มะตูมถึงรักต้นที่พวกเราขุดทิ้งไปนักล่ะ”
                    มะตูมไม่ตอบแต่ซ่อนยิ้มในเงามืดของร่มไม้ กระเจี๊ยบเขียวต้นนั้นถูกขุดโค่น เพราะความคิดที่ว่ามันไม่มีอะไรดี เกะกะกีดขวาง และแย่งอาหารพืชต้นอื่นที่ดีและมีค่ามากกว่าในบริเวณข้างเคียง...
                    มะตูมเชื่อว่านี่คือสัญญาณบางอย่างที่ใครสักคนบนฟ้าส่งมาชี้นำ...กระเจี๊ยบเขียวต้นนั้นคือตัวเธอ และสิ่งที่เกิดขึ้นกับมัน คือสิ่งที่กำลังจะเกิดกับเธอ มะตูมต้องดิ้นรนหาทางรอด และอันที่จริงทางรอดนั้นอยู่ไม่ไกลเลย เพราะไม้ดอกงามเฉิด ส่งกลิ่นหอมหวานที่ปลูกเทียบเคียงและกดข่มเธอจนกลายเป็นวัชพืชเลวๆสักต้นนั้น แท้จริงแล้วเหี่ยวเฉาง่ายดาย รากตื้นไม่ยึดดิน ซ้ำลำต้นยังบอบบางอ่อนแอ...
                   มะตูมไม่จำเป็นต้องทำอะไรเลย...แค่รอวันหาโอกาสให้ความอ่อนแอ ไร้รากไร้หลักของเจ้าหล่อนเผยตัวตนออกมาเท่านั้น
                   ...กระเจี๊ยบเขียวต้นนี้ก็จะอยู่รอดปลอดภัย ระบัดใบใต้ฟ้าครามและหยัดรากบนพื้นโลกอย่างมั่นคงต่อไป...

    แก้ไขเมื่อ 06 ก.ย. 49 17:29:41

    แก้ไขเมื่อ 06 ก.ย. 49 17:29:08

    แก้ไขเมื่อ 06 ก.ย. 49 17:28:15

    แก้ไขเมื่อ 06 ก.ย. 49 17:26:07

    แก้ไขเมื่อ 06 ก.ย. 49 17:22:31

    แก้ไขเมื่อ 06 ก.ย. 49 17:15:57

    แก้ไขเมื่อ 06 ก.ย. 49 17:14:07

    แก้ไขเมื่อ 06 ก.ย. 49 17:13:14

    จากคุณ : น้ำฝนหยดอ้วน - [ 6 ก.ย. 49 17:12:13 ]

 
 


ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | PanTown.com | BlogGang.com