CafeTech-ExchangePantip MarketChatPantownBlogGangTorakhongGameRoom


    *** Allan Quatermain *** จอมพรานสุดขอบฟ้า*** บทที่ ๑๔ วิหารทานตะวัน

    แปลจากเรื่อง  Allan Quatermain  ของ SIR  HENRY  RIDER  HAGGARD

    บทที่ ๑๔
    วิหารทานตะวัน

    เมื่อข้าพเจ้าตื่นขึ้นในเช้าวันต่อมาหลังจากที่มาถึงนครไมโลซีสนาฬิกาของข้าพเจ้าบอกเวลาแปดโมงครึ่ง        นอนหลับไปเกือบสิบสองชั่วโมงข้าพเจ้าต้องบอกว่ารู้สึกดีขึ้นเป็นอย่างมาก      การนอนช่างมีความสุขอย่างเหลือเกิน!      เป็นสิบสองชั่วโมงที่ทำให้พวกเราแตกต่างไปหลังจากผ่านความเหนื่อยยากและอันตรายมาตลอดวันตลอดคืน       เหมือนกับว่าขึ้นเตียงนอนเป็นคนหนึ่งแล้วลุกขึ้นมาเป็นอีกคนหนึ่งที่แตกต่างไป

    ข้าพเจ้าลุกขึ้นนั่งบนที่นอนหุ้มด้วยผ้าไหม---ข้าพเจ้าไม่เคยนอนบนที่นอนเช่นนี้มาก่อนเลย---สิ่งแรกที่ข้าพเจ้าเห็นคือแว่นตาของกัปตันกู๊ดจับจ้องอยู่ที่ข้าพเจ้าจากซอกของที่นอนคลุมด้วยผ้าไหมของเขา        ไม่มีส่วนอื่นของร่างกายเขาให้มองเห็นนอกจากแว่นตา       แต่ข้าพเจ้ารู้จากอาการที่มองมาว่าเขาตื่นอยู่และคอยให้ข้าพเจ้าตื่นเสียก่อนเพื่อที่จะเริ่มต้น

    “ผมว่านะ   ควอเตอร์เมน”     เขาเริ่มต้นอย่างมั่นใจ     “คุณสังเกตผิวของพระนางไหม ?     มันช่างเนียนเรียบเหมือนกับด้านหลังของแปรงหวีผมทำจากงาช้าง”

    “ตอนนี้ระวังหน่อย กู๊ด”      ข้าพเจ้าทัดทานเขา       เมื่อมีเสียงม่านถูกชักขึ้นไป      มีพนักงานเข้ามาทำสัญญาณว่าเขาจะนำพวกเราไปอาบน้ำ      เรายินยอมตามเขาด้วยความยินดี     จึงถูกพาไปยังห้องหินอ่อนงดงาม       มีบ่อน้ำใสไหลอยู่ตลอดเวลาตรงกลางห้องพวกเรากระโจนลงไปด้วยความเบิกบานใจ         เมื่ออาบน้ำเสร็จแล้วเรากลับมายังห้องพักของเราแล้วแต่งตัว        จากนั้นไปยังห้องโถงกลางที่เรากินอาหารค่ำเมื่อวานนี้      พบว่ามีอาหารเช้าเตรียมไว้ให้พวกเราพร้อมอยู่แล้ว     เป็นอาหารชุดใหญ่จริง ๆ ข้าพเจ้าจึงงงที่จะบรรยายว่าแต่ละจานมีอะไรบ้าง      หลังจากอิ่มจากอาหารแล้วเราเดินเล่นไปรอบ ๆ ชื่นชมกับม่านและผืนพรมและรูปแกะสลักบางชิ้นที่ประดับอยู่แถวนั้น       สงสัยอยู่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไปในเบื้องหน้า         ที่จริงแล้วในช่วงเวลานี้จิตใจของพวกเราอยู่ในสภาวะงุนงงอย่างที่สุดว่าเรามาอยู่ที่ไหนกัน         ตามความเป็นจริงเราพร้อมที่จะรับมือกับทุกสิ่งที่จะมาถึง        ส่วนความรู้สึกประหลาดใจของพวกเรามันถูกลบล้างไปจนหมดแล้ว       ขณะที่เรากำลังยุ่งอยู่กับความชื่นชมของประดับเหล่านั้น       สหายของเราหัวหน้าองค์รักษ์ปรากฏกายขึ้นพร้อมกับอาการก้มคำนับอยู่หลายครั้งทำให้รู้ว่าเราต้องตามเขาไป       เราตามเขาไปพร้อมกับความสงสัยและกระวนกระวายใจ       เพราะเข้าใจว่าถึงเวลาที่พวกเราจะต้องชดใช้ให้กับเจ้าพวกฮิปโปโปเตมัสจากสหายที่มีดวงตาเยือกเย็นหัวหน้าพระอากอน         ถึงอย่างไรมันก็เป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้       และโดยส่วนตัวของข้าพเจ้ารู้สึกสบายใจเป็นอย่างยิ่งจากคำสัญญาที่จะปกป้องพวกเราโดยนางพญาสองพี่น้อง       รู้ดีว่าถ้าเป็นความตั้งใจของผู้หญิงแล้วพวกเธอต้องหาหนทางได้เสมอ       ดังนั้นเราจึงออกเดินไปเหมือนกับว่าพวกเราชอบที่เป็นอย่างนั้น       เดินไปหนึ่งนาทีผ่านไปตามทางเดินและลานภายนอกไปยังบานประตูใหญ่มากสองชั้นของพระราชวังที่เปิดออกไปสู่ถนนกว้างใหญ่ซึ่งทอดตัวสูงขึ้นไปผ่านใจกลางนครไมโลซีสมุ่งไปยังวิหารพระอาทิตย์ห่างไปหนึ่งไมล์       แล้วลงเนินไปทางด้านไกลสุดของตัววิหารสู่กำแพงภายนอกของตัวเมือง

    ประตูแห่งนี้สูงใหญ่และแข็งแกร่งมากสร้างขึ้นอย่างสวยงามเป็นพิเศษด้วยโลหะ       ระหว่างบานประตูคู่นี้---ประตูหนึ่งตั้งอยู่ตรงทางเข้ามาสู่ภายใน      อีกประตูหนึ่งตั้งอยู่ที่กำแพงภายนอก---เป็นคูน้ำกว้างสี่สิบห้าฟุต         คูน้ำแห่งนี้มีน้ำขังอยู่จนเต็มทอดข้ามด้วยสะพานยก        เมื่อสะพานยกขึ้นทำให้พระราชวังแทบจะไม่สามารถจะตีให้แตกได้โดยวิธีใดนอกเสียจากว่าจะใช้ปืนใหญ่       เมื่อเรามาถึงบานประตูข้างหนึ่งของประตูใหญ่เปิดอยู่เราผ่านไปบนสะพานยกและในไม่ช้าออกมายืนเพ่งตาไปยังสิ่งที่สะดุดตามากอีกแห่งหนึ่งถ้ามันไม่ใช่สิ่งที่สะดุดตาอย่างที่สุดของถนนในโลกนี้        ถนนนี้กว้างหนึ่งร้อยฟุตจากขอบถนนข้างหนึ่งไปยังอีกข้างหนึ่ง       และในแต่ละข้างไม่มีสิ่งก่อสร้างแออัดยัดเยียดตามแบบถนนในยุโรปของพวกเรา        แต่ละอาคารมีพื้นที่ของตัวเองและก่อสร้างขึ้นมีระยะห่างเท่า ๆ กันและเป็นแบบเดียวกันทั้งหมดเป็นอาคารงดงามชั้นเดียวสร้างจากหินแกรนิตสีแดงทั้งหมด       ที่นี่เป็นอาคารบ้านพักของขุนนางข้าราชสำนักเรียงทอดตัวยาวเหยียดไปเป็นไมล์หรือกว่านั้นจนสายตาไปหยุดอยู่ที่รัศมีอันงดงามของวิหารพระอาทิตย์บนยอดเขาที่สุดถนน

    ขณะที่เรายืนจ้องมองภาพอันโอ่โถงงดงามนี้อยู่แค่ประเดี๋ยวเดียว       ในทันใดมีรถม้าสี่คันแล่นทะยานมาที่หน้าประตูแต่ละคันเทียมรถด้วยม้าขาว       รถม้านี้มีสองล้อทำจากไม้ยึดด้วยคันรถแข็งแรงรองรับน้ำหนักด้วยสายรัดทึบทำจากหนังซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของสายบังเหียน       ล้อมีแค่สี่ซี่ยึดด้วยเหล็กไม่มีส่วนรองรับแรงกระแทก         ด้านหน้าของรถม้าตรงส่วนที่อยู่บนคันรถพอดีเป็นที่นั่งเล็ก ๆ ของสารถีมีราวกั้นอยู่โดยรอบกันไม่ให้เขากระเด็นออกมาจากรถ       ภายในตัวรถมีสามที่นั่ง      แต่ละข้างมีหนึ่งที่นั่งและส่วนด้านหลังม้าอีกหนึ่งที่นั่งตรงข้ามเป็นประตู       ตัวรถมีน้ำหนักเบาแต่สร้างมาอย่างแข็งแรงมีส่วนโค้งส่วนเว้าสวยงาม       แม้ว่ารูปร่างจะโบราณแต่ก็ไม่น่าเกลียดสักครึ่งหนึ่งของที่คาด

    แม้ว่าตัวรถจะขาดบางอย่างที่พึงปรารถนาแต่สำหรับม้าไม่ใช่        พวกมันดูงดงามอย่างเรียบ ๆ  ตัวไม่ใหญ่มากนักแต่แข็งแรงท่าทางคึกคักมีหัวขนาดเล็ก      มีกีบเท้ากลมใหญ่ท่าทางวิ่งได้รวดเร็วและมีสายพันธุ์ดี        ข้าพเจ้าสงสัยอยู่เสมอว่าพวกมันมีสายพันธุ์มาจากไหนซึ่งมีลักษณะเด่นชัดให้เห็นได้หลายประการ       แต่ก็เหมือนกับเจ้าของของพวกมันประวัติความเป็นมาของพวกมันเป็นที่มืดมน      ที่ไหนมีคนม้าจะอยู่ที่นั่นด้วยเสมอ       รถม้าคันแรกและคันสุดท้ายมีทหารองค์รักษ์นั่งอยู่       แต่สองคันกลางว่างเปล่านอกจากสารถีและสองคันนี้พวกเราถูกพาไปขึ้น       อัลฟองเซกับข้าพเจ้าขึ้นคันแรก     เซอร์เฮนรี่กัปตันกู๊ดและอัมสโลโปกาสขึ้นคันถัดไป     และโดยทันทีเราออกเดินทาง      แล้วเราก็ไปกัน !      ในหมู่ชาวซู-เวนดิไม่ใช่เรื่องปกติที่เขาจะให้ม้าวิ่งเหยาะย่างไม่ว่าจะเป็นการขี่หรือควบขับรถม้า      โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อการเดินทางต้องการให้เร็วที่สุด---พวกเขาควบขับไปด้วยความเร็วสูงสุด        ทันทีที่เรานั่งลงสารถีส่งเสียงร้องออกไปม้าทะยานไปข้างหน้าเราถูกเหวี่ยงไปด้วยความเร็วที่แทบจะหายใจไม่ทัน      จนกระทั่งเมื่อข้าพเจ้าคุ้นเคยกับมันข้าพเจ้าจึงเกิดความกลัวขึ้นมาชั่วขณะว่ารถจะคว่ำ       สำหรับอัลฟองเซคนเคราะห์ร้ายด้วยใบหน้าของคนสิ้นหวังเขาเกาะด้านข้างของสิ่งที่เขาเรียกว่า “ปีศาจรถม้า” คิดแต่ว่าเขาจะพบกับวาระสุดท้ายได้ทุกขณะจิต      ในไม่ช้าเขาก็ถามขึ้นมาว่าเราจะไปไหน       และข้าพเจ้าตอบเขาเท่าที่ข้าพเจ้าพอจะรู้ว่าเรากำลังถูกนำตัวไปบูชายัญโดยการเผาไฟ        ท่านน่าจะได้เห็นใบหน้าของเขาขณะที่เขายึดด้านข้างของรถม้าเอาไว้แล้วร้องออกมาด้วยตกใจ

    แต่สารถีหน้าตาดุร้ายทำเพียงแค่เอนตัวไปข้างหน้าบนหลังม้าที่กำลังควบทะยานไปพร้อมกับส่งเสียงตะโกน      เสียงลมที่กระโชกผ่านไปกลบเสียงร้องคร่ำครวญด้วยความโศกเศร้าของอัลฟองเซไปจนหมดสิ้น

    จากคุณ : Sv - [ 11 ก.ย. 49 21:02:08 ]

 
 


ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | PanTown.com | BlogGang.com