CafeTech-ExchangePantip MarketChatPantownBlogGangTorakhongGameRoom


    ความดีไม่ใช่ความรัก

    “มันน่าแปลกไหม ในขณะที่คน ๆ หนึ่งทำเพื่อเราได้ทุกอย่าง เราเองยอมรับว่าเขาดีต่อเรา มีความจริงใจต่อเราจริง ๆ บางครั้งก็ยังเคยคิดว่าจะมีคนที่ทำเพื่อเราได้อย่างนี้อีกหรือ สิ่งเดียวที่เขาขาดไป ก็คือเขาไม่ใช่คนที่เรารักเท่านั้นเอง ฉะนั้นสิ่งที่เขาทำให้เรา ๆ เลยมองว่าเป็นความดีไม่ใช่ความรัก แตกต่างกับอีกคนที่เราไปรักเขา ไม่ว่าเขาจะทำอะไรให้เราไม่ว่ามันจะเล็กน้อยเพียงใดก็ตาม สิ่งเหล่านั้นจะถูกบันทึกไว้ในอีกที่หนึ่ง ที่ ๆ เราสงวนไว้ให้สำหรับคนพิเศษเท่านั้น...”

    เพื่อนสาวคนหนึ่งของผมเปรยขึ้นมาอย่างยืดยาว ในขณะที่ผมขยับหลอดคนน้ำแข็งที่อยู่ในแก้วกาแฟซึ่งหมดน้ำไปนานแล้ว

    “แล้วแกจะเอาอย่างไรล่ะ” ผมถาม หลังจากเห็นมันเงียบไปหลังจากเอ่ยจบไปนาน แล้วไม่มีทีท่าพูดต่อ

    “ก็คงเลือกคนที่ฉันรักล่ะวะ โอกาสมาทั้งที จริงมั้ย”

    “อืม ถ้างั้นก็คงช่วยไม่ได้ เดี๋ยวจะลองค่อย ๆ คุยกับพี่เขาให้ล่ะกัน แต่ท่าทางคงเจ็บหนักล่ะงานนี้ เมื่อวานแกก็มาร้องไห้ปรับทุกข์อยู่”

    เรื่องของเรื่องก็คือทั้งยายภาที่นั่งอยู่กับผมและพี่กร ต่างก็เป็นเพื่อนของผมทั้งคู่ ทั้งสองเจอกัน สนิทสนม ไปไหนมาไหนด้วยกัน รักกัน(มั้ง) แต่เมื่ออาทิตย์ที่ผ่านมานี่เอง ยายภาหนีออกจากรังรักที่เช่าอยู่ด้วยกันกับพี่กรไปกับหนุ่มที่ไหนก็ไม่รู้สองสามวัน ก่อนที่จะกลับมาแต่ก็ไม่ยอมกลับไปที่ห้องพี่กรอีกเลย ไม่ว่าแกจะพยายามตามง้อเท่าไหร่ก็ตาม ต้องขอบอกไว้ก่อนนะครับว่าเป็นเรื่องคร่าว ๆ เพราะยังมีเรื่องส่วนตัวของทั้งสองอีกมากที่ผมไม่รู้แม้ว่าทั้งอยู่จะอยูในระดับกินนอน เรียนเล่นกันมานานพอสมควร ก่อนที่จะออกมาทำงานอยู่ในปัจจุบัน

    และในตอนนี้ผมก็กำลังรับหน้าที่เป็นตัวแทนของทั้งสองฝ่ายแต่คนละจุดประสงค์ในส่วนของพี่กรนั้นพยายามให้ผมมาพูดเกลี้ยกล่อมให้กลับใจไปรักกันใหม่ ส่วนของยายภาดูแล้วไม่แคล้วคงได้รับงานให้กลับไปปลอบใจพี่เขาแน่ ๆ

    “ว่าแต่ว่า น้องดาวที่เคยแนะนำเมื่อเดือนก่อนน่ะเป็นไงบ้างถูกใจไหม”

    อยู่ ๆ มันก็พูดถึงสาวน่ารักที่มันแนะนำให้ผมรู้จักเมื่อเดือนก่อน

    “ก็ดี ว่ะ แต่กลัวเป็นอย่างแก” ผมเหน็บเข้าให้ดอกหนึ่ง

    “ขำตายล่ะ” มันตอบ พร้อม ๆ กับซึมลงไป จนทำให้ผมต้องสงวนคำพูดไปโดยปริยาย

    “ฉันยอมรับว่าฉันผิดว่ะ พี่กรแกดีกับฉันจริง ๆ แกก็รู้ว่าตั้งแต่ตอนเริ่มคบกับ ฉันเคยบอกพี่กรว่า พี่เขาไม่ใช่แบบที่ฉันชอบ เพียงแต่ฉันสามารถรับเขาเป็นได้มากกว่าเพื่อนธรรมดา ก็เลย เลยตามเลยมาเรื่อย ๆ ปีผ่านไป สองปีผ่านไป จนมาถึงทุกวันนี้ และในที่สุดฉันก็ได้เจอคนที่ฉันถูกใจจริง ๆ จนได้”

    “ถูกใจจนแกยอมตามเขาไปสองสามวัน เพราะเขาพูดชวนไม่กี่ชั่วโมงเนี่ยนะ” ผมเริ่มคุมตัวเองไม่อยู่เพราะมันสะกิดโดนจุดสำคัญอย่างเหมาะเหม็ง

    ผมเพิ่งรู้จากพี่กรเมื่อวานนี้เองว่าหนุ่มที่มันหนีตามไปเป็นนักเรียนเตรียมทหารเหล่าทัพเรือ ยายภากับเจ้าหนุ่มทหารเรือนี่เจอกันในร้านอาหารกึ่งผับที่แถว ๆ ที่ทำงานของมันในตอนเย็นวันหนึ่ง หลังจากคุยกันสองสามชั่วโมง มันก็ตามเขาไปเที่ยวต่างจังหวัดเสียเฉย ๆ แต่ตอนนี้เจ้าหนุ่มนั่นก็กลับเข้าไปเรียนต่อแล้ว โดยมีสัญญาว่าจะติดต่อถึงกันไม่ขาดตลอด จะได้พบกันเมื่อได้พักจากการเรียน ทั้งหมดนี้เป็นยายภาเองที่โทรมาบอกกับพี่กรเอง และพี่เขาเอามาบอกผมอีกทีหนึ่ง ซึ่งหลังจากนั้นผมได้โทรถามมันอีกทีก็ได้รับคำยืนยันจากมัน ผมก็เลยเทศน์ไปหนึ่งจบและก็เป็นสาเหตุที่มันนัดผมออกมาคุย ซึ่ง ๆ หน้าในวันนี้

    “แกไม่เข้าใจหรอก... ผู้หญิงเราน่ะมีผู้ชายในอุดมคติทุกคน ในตอนเด็ก ๆ ก็จะเป็นแบบเจ้าชายขี่ม้าขาวแบบในนิทาน ไม่ก็มีพ่อตัวเองเป็นต้นแบบ หรือคนอื่น ๆ ที่อยู่ใกล้ชิด แบบที่ฟรอยด์เรียกว่าปมอีเล็กตร้าไง ที่นี้พอโตขึ้นมามันก็จะมีภาพประทับติดอยู่ในจิตใต้สำนึกตลอดมา ที่หาได้ก็โชคดีไปเหมือนถูกล็อตเตอรี่รางวัลที่หนึ่ง ที่หาไม่ได้ก็พยายามหาใกล้เคียงหรือเอาเท่าที่รับได้ ส่วนที่ไม่ยอมรับต้องการแบบที่เฝ้ารอจริง ๆ แต่ไม่เจอก็เหี่ยวแห้งคาพวงไป”

    ไม่ต้องสงสัยไปครับ มันทำวิทยานิพนธ์เรื่องฟรอยด์ตอนจบมหาลัย วิทยานิพนธ์ฉบับนี้ได้รับรางวัลและใช้เป็นข้อมูลอ้างอิงของนักศึกษารุ่นต่อมาเสมอ ๆ

    “อย่ามาตลกสิ เดี๋ยวหัวเราะนะโว้ย”

    “ใครเอาส้น... ไปอุดปากแกหล่ะวะ อยากหัวเราะก็หัวเราะไปสิ อย่าติดกับกรอบให้มากนัก คุยเรื่องเครียดใช่ว่าจะหัวเราะไม่ได้นิ”

    “เออ ๆ แกเก่ง รู้เรื่องฟรอยด์ดี แกก็น่าจะรู้ตัวเองนี่หว่า เคยไปคุยกับหมอหรือยังว่าเป็นฮีสทีเรีย หรือเปล่า”

    ฮีสทีเรียของฟรอยด์ มีความหมายกว้างกว่าที่เข้าใจกันตามละครน้ำเน่ามากนัก นี่เห็นว่ามันเชี่ยวเรื่องฟรอยด์ผมถึงได้กล้าพูดออกไปอย่างนี้ แต่ถ้าเป็นกับคนอื่นถ้าผมพูดออกไปก็คงต้องระวัง หรือไม่ก็ต้องอธิบายตามหลังกันยืดยาวเป็นแน่ ดีไม่ดีก็อาจจะได้ใช้หน้าหล่อ ๆ เป็นที่รองรับมือขาว ๆ เนียน ๆ ฟรี ๆ

    “อืม ก็น่าคิดว่ะ แต่ฉันทำทุกอย่างไปหลังจากตัดสินใจ และก็รู้สึกตัวดีทุกอย่าง แม้จนกระทั่งหลังจากกลับมานั่งคิดจนถึงตอนนี้ ก็ยังอยู่ในขอบเขตปกติดี แต่ว่าง ๆ จะไปละกัน เผื่อได้อะไรใหม่ ๆ มาประดับความรู้ ขอบใจว่ะ”

    ผมก็ว่ามันปกติ ดี แม้ว่าจะมีร่องรอยของการนอนไม่หลับและร้องไห้ อื่น ๆ ก็ดูเป็นปกติดี มันยังดูเป็นตัวของตัวเอง เป็นยายภาที่ผมรู้จัก ไม่ว่าจะท่าทางการพูดจา น้ำเสียงที่สื่ออารมณ์ และมุขที่ขำน้อย ๆ แต่พองามของมัน

    นี่ถ้าเป็นคนที่ผมไม่รู้จัก หรือแม้กระทั่งคุณเอง ถ้าได้ข่าวแบบนี้คงต้องมองไปในแง่ลบสุด ๆ เป็น แน่ แต่นี่คือยายภาที่ผมรู้จักมานาน ผมจึงได้แต่งง เพราะไม่ว่าจะเรื่องการศึกษาที่ดีเยี่ยม ครอบครัวที่อบอุ่น การเงินก็ไม่มีปัญหาใด ๆ นิสัยใจคอหรือสิ่งใด ๆ ก็ไม่ส่อว่ามันจะทำเช่นนี้ได้ สุดท้ายผมจึงรวบรัดสรุปเองเป็นสองประการ อย่างแรกมันต้องเป็นโรคอะไรสักอย่างแน่ ๆ และก็ดูว่าโรคทางประสาทอย่างฮีสทีเรีย น่าจะเข้าเค้ามากที่สุด ส่วนอย่างที่สองก็คือ โลกนี้กว้างใหญ่นักอะไรที่ไม่คิดว่าจะเกิดขึ้นได้ อย่าไปคิดว่ามันไม่มีจริง สิ่งเหล่านั้นอาจจะเกิดขึ้นไม่มุมใดก็มุมหนึ่งในโลกนี้ ทำใจให้ยอมรับมันได้จะดีกว่า แล้วค่อยไปหาเหตุผลกันทีหลัง แต่ผมค่อนข้างเอียงไปทางอย่างที่สองเสียมากกว่าเนื่องจากวัฒนธรรมฮอลลีวู้ดที่บรรจุอยู่ในสมองผมนั้น หลายเรื่องมันเร็วกว่าการตัดสินใจสามชั่วโมงของยายภามากนัก

    “กลับมาเรื่องเดิมดีกว่าว่ะ เมื่อกี้พูดถึงชายในฝันใช่มั้ย แกลองคิดดูสิ อยู่ ๆ ถ้าแกเจอคนในฝันของแกนั่งอยู่ข้างหน้าแก แกจะทำอะไร” มันพยายามดึงผมกลับมาจากห้วงคำนึงที่ยาวนานทั้งความคิดและตัวอักษร

    “ก็คงคิดว่าฉันต้องทำ ๆ อะไรสักอย่างแล้ว อ่ะสิ” ผมตอบมันด้วยเพลง พี่ป้าง

    “นั่นหล่ะ ของฉันก็เหมือนกัน เพียงแต่ติดอยู่ว่า ฉันไม่ใช่ตัวคนเดียว ฉันมีพี่กร ก็แค่นั้นเอง” เสียงของมันมีอารมณ์ทุกครั้งที่เอ่ยถึงชื่อพี่กร

    “ก็น่าคิดดีว่ะ ในฐานะที่ฉันเป็นเพื่อนทั้งสองคน ก็คงพูดอะไรมากไม่ได้ ในเมื่อแกตัดสินใจดีแล้วและฉันก็เห็นว่าแกยังเป็นปกติทุกอย่าง แต่ก็มีอะไรอยากให้ทำหน่อย เผื่อจะคิดอะไรขึ้นมาได้บ้างนะ

    ผมเอากระดาษขาว A4 ที่เตรียมมาวางลงบนโต๊ะ พร้อมกับยื่นปากกาให้มัน แล้วก็บอกมันว่า

    “ก่อนอื่นเนี่ยแกพับกระดาษเป็นสองส่วน ให้มีรอยแบ่งเท่ากันนะ ด้านหนึ่งเขียนชื่อพี่กรลงไป อีกด้านหนึ่งเป็นส่วนของเจ้าทหารเรือที่มาใหม่ เขียนข้อดีของแต่ละคนลงไป”

    เห็นยายภาเขียนข้อดีของพี่กรลงไปได้เป็นสิบ ๆ ข้อ แต่ของคนใหม่เนี่ย ได้สามข้อก็คิดไม่ออกแล้ว เอ๋ จึงยื่นกลับมาให้ผม ผมรับกลับมาแล้วฉีกกระดาษตามรอยพับ ยื่นส่งส่วนของเจ้าทหารเรือให้มัน ส่วนของพี่กรนั้นผมพับครึ่งใส่ซองจดหมาย

    “ฉันเคารพในการตัดสินใจของทุกคนนะ ในเมื่อแกเลือกแล้ว ฉันก็จะไม่เข้าไปยุ่งไปบังคับแกหรอก เห็นกระดาษที่ว่างของเจ้าทหารเรือไหม ต่อไปก็อยู่ที่แกแล้วว่าจะเติมอะไรลงไป เวลาสามวันคงไม่เพียงพอที่จะคิดถึงอะไรได้มากมาย อีกอย่างความดีมันไม่ใช่ความรัก เหมือนอย่างที่แกเปรยมาตอนต้นน่ะล่ะ แต่เมื่อไหร่ก็ตามถ้าความรักของแกจางลง และความดีของคนที่รักในวันนี้ไม่เพิ่มขึ้นขอให้แกนึกถึงใครคนหนึ่งที่ ที่เขาบอกกับฉันว่าเขาจะยังรอแกอยู่ไม่ว่านานเท่าไหร่ก็ตาม ในตอนนั้นถ้าแกจะกลับมาให้บอกกับพี่เขาว่าหนูต้องการจะดูจดหมายที่ฝากไว้ ถ้าเขาตัดสินใจแสดงจดหมายฉบับนี้แก่แก ทุกอย่างก็คงเหมือนเดิม”

    เย็นนั้นผมแวะไปที่ห้องพี่กร ตั้งใจจะนำจดหมายฉบับนั้นมาฝากพร้อมกับบอกรายละเอียด มือของผมเคาะประตูขณะที่เพลง คนดีไม่มีที่อยู่ เข้าท่อนฮุคพอดี เลยถามพี่กรว่าอกหักทำไมต้องฟังเพลงพวกนี้ด้วยยังเจ็บไม่พอหรือ

    “ก็มันเพราะนี่หว่า ยิ่งฟังตอนนี้ยิ่งเพราะใหญ่ มองโลกในแง่ดีจะมีโอกาสฟังเพลงแล้วได้อารมณ์แบบนี้สักกี่ครั้งในชีวิตวะ” อย่าคิดว่าแกตอบมาด้วยน้ำเสียงร่าเริง เสียงเรียบ ๆ ค่อย ๆ และท่าทางเหม่อลอยทำให้มุขสร้างบรรยากาศ หรือแม้แต่คำพูดทำใจของแก ไร้น้ำหนักปลิวออกไปทางหน้าต่างพร้อมกับสายลมแทบจะทันที

    พี่กร เป็นรุ่นพี่ที่ผมเคารพนับถือคนหนึ่ง แกเรียนมาก่อนปีนึงแต่จบพร้อมกัน จนมาทำงานทำการก็ยังติดต่อกันอยู่สม่ำเสมออีกทั้งที่ทำงานไม่ได้ไกลกันมากนักเลยได้พบกันบ่อยมากกว่าเพื่อนคนอื่น ๆ เรื่องนิสัยใจคอนั้น เป็นคนดีมาก ๆ คนหนึ่งเลยทีเดียว แม้แต่คนอื่น ๆ เองก็ยังบอกกันว่าคนดีอย่างนี้หายากแล้วในปัจจุบัน กับยายภาเองผมก็เห็นแกดูแลเป็นอย่างดี ตอนที่ทั้งคู่คบกันใหม่ ๆ ผมยังบอกยายภาเองเลยว่าสงสัยมันทำบุญมาดี

    หลังจากการแจ้งข่าว พี่กรนั่งเงียบไปพัก แกหยิบจดหมายไปลูบคลำ พลิกไปมาก่อนบอกผมว่าแกตัดสินใจจะเก็บไว้โดยไม่อ่าน เพราะมันเป็นสิ่งแสดงว่ายายภาชอบเขาที่ตรงไหน จะรอจนกว่าทั้งคู่จะอยู่ด้วยกันอีกถึงจะเอาออกมาอ่านร่วมกัน

    “น้ำเน่าอ่ะพี่” ผมบอกไปตรง ๆ ใจจริงอยากจะสร้างบรรยากาศ เพื่อขัดจังหว่ะเหล่าเพลงอกหักที่พี่แกไม่รู้ไปหามาจากไหน

    ไหนเขาว่าเพลงอกหักมีน้อยเพราะคนไม่ชอบฟังแต่ผมนั่งอยู่สองชั่วโมงอยู่กับพี่กรได้ฟังไม่เห็นซ้ำสักเพลง พอเพลงไหนโดน แกก็จะนั่งตาละห้อย เงียบไป จนผมต้องกระตุ้นเตือนให้คุยเรื่องที่ค้างต่อ

    “แล้วแกไม่คิดหรือว่าเรื่องทั้งหมดนี้มันน้ำเน่ายิ่งกว่าอีก?”

    แกพูดมาอย่างนี้ผมก็เลยพูดไม่ออกไปด้วย จริงของแก เรื่องที่แกประสบยังน้ำเน่ากว่าคำพูดที่คิดว่าโรแมนติกเชยๆ ของแกเป็นกอง ไม่นานนักหลังจากนั้นผมก็ลาแกกลับ โดยอ้างว่ามีงานค้าง แต่ใจจริงมีหนังที่อยากดูเข้าอยู่ และได้โทรนัดสาวไว้แล้วด้วย แหม มันก็ต้องมีกันบ้างสิ ไม่ได้ทำงานสงเคราะห์นะครับคุณ ๆ

    สามวันหลังจากนั้นยายภาย้ายกลับเข้าไปอยู่กับพี่กรตามเดิม พี่กรดีใจโทรมาขอบอกขอบใจผมใหญ่

    หนึ่งอาทิตย์หลังจากนั้นยายภาย้ายออกจากห้องพี่กร กลับไปอยู่กลับทางบ้านที่ต่างจังหวัดโดยไม่บอกสาเหตุ ก่อนกลับมันโทรมาขอบใจผมอยู่ แต่มันไม่บอกว่าขอบใจเรื่องอะไร ปล่อยให้ผมค้างคาใจจนถึงทุกวันนี้

    หนึ่งปีหลังจากนั้นยายภาไปเที่ยวฮอลล์แลนด์ ตอนกลับมาซื้อของมาฝากผมพร้อมกับบอกว่าติดใจทางนั้นมากอยากไปอยู่

    อีกหกเดือนต่อมายายภาไปเที่ยวฮอลแลนด์อีกครั้ง ได้ข่าวจากเพื่อนๆ ผู้หญิงอีกคนในกลุ่มว่าไปปิ๊งหนุ่มไทยที่อยู่ทางนั้น

    ทุกวันนี้ยายภาแต่งงานและย้ายไปอยู่ถาวรกับสามีที่ฮอลแลนด์ ส่วนพี่กรดำรงตนเป็นโสดตลอดมาและยังเก็บจดหมายฉบับนั้นไว้อย่างถนุถนอมหวงแหน ก็ผมบอกแล้วนี่ครับว่าเขาเป็น “คนดี”

    ...........................................................................

    จากคุณ : biblio - [ 17 ก.ย. 49 17:23:13 ]

 
 


ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | PanTown.com | BlogGang.com