ความคิดเห็นที่ 7
ตอนที่ 7 ภาษาไทยง่ายนิดเดียว
จะเริ่มเขียนตอนนี้ ดิฉันใช้เวลานั่งระลึกอดีตอยู่สักครู่หนึ่ง เนื่องจากตลอดเวลา 6-7 เดือนที่เราสองคนย้ายมาอยู่ที่เมืองไทย คุณสามีของดิฉันก็เริ่มหัดพูดภาษาไทยได้หลายคำแล้ว ซึ่งกว่าจะออกเสียงและนำไปใช้ได้อย่างถูกต้องอาศัยความมานะอดทน และผ่านการถูกหัวเราะเยาะมามากมาย
ถ้าต้องเล่าเรื่องภาษา ดิฉันคงต้องขอเริ่มจากเรื่องนี้ก่อนเลย เป็นเรื่องที่ดิฉันประทับใจมาก เพราะอยู่ในเหตุการณ์ด้วยตัวเองกับพี่ดี้ และคุณบัวไงคะ จำกันได้หรือเปล่า คุณนายแม่ของดิฉันเอง เธอคุยกับคุณลูกเขยทางเว็บแคมค่ะ ปกติเราสองคนจะนัดคุยกับครอบครัวของดิฉันในวันเสาร์ คือวันเสาร์ตอนเช้าที่อเมริกา ก็จะเป็นวันเสาร์กลางคืนที่เมืองไทยค่ะ เป็นเวลาดีตอนเช้าวันรุ่งขึ้นจะเป็นวันอาทิตย์ทุกคนตื่นสายได้ ทุกคั้งที่คุยกันดิฉันยกถ้วยกาแฟขึ้นมาดื่ม คุณนายบัวยกขวดเบียร์สังสรรค์ สนุกสนานกันไปในครอบครัว
เช้าวันเสาร์นั้น ดิฉันนั่งดื่มกาแฟกับพี่ดี้อยู่หน้าคอมพิวเตอร์ ขณะเดียวกันก็ออนไลน์คุยกับพี่สาวไปด้วยพลางๆ เนื่องจากคืวันเสาร์นั้นมี Big cinema โปรแกรมเพชรหนังพันล้าน คุณแม่ดิฉันชอบค่ะ หนังไทยเราเองที่มีชื่อเรื่องจำง่าย คุณทุกคนคงรู้จักดี กับหนังเรื่อง ไอ้ฟัก ที่มีนักแสดงนำแสดงเป็นคนสติไม่ดี
คุยกันไปได้สักพักหนึ่ง ดิฉันเริ่มรู้สึกว่าคุณบัวจะหายไป จากวงสนทนานานผิดปกติ ก็เลยไหว้วานคุณพี่สาวให้ไปเรียกคุณนายแม่ มาคุยกันสักหน่อย ก่อนที่จะล่ำลาไปเตรียมอาหารกลางวัน
คุณบัวเธอเดินมาหน้าคอมตัวเดิมที่พี่สาวดิฉันเพิ่งลุกออกไปด้วยสายตา ที่ยังเกาะติดสถานการณ์ในโทรทัศน์อย่างไม่ละเว้น ดิฉันจึงร้องเรียกความสนใจบ้างว่า คุณบัว! ทำอะไรอยู่ รอตั้งนาน แม่ดิฉัน หันมาตะโกนใส่ไมค์ทันทีว่า ดู..ไอ้ฟัก.. อยู่ ซึ่งคุณขา กาแฟในปากสามีดิฉันพุ่งพรวดออกมาทันทีหลังสิ้นคำว่าอยู่
ภาษาอังกฤษ คำพูดเดียวกันเลย แบบที่คุณบัวพูดมาเมื่อตะกี้ มันจะคือประโยคว่า Do I F
you แถมคุณบัวขึ้นเสียงสูงท้ายประโยคซะด้วย ตรงแป๊ะ ถูกไวยกรณ์เป็นประโยคคำถามในภาษาอังกฤษพอดี พี่ดี้แกก็ตกใจสิคะ นึกว่าเป็นประเพณีแปลกๆ ก่อนแต่งงานของคนไทย แต่ก็ตอบไปเบาๆว่า I dont think so (ผมไม่คิดว่าเป็นอย่างนั้นนะครับ คุณแม่บัว)
ดิฉันนึกขึ้นได้ถึงกับขำน้ำหูน้ำตาไหล แต่ก็ต้องอดทน อธิบายให้คุณสามีและคุณนายบัวเข้าใจให้ตรงกัน ประโยคนั้นเลยทำให้คุณนายบัวต้องเขินมาจนทุกวันนี้
นี่ถ้านับกันจริงๆแล้ว พี่ดี้แกเริ่มฝึกภาษาไทยตั้งแต่อยู่ที่อเมริกา เมื่อเรารู้ว่าจะต้องย้ายมาอยู่ที่เมืองไทย เจอพี่คนไทยที่ Athens ทีไรจะถามพี่ดี้เสมอว่า พูดไทยได้หรือยัง ซึ่งคุณสามีดิฉันก็มีประโยคประจำตัว นั่นคือ พูดไทยไม่ได้ครับ ทำเอาพี่คนไทยยิ้มไปตามๆ กัน อาจเป็นเพราะว่ารู้สึกทะแม่งๆ ซึ่ง ดิฉันเคยแอบได้ยินพี่คนไทยคนหนึ่งเปรยออกมาเบาๆว่า อ้าว! แล้วไอ้ที่พูดออกมาน่ะ มันไม่ใช่ภาษาไทยตรงไหนฟะ ประโยคนี้พี่ดี้แกเห็นว่าใช้ได้ผลเลยเก็บเป็นไมล์สะสมมาเรื่อย ใส่กระเป๋าเดินทางมาพูดในเมืองไทย ก็ดีค่ะ คนไทยชอบเวลาฝรั่งพูดไทยคำนี้ เห็นหัวเราะร่วนกันทุกทีที่ได้ยิน
ภาษาไทยวันละคำต่อๆ มาที่พี่ดี้เริ่มพูดได้คือ ที่รัก..น่ารัก สวย ผมรักคุณ..มาก ๆ ทำเอาเพื่อนๆ ต่างประณามดิฉันว่า ดู สอนเข้าไปได้ ไม่อายดินอายฟ้า...ดูมันสอนแต่ละคำ ก็แหม..คุณขา คนเค้ารักกัน ก็ต้องมีแต่คำหวานๆ ที่ให้กัน พูดกันภาษาดอกไม้ ชีวิตรักจะได้ชุ่มฉ่ำ เหมือนหญ้าหลังฝนตกไงล่ะคะ
จะให้ดิฉันไปสอนคำว่า ไอ้...อะไรต่างๆ นานา ได้อย่างไรกัน ดิฉันระลึกอยู่เสมอว่า ภาษาไทยเรา จริงๆ ถ้าใช้อย่างถูกต้อง จะเป็นภาษาที่สวยงาม ดังนั้น ถ้ายิ่งคุณสามีพูดภาษาไทย ไพเราะหรือหยาบคายขนาดไหน ก็จะส่อถึงคนที่สอนว่าถูกเลี้ยงดู เติบโตมาอย่างไร ดิฉันจึงไม่สอนค่ะ คำไม่ดี ไม่งาม แต่จะบอกบ้างถ้าเขาถาม และต้องกำชับว่า ห้ามไปพูดโดยเด็ดขาด แค่ฟังให้รู้ความหมายเอาไว้ก็พอ
หลังจากที่มาอยู่เมืองไทยแล้ว ดิฉันก็เริ่มสอนคำ Adjective หรือ บุพบท ง่ายๆ เพิ่มเติม เช่น คำว่า น้อย-มาก เล็ก-ใหญ่ นอกจากนั้นก็คำพื้นฐานที่คิดว่าคงต้องได้ยินในชีวิตประจำวัน เช่น คำว่า หิวข้าว กินข้าว เจ็บ ปวดท้อง ราคาเท่าไหร่ครับ หรือแม้แต่คำว่า ฝรั่ง ก็สอน เพราะว่าเป็นคำที่มีความหมายได้สองอย่าง คือ อาจหมายถึง ผลไม้ชนิดหนึ่ง หรือ หมายถึงคนต่างชาติก็ได้ อย่างน้อยเค้าจะได้รู้ว่ามีคนกำลังพูดถึงเค้าอยู่ถ้าพูดคำว่า ฝรั่ง
และแล้วก็เป็นเรื่อง คือคุณสามีแกเป็นนักเรียนที่เรียนเร็ว เนื่องจากรู้จักการประสมคำ จากคำแต่ละคำที่ได้เรียนไป วันนั้น เราสองคนเดินตามถนนเพื่อมุ่งหน้าไปซูเปอร์มาเกตใกล้ที่พัก แม่ค้าแถวนั้นที่เราสองคนเดินผ่าน มองแบบยิ้มและทำท่าซุบซิบๆ คุยกัน คงจะหัวเราะและยิ้มด้วยความเอ็นดูตาฝรั่งคนนี้
คุณสามีดิฉัน แกก็น่ารักค่ะ ภูมิใจอะไรไม่รู้ เดินยิ้มแก้มปริ พร้อมพรางพูดว่า ฝรั่ง...ใหญ่ ทำให้แม่ค้าหัวเราะกันเป็นการใหญ่ ยิ่งเค้าหัวเราะกันมากเท่าใด คุณสามีดิฉันก็ยิ่งภาคภูมิใจในภาษาไทยของตน เดินไปยิ้มไป ทำท่าทางเหมือนเป็นส.ส. หาเสียง ตลอดทางก็พูดไปด้วยว่า ฝรั่งใหญ่...ฝรั่งใหญ่
ดิฉันคว้าแขนคุณสามีแทบไม่ทัน และต้องมาอธิบายให้ฟังว่า ต้องพูดว่า ฝรั่ง ตัว ใหญ่ ถึงจะถูกต้อง เพราะถ้าพูดแค่นั้นความหมายมันออกแนว ล่อแหลมค่ะ อะไรกันอยู่ดีดีก็บอกกันหน้าตาเฉยเลยว่า ของแกน่ะ ใหญ่
จากนั้นมา แกเลยได้บทเรียนว่า อย่าได้เที่ยวผสมคำ สุ่มสี่สุ่มห้า ต้องผ่านการ editing จากภรรยาก่อนจะปลอดภัย เห็นไหมคะ ภาษา (อังกฤษ) ไทย....ง่ายนิดเดียว (อันนี้ต้องขอยืมประโยคคุณแอนดรู บิ๊กมาใช้หน่อยเถอะค่ะ...ใช่จริงๆเลย)
นอกจากเรื่องการฝึกภาษาไทยในชีวิตประจำวันแล้ว คุณสามีที่เป็นอาจารย์อยู่ในโรงเรียนนานาชาติแห่งหนึ่งในกรุงเทพมหานคร ก็ต้องเรียนรู้ชื่อไทยๆ ของนักเรียนในห้องด้วย ซึ่งก็เป็นเหตุให้แกต้องเกิดข้อสงสัยมากมายในความหมาย ของชื่อเด็กนักเรียนของแกเอง เคยมีครั้งหนึ่ง ดิฉันไปอ่าน e-mail ที่พี่ดี้ เขียนถึงเพื่อนๆ ที่บ้าน เลยต้องขออนุญาตแปลมาเล่าให้กันฟังในบางส่วน ที่คนต่างชาติเข้าใจ เมื่อคราวแรกที่ได้ยินหรือได้เห็นชื่อไทยๆ ของเรานี้ เผื่อใครจะได้เก็บเป็นข้อคิดเวลาตั้งชื่อลูกค่ะ
เริ่มต้นชื่อแรก คงต้องขอพูดถึงคำว่า พร ก่อนเลย เป็นคำที่มีความหมายดี หมายถึง ผลประโยชน์หรือสิทธิพิเศษที่อำนวยให้ตามคำที่ขอ เป็นคำที่ไพเราะและดูเป็นผู้หญิงมาก ดังนั้น คนไทยส่วนมากจะตั้งชื่อลูกสาวให้มีคำว่าพรแทรกอยู่ในชื่อ เช่น ชุลีพร (Chuleeporn), พัชภรณ์ (Patchaporn), ธีรพร(Teraporn), หรือแม้แต่ พรหมพร (Promporn)
ดิฉันจำได้ คุณสามีเล่าให้ดิฉันฟังในวันแรกที่ได้รับรายชื่อนักเรียน พร้อมกับชี้ชวนให้ดูรายชื่อเด็ก ว่าทำไมคนไทยถึงชอบ Porn กันนักนะ ในภาษาอังกฤษ คำว่า Porn เป็นคำสั้นๆ ของคำว่า Pornography ซึ่งหมายถึง หนังสือ รูปภาพ เรื่องราว ที่เกี่ยวกับเรื่องด้าน sex คือ ประมาณหนังโป๊ หนังสือ play boy ทำนองนั้น
คุณสามีถึงกับขอร้องดิฉันว่า ถ้ามีลูกสาว อย่าตั้งได้ไหมที่มีคำว่า พร ก็น่าเห็นใจเค้านะคะ ว่าภาษาแตกต่างกัน ที่มีเสียงคล้ายกัน ก็มีโอกาสที่จะมีความหมายตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิงได้ บางทีชื่อของดิฉันเองอาจจะไปพ้องเสียงกับภาษาอื่น และมีความหมาย ไปคนละเรื่องเลยก็ได้
จากชื่อเด็กผู้หญิง ก็มาถึงชื่อของเด็กผู้ชายกันบ้าง ชื่อที่คุณสามีสะดุดต้องชี้ชวนให้ดิฉันดู ก็คงเป็นชื่อ แทนทอง (Tanthong) ซึ่งวินาทีแรกที่ฝรั่งเห็นชื่อนี้ จะนึกถึงพยางค์หลังก่อน คำว่า Thong นั้นหมายถึง กางเกงในสุดเซ็กซี่ที่เวลาสวมใส่ คุณสาวๆ นั่งแล้วจะรู้สึกเหมือนมีบางสิ่งพิงพาดผ่านเข้าช่องทาง ระหว่างก้นด้านหลัง เวลาใส่กางเกงคับๆ จะประหนึ่งดั่งไม่ได้ใส่อะไร นั่นแหละค่ะ ความหมายของคำว่า Thong
Tan-Thong ในความเข้าใจ คุณสามีก็ทำให้นึกไปถึงกางเกงในสุดเซ็กซี่สีแทน ซึ่งก็คงจะมีคนชื่อ Red-Thong, Black-Thong, หรือ Pinky-Thong กันบ้างล่ะ ก็เลือกหากันตั้งชื่อกันไปได้ ตามอัธยาศัยของคุณพ่อคุณแม่นั่นแหละนะคะ
นอกจากแทนทอง ก็มาเป็นชื่อ ธิติพงศ์ (Tittipong) ซึ่งคำนี้มีเสียงคล้ายกับคำว่า PingPong ซึ่งคือ กีฬาปิงปองนั่นแหละค่ะ คุณสามีฝรั่งของดิฉันอธิบายว่า เจ้าพยางค์หน้า Titti เป็นคำเรียกพ้องเสียงของ Titty ซึ่งเป็นคำน่ารักๆ ที่ฝรั่งเค้าใช้เป็นชื่อเรียก หน้าอกผู้หญิง ทุกขนาด ทุกวัย ลองนึกภาพตามนะคะ Titti-Pong ความหมายของสามีดิฉัน อาจเป็นกีฬาชนิดใหม่ใกล้เคียงกับปิงปอง แต่กีฬานี้ประหยัดทรัพยากรไม่ใช้ไม้ค่ะ ใช้แต่อุปกรณ์ขนาดพกพา(หรือเปล่า)ส่วนตัวที่นำมาแล้วใช้ตีลูกได้เลยทันที ใครมีพื้นที่ผิวมากกว่าก็คงได้เปรียบ
นี่ถ้าเกิดมีกีฬานี้ขึ้นมาจริงๆ แล้ว ก็คงต้องแบ่งเป็นรุ่นเหมือนการชกมวย มีตั้งแต่รุ่น A, B, C และ D เพื่อไม่ให้เกิดการได้หรือเสียเปรียบซึ่งกันและกัน อย่างแน่นอนเลยค่ะ...
นี่ก็เป็นแค่บางตัวอย่างที่หยิบยกกันมา เล่าสู่กันฟัง หากแต่ชื่อผู้ใดพ้อง หรือมีคำใดเกี่ยวข้องกับเรื่องราวที่ดิฉันได้พาดพิงถึง ไปบ้างในเนื้อหาบทนี้ ทางผู้เขียนต้องขออภัยมา ณ ที่นี้นะคะ ไม่ได้ตั้งใจจะพาดพิงหรือดูหมิ่นประการใดเลย...เพียงแต่เล่าความจากเรื่องจริงค่ะ
จากคุณ :
มิสซิสอาร์โนลด์
- [
20 ก.ย. 49 19:52:51
]
|
|
|