.....................หลายครั้งผมเคยเกิดคำถามว่า แท้จริงแล้วชีวิตคนเรามุ่งไปสู่จุดหมายใด ความสุขและมั่นคงแท้จริงของมนุษย์นั่นคือสิ่งใด ความสำเร็จที่ได้มานั้นคือสิ่งที่จะตอบสนองความสุขได้จริงหรือ
....................เป้าหมายสูงสูงของมนุษย์คือความสุขละความสำเร็จ
.......................ถ้าหากใครตั้งสมมุติฐานอย่างนี้ คนนั้นคงต้องหมั่นร่ำเรียนศึกษาเพื่อให้จบการศึกษาที่ถือว่าเป็นขั้นพื้นฐานที่จะเชิดหน้าชูตาคนในสังคมได้ ซึ่งก็คือ ต้องจบปริญญาตรี (คนที่มีความพร้อมมากกว่านั้นก็ต้องจบปริญญาโท หรือปริญญาเอก) เมื่อจบปริญญาตรีก็ต้องหางานทำ ทุกคนต่างมุ่งหวังที่จะทำงานที่สบายตามวุฒิการศึกษาที่ตัวเองเรียนจบมา คนที่สอบเข้าทำงานราชการได้ก็อาจจะดีตรงที่งานมั่นคง แม้ว่าจะเงินเดือนหรือผลตอบแทนน้อยกว่าผู้ที่ทำงานในภาคเอกชน
..........................คนที่ทำงานในภาคเอกชนย่อมต้องดิ้นรนเพื่อให้ได้ทำงานในบริษัทใหญ่ เงินเดือนหรือค่าตอบแทนที่สูง หลายคนประสบความสำเร็จเหมือนที่ตั้งความหวังไว้
........................แต่ชีวิตของผู้คนอีกมากมายยังต่อสู้ดิ้นรนเพื่อให้ได้มาซึ่งความสุขสมหวัง แต่ยังไม่อาจจะไขว้คว้ามาได้ อาจจะเป็นด้วยหลายปัจจัย ทั้งความเก่ง ความฉลาด ในการไขว่คว้า
...........................เมื่อเวลาผ่านไป ความรวย ความจนเริ่มเป็นสิ่งที่ฉายชัดขึ้นในชีวิตของผู้คน บางคนทำงานไม่ใหญ่โตนัก แต่ทรัพย์สินของพ่อแม่หรือสินทรัพย์ที่เป็นมรดกคอยเกื้อหนุน ก็ทำให้สถานภาพของคนนั่นดูดีกว่าคนที่ไม่มีสินทรัพย์อะไรติดตัวมา
..................ความต่างชั้นเริ่มเกิดจากสองปัจจัย
..................หนึ่งคือการไขว่คว้าเฉพาะตัวแล้วประสบความสำเร็จ
.................สองคือมีสินทรัพย์มรดกคอยเกื้อหนุน
..................นอกจากนั้นยังต้องดิ้นรนต่อสู้ต่อไป
..................ความต่างชั้นยิ่งห่างไกลออกไป
..................ค่านิยมทางสังคมจึงถูกกำหนดด้วยทรัพย์สิน ฐานทางสังคมที่สูงกว่า
...................ความจริงใจในกันและกันจึงนับวันจะลดน้อยลงทุกที เงื่อนไขในการดำรงชีวิตจึงเปลี่ยนไปตามทรัพย์สินเงินทอง ยศศักดิ์ฐานะ
...................ความจริงแล้วนัยยะนี้มันเกิดขึ้นมาตั้งแต่บรรพกาลกาล
....................แต่ผมคิดว่า เมื่อโลกเปลี่ยนไป สิ่งที่ยึดติดเหล่านี้น่าจะหมดไป ทุกคนน่าจะมีสิทธิ์เสรีในการดำเนินชีวิตที่ปราศจากกฎเกณฑ์เหล่านั้น
...................โลกที่พัฒนาขึ้น
....................ความจนหรือความรวย
....................ไม่น่าจะกลายเป็นกำแพงที่จะทำให้คนในสังคมปัจจุบันปราศจากเสรีภาพในการใช้ชีวิต ความร่ำรวย ยากจน ความมั่นคง ไม่น่าที่จะเป็นกำแพงกั้นทางชนชั้นในสังคมอีกต่อไป
.......................มนุษย์จะมีชีวิตยืนยาวสักกี่สิบปี ความรวยหรือยากจนก็ใช่จะช่วยพัฒนามาตรฐานความเป็นมนุษย์ให้สูงส่งสักเท่าไร
.........................ความเข้าใจในกันและกันน่าจะเป็นสิ่งที่พิสุทธิ์ค่าที่สุดในชีวิตมนุษย์
.........................การได้เลือกในสิ่งที่ตนปรารถนา น่าจะเป็นความสุขและสมหวังหรือประสบความสำเร็จในชีวิตมนุษย์มากกว่าสินทรัพย์หรือคุณค่าใดๆที่มนุษย์บางจำพวกสร้างกฎเกณฑ์ขึ้นมา
........................แต่คนส่วนใหญ่ก็พร้อมที่จะยอมกระทำตามกฎเกณฑ์นั้นมากกว่าที่จะยอมกระทำในสิ่งที่ตนเองปรารถนาอย่างแท้จริง เพราะหวาดกลัวที่จะผิดไปจากกฎเกณฑ์ที่ถูกกำหนด แม้ว่าเมื่อเอาชีวิตตัวเองไปอยู่ภายใต้กฎเกณฑ์นั้นแล้วจะทุกข์ทรมานใจอย่างไร ก็เหมาเอาว่า นั่นคือสิ่งที่ดีที่สุด สุขที่สุด ประสบความสำเร็จที่สุด และยิ้มหลอกใครต่อใครว่ามีความสุขถึงที่สุดแล้ว
......................ค่านิยมได้ฝังหัวของมนุษย์มาเนินนาน และพร้อมที่จะยอมตามค่านิยมนั้น เพราะหลายชั่วชีวิตคนได้พิสูจน์มาแล้วว่านั่นคือสิ่งที่ดีที่สุด
........................อย่างน้อยค่านิยมความนวยและมีฐานันดรที่สูงส่งก็ทำให้ไม่ทุกข์กาย แม้ว่าจะทุกข์ใจอยู่บ้าง
................ผมอาจคิดในสิ่งที่แตกต่าง
.................ผมคิดว่า
.................แท้จริงในชีวิตมนุษย์นั้น
ล้วนเป็นเป็นไปเพื่อ กิน อยู่ และสืบพันธุ์
................นอกจากนั้นก็เป็นการพัฒนาในด้านจิตใจที่เกื้อกูลกันเพื่อให้โลกมีสันติสุข
..................แต่ไม่อาจจะปราศจากการ กิน อยู่ สืบพันธุ์
แล้วทำไมเล่ามนุษย์จะคิดอะไรที่ยุ่งยากวุ่นวายถึงเพียงนั้น
วิทยาการเทคโนโลยีต่างๆที่เกิดขึ้น แท้จริงแล้วก็เพื่อตอบสนองการ กิน อยู่ และสืบพันธุ์หรือดำรงเผ่าพันธุ์ในมนุษย์ไม่ใช่หรือ
................ทำไม
................มนุษย์เราคิดมากมายไปกว่านั้น
เกรียงไกร หัวบุญศาล
(บังเอิญตรงกับประประกาศสถานการ์ฉุกเฉิน คืนที่ ๑๙ กันยายน ๒๕๔๙ )
๑๙ กันยายน ๒๕๔๙
จากคุณ :
huaboonsan
- [
20 ก.ย. 49 09:59:01
]