ความคิดเห็นที่ 2 เมื่อเรามองไปยัง British Empire อันประกอบไปด้วย  เกาะ Britain ฯลฯ ประเทศเขา ปกครองด้วยระบบกษัตริย์ และเป็นส่วนหนึ่งแห่งแม่แบบแห่งระบบกฏหมายไทย ด้วยในสมัยรัชกาลที่ สี่ ที่ห้าของไทยเราเป็นต้นมา ได้ทรงส่งพระราชโอรส พระราชวงศ์ไปเรียนกฏหมาย จากประเทศอังกฤษ  บ้างก็ไปเรียน ที่ฝรั่งเศล รัสเซีย เจตนาก็เพื่อ มีพลังที่จะต่อสู้ กฏหมายร้อยชักสิบ (ถ้าจำไม่ผิดละนะ) ของพวกฝรั่งล่าเมืองขึ้นทั้งหลาย         สมัยนั้น ประเทศสมบูรณาญาสิทธิราชในยุโรป ก็ยังเป็นอยู่ เช่น รัสเซีย ยังมีพระเจ้าซารส์ ที่ส่งพระราช โอรสมาถ่ายรูปกับราชวงศ์ไทยให้เห็นกันไปให้เป็นที่ น่าเกรงขามทั้งทวีปเอเขียในรัชสมัยพระพุทธเจ้าหลวง ของเราทรงครองราชย์         และ ที่อังกฤษนั้น ฝ่ายไทยเราก็ไปร่ำเรียนวิชา กันมาอย่างขะมักเขม้น เพื่อที่จะได้โต้แย้งแบ่งแยกดินแดนคืนมา ได้บ้าง(ในเวลาต่อมา) ไม่ต้องตกอยู่ภายใต้อำนาจฝรั่ง อย่างนั้น        ระบบกฏหมายอังกฤษ อันเป็นกฏหมายจารีตประเพณี เป็นส่วนผสมแม่แบบแห่งกฏหมายไทยในเวลาต่อมา ที่เมื่อถึง ยุค ประชาธิปไตยภายใต้การปกครองของพระมหากษัตริย์ ระบบกฎหมายไทยจึงเป็นระบบแอบซ่อนระหว่างจารีตประเพณี สู่ ระบบลายลักษณ์อักษรซึ่งเราใช้มาแต่เดิม        จากกฏหมาย ตราสามดวงของเรา มาถึง ระบอบฝรั่งเศส ที่เราไทยสมัยนั้นเรียกเหล่านักกฏหมาย จบมาจากฝรั่งเศส ยุโรป กันติดปากไทยในยุคนั้น ว่า "พวกด๊อคเตอร์อังดรัว" อะไรแบบนั้น        ดังนั้น เมื่อเขียนชื่อประเทศ ราชอาณาจักรสยาม เรามั่นใจหนักหนา      ว่าเรามิผิดกับ สหราชอาณาจักรอังกฤษ เลยแม้แต่น้อย ........The Kingdom of Siam    จึงเกิดขึ้นในชื่อภาษาอังกฤษ ด้วยฝรั่งเองก็ยินดีจะ เรียกเราดังเช่นนั้นด้วยให้เกียรติชาติเราอย่างเต็มที่ .........และด้วยการให้เกียรติดังนี้ เราจึงน้อมศีรษะรับ ด้วยความภาคภูมิใจที่เราเป็น ชนเผ่าหนึ่งในสุวรรณภูมิ อันมีพระมหากษัตริย์เป็น ประมุข แห่งเอกราชของชาติ มิได้เป็นประเทศราช ของชาติฝรั่ง ดังเช่นประเทศเพื่อนบ้านของเราทั้งหลาย เลยสักน้อย จากคุณ : tiki_ทิกิ - [ 22 ก.ย. 49 02:13:09 ]

ความคิดเห็นที่ 3 (ป.ล. งานนี้เรียบเรียงขึ้นด้วยความทรงจำ หากผิดพลาดพลั้งไป ก็ให้อภัยกัน ด้วย) ....คุณ ช็อคโกเลต...กาโต้... อย่าเพิ่งท้อถอย ท่องตำราไว้เป็นหลักแม่บทของไทย ขอให้สอบผ่าน.... จากคุณ : tiki_ทิกิ - [ 22 ก.ย. 49 02:13:49 ]

ความคิดเห็นที่ 4 ...........การไล่ล่าเมืองขึ้นของฝรั่งนั้น ทำให้ ไทย เรา เจ็บปวดเหลือแสน จากที่ แผ่นดินไทยซึ่งเคยมีเนื้อที่ขนาดใหญ่ ยิ่งมาแต่รัชสมัยสมเด็จพระนเรศวรมหาราช...ที่กินอาณาเขต กว้างขวางไป เหนือจดอาณาเขตเชียงใหม่ ใต้จรด เกือบศรีวิชัย โน่น..และค่อยร่อยหรอไปทีละนิด ถูกเขมือบหน้าด้านหน้าทนไป ทีละหน่อยแผนที่เราก็หด ลง หด ลง จนเป็นขวานทอง อย่างที่เห็น ในปัจจุบัน .....คนที่ไม่เคยรู้จักการเสียดินแดน ก็คงนึกภาพไม่ออก สมัยที่ผู้เขียนยังเด็ก ก็จำได้ว่าได้ยินเรื่องคดีเขาพระวิหารว่าที่เคย เป็นเขตไทย ก็ต้องเสียไปให้กัมพูชา...และที่คุณพ่อเล่าให้ฟังเสมอ ก็เรื่องความเจ็บปวดในสมัย ร.ศ๑๑๒ ที่ไทยเสียดินแดนฝั่งซ้าย แม่น้ำโขงให้เพราะฝรั่งเศสนำเรือรบมาปิดปากอ่าวไทย มีการรบ พุ่งด้วยกองทัพเรือ...เรือไทยถูกล่มจมอ่าว ต้องเชือดเฉือนที่ดินไทย ส่วนหนึ่งไปให้พ้นความเป็นทาสฝรั่งทั้งประเทศ ..........เมืองไทยเป็นเมืองที่ปฐมราชวงศ์ท่านวางดวงเมืองให้ ทหาร ปกครองเมือง  คุณพ่อเล่าไว้อย่างนั้น...เพราะ           หาก(จะให้ )สยามยังอยู่...ยั้งยืนยง.. ชาติเราจะต้องเข้มแข็ง  ต้องพร้อมรบทุกอัตราอย่าประมาท เราจะเสียดินแดนอีกมิได้แล้ว ไม่งั้น เราจะไปอยู่ตรงไหนล่ะ ....ผู้เขียนจึงฟังคุณพ่อเล่าประวัติศาสตร์ให้ฟังเรื่อยๆ แล้วก็ถูก ฝังเรื่องราวแต่อดีตอันรุ่งเรือง พอๆกับคำเย้ยเยาะหน่อยๆของคุณพ่อ ว่า หาก จะมีชีวิตอยู่ในโลกได้ ต้องเข้มแข็งตลอดกาลจะแพ้มิได้เลย แก้ไขเมื่อ 22 ก.ย. 49 04:17:38 จากคุณ : tiki_ทิกิ - [ 22 ก.ย. 49 02:37:12 ]

ความคิดเห็นที่ 5 ในประวัติศาสตร์อันค่อนข้างยาวนานของชาติไทย กว่าเจ็ดร้อยปีที่เราสืบค้นได้จากอิฐทุกก้อน กระดาษข่อย หลายแผ่น แลศิลาจาริกของชาติเราทั้งหลาย..      มีสิ่งชวนฉงนฉงายและให้ตามติด ถึงที่มาของชื่อ ชาติเราอยู่มากมาย ....ดังว่าในแผ่นดินสมัยสุโขทัย พวกชนเผ่าเอเชียนอื่นก็เรียกพวกเราว่า เสียมก๊ก หรือ เซียมกุก เซียมกก ดัง ประวัติศาสตร์ยุคใหม่ ได้พรรณนาย้อนไปถึง**      เส้นทางสายไหมของพระถังซำจั๋ง ก็บันทึกไว้ถึงเผ่าชนอันเริงล้นด้วยความสนุกสนานเริงร่า ฟ้อนรำระบำกัน ถ้วนหน้า มีอัธยาศรัยไมตรีอันดียิ่ง ไม่ได้ ดุร้าย เรียกว่า เป็นผู้มี ศิลปะ วัฒนะธรรม เหลือล้นถึงแก่บันทึกการฟ้อนรำ ประโคมดนตรีอันร่าเริงไว้ในประวัติการเดินทางจากจีน สู่อินเดีย กลับจีน ไปอย่างนั้น        แน่นอน สยามกุก หรือ สยามกก หรือ เซียมก๊ก ก็คือชาติไทยเรานี้เอง...อันมีถิ่นที่มาแถบลุ่มแม่น้ำโขง เหนือขึ้นไป ไล่ลงมาทั้งสาย .....ผู้รู้ประวัติภูมิประเทศ ก็กล่าวให้ฟังว่า อย่าได้เดือด เนื้อร้อนใจว่าใครเป็นเจ้าของแผ่นดินสุวรรณภูมิเก่านี้นัก เลย ด้วยในยุค พันกว่าปีขึ้นไปนั้น แผ่นดินใต้นี้หามีไม่ เต็มไปด้วยน้ำทะเล แล เกาะแก่ง ถึงยุคสมัย เมืองลพบุรี ยังเป็นหน้าด่านชายทะเลอยู่   กรุงรัตนโกสินทร์ ก็คือ แผ่นดินโคลนเลนใต้น้ำอยู่นั่นแล      เหตุที่เขาค้นพบเรือสำเภาล่มกันอยู่มากมาก พบตะเกียงโบราณยุคอียิปต์เจริญรุ่งเรืองก็มีอยู่ในแถบยอด ขุนเขาสุวรรณภูมิ ชี้ให้เห็นการเดินเรือระหว่างทวีปในยุค สมัยหลายพันปีมาแต่ก่อนกาล ............สยามกุกเราจึงยังคงเคยเป็นชาติพันธุ์อันร่าเริง แจ่มใส ดังว่า " ซื่อบริสุทธินักหนา" ในสายตาชาติพันธุ์ อื่น ซึ่งก็ไม่เสียหายอันใด ที่คนจักอยู่กันด้วยวิถีชีวิต ดัง ในจารึกไทยว่าไว้        "ไพร่ฟ้าหน้าใส...        .ใครใคร่ขับ ขับ         ใคร ใคร่ ร้องร้อง       ใคร ใคร่ เล่น..เล่น **(หากผิดไปโปรดเข้ามาช่วยแก้ไขด้วย เนื่องจากเขียนหน้าจอนี่แหละค่ะ ไม่ได้ไปหาข้อมูลที่ไหนได้ทัน) จากคุณ : tiki_ทิกิ - [ 22 ก.ย. 49 15:42:01 ]

ความคิดเห็นที่ 6 แน่นอน สยามกุก หรือ สยามกก หรือ เซียมก๊ก ก็คือชาติไทยเรานี้เอง...อันมีถิ่นที่มาแถบลุ่มแม่น้ำโขง เหนือขึ้นไป ไล่ลงมาทั้งสาย ** ตรงนี้ ผู้เขียนขอต่อเติมสักนิดว่า อัน สยามกก นั้น ก็ให้เชื่อกันว่า เดิมเป็นเผ่าชนอยู่แถบลุ่มแม่น้ำกก (ขออนุญาตเขียนเติมไว้ตรงนี้ เดี๋ยวจะตกข้อมูล ลุ่มแม่น้ำไปอีก ......เคยไปพักเมืองเหนือปีหนึ่งได้ไปพักริมกกรีสอร์ต อุณหภูมิ สิบสององศาในหน้าร้อน วันที่ ๒-๓ เมษายน ถือเป็นแผ่นดินธรรมชาติอันเยือกเย็นงดงาม นอนบน เรือนรีสอร์ตริมต้นแม่น้ำกก ติดชายแดนเพื่อนบ้านใกล้เคียงแถบนั้น   อุณหภูมิกลางคืน ถึงแก่ต้องเปิดแอร์ ในห้องเพื่อคงความเย็นไว้ไม่ให้เย็นมากไปกว่านั้น ด้วยข้างนอกหน้าห้อง คือ ทางเดินริมแม่น้ำกก เย็น เจี๊ยบจริงๆ        ตื่นมาไปเก็บลูกหม่อนจากต้นหม่อนกิน  เป็นต้นที่ ขึ้นแซมสวนสตรอเบอรี่ของเจ้าของรีสอร์ต ๆ ทำเสต๊กหมูแสนอร่อยให้เป็นอาหารมื้อเช้า ต้อนรับ คนเดินทางพลัด ถิ่นที่เข้าพักในยามดึกห้าทุ่มกว่า เพราะขับรถเดินทางต่อ ไป ยังไม่ถึงแม่จันแม่สายแถบนั้น ........เมื่อเขียนถึงตรงนี้ จึงขอเขียนถึงบรรยากาศที่เคย พบเห็นเหล่าหลากหลายเผ่าชนบนภูเขาที่เห็นแว้บๆ ระหว่างทางขับรถไปกันสามคนแม่ลูก..ซึ่งยังคงมี วิธีชีวิตชนเผ่าเร่ร่อนสวมเสื้อผ้าชาวเขาแปลกตากันให้ เห็นตลอดข้างทางในยามสายเมื่อเดินทางจากแม่กก สู่แม่จัน...ในวันนั้น หวนให้คิดถึงวิถีชีวิตต้นเผ่าไทย ในดินแดนสูงโพ้นนั้น จากคุณ : tiki_ทิกิ - [ 22 ก.ย. 49 16:33:34 ]

ความคิดเห็นที่ 7 ทบทวนประวัติศาสตร์อีกครั้ง ดีค่ะ ชอบ อีกอย่าง เชียงรายน่าอยู่จริง ๆ ด้วยสิ สงบดี จากคุณ : NATTI นัทตี้ - [ 23 ก.ย. 49 00:59:35 ]

ความคิดเห็นที่ 8 tiki_ทิกิ แก้ไขเมื่อ 28 ก.ย. 49 15:34:35 แก้ไขเมื่อ 25 ก.ย. 49 23:51:41 แก้ไขเมื่อ 23 ก.ย. 49 03:14:41 จากคุณ : tiki_ทิกิ - [ 23 ก.ย. 49 02:38:12 ]

ความคิดเห็นที่ 9 แก้ไขเมื่อ 28 ก.ย. 49 15:35:08 แก้ไขเมื่อ 25 ก.ย. 49 23:52:20 แก้ไขเมื่อ 23 ก.ย. 49 02:51:10 จากคุณ : tiki_ทิกิ - [ 23 ก.ย. 49 02:42:13 ]

ความคิดเห็นที่ 10 แก้ไขเมื่อ 28 ก.ย. 49 15:35:40 แก้ไขเมื่อ 25 ก.ย. 49 23:52:57 แก้ไขเมื่อ 23 ก.ย. 49 02:50:01 จากคุณ : tiki_ทิกิ - [ 23 ก.ย. 49 02:44:30 ]

ความคิดเห็นที่ 11 แก้ไขเมื่อ 28 ก.ย. 49 15:36:05 แก้ไขเมื่อ 25 ก.ย. 49 23:53:22 จากคุณ : tiki_ทิกิ - [ 23 ก.ย. 49 03:21:25 ]

ความคิดเห็นที่ 12 แก้ไขเมื่อ 28 ก.ย. 49 15:36:31 แก้ไขเมื่อ 25 ก.ย. 49 23:54:02 จากคุณ : tiki_ทิกิ - [ 23 ก.ย. 49 04:26:02 ]

ความคิดเห็นที่ 13 ................................ แก้ไขเมื่อ 28 ก.ย. 49 15:37:00 แก้ไขเมื่อ 25 ก.ย. 49 23:54:32 จากคุณ : tiki_ทิกิ - [ 23 ก.ย. 49 04:26:59 ]

ความคิดเห็นที่ 14 เรื่องชื่อ “ประเทศไทย” : วิวัฒนาการทางการเมืองไทย ธำรงค์ศักดิ์ เพชรเลิศอนันต์* บทความนี้มีวัตถุประสงค์ที่สืบค้นหาเหตุปัจจัยของการยอมรับ ที่จะเรียกชื่อประเทศอย่างเป็นทางการว่า “ประเทศสยาม” ในรัชสมัย พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และต่อมาได้เปลี่ยนชื่อ ประเทศเป็น “ประเทศไทย” เมื่อวันที่ ๒๔ มิถุนายน พ.ศ. 2482 ในสมัยรัฐบาลนายพลตรีหลวงพิบูลสงคราม ............................. .................................... .........................................             ที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรได้มีมติผ่านวาระ 2 และ วาระ 3 มีมติอย่างเป็น “เอกฉันท์” เมื่อ 28 กันยายน พ.ศ. 2482 ให้ร่าง “รัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติม ว่าด้วยนามประเทศ พุทธศักราช 2482” ประกาศใช้เป็นกฎหมายได้ โดยประกาศแลบังคับใช้เป็นกฎหมาย ในราชกิจจานุเบกษาวันที่ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2482 โดยมีสาระสำคัญคือ       “มาตรา 3 นามประเทศนี้ให้เรียกว่า “ ประเทศไทย” และ บทแห่งรัฐธรรมนูญหรือกฎหมายอื่นใด ซึ่งใช้คำว่า สยาม ให้ใช้ คำ ว่า ไทย แทน แก้ไขเมื่อ 25 ก.ย. 49 23:55:33 จากคุณ : tiki_ทิกิ - [ 23 ก.ย. 49 04:28:13 ]

ความคิดเห็นที่ 15 ถึงตอนนี้แล้ว ข้าพเจ้าผู้เขียนก็ขออนุญาตสรุป ว่า ได้มีการพยายามเปลี่ยนกลับไปกลับมา จนในที่สุด หน้าหนังสือกฎหมาย ก็ได้ใช้ .......แห่งราชอาณาจักรไทย... มาจนทุกวันนี้ จึงขออนุญาต จบการคัดลอกประวัติศาสตร์ ล้วนๆนี้ ไว้เพียงเท่านี้ จากคุณ : tiki_ทิกิ - [ 23 ก.ย. 49 04:30:06 ]

ความคิดเห็นที่ 16 ราชอาณาจักรสยาม...     คิดว่า ถ้าใครได้อ่านประวัติศาสตร์เยอะๆจะรักชาติ แต่เดี๋ยวนี้คนไม่ค่อยอ่านประวัติศาสตร์กันเท่าไหร่ เขาให้เรียนก็ว่าน่าเบื่อ ทั้งที่ความจริง สิ่งที่ตนเรียกว่า "น่าเบื่อ" นั่นน่ะ คือเลือดเนื้อ และหยาดน้ำตาของบรรพบุรุษแท้ๆเลย เกลียดนักพวกที่ชอบบอกว่ารักชาติ รักในหลวง แต่ก็รักแค่ปาก ไม่เคยเห็นว่าจะทำตัวดี ใส่เสื้อเหลืองแต่หัวใจเป็นสีดำ พอแล้วนะ เดี๋ยวอารมณ์เสีย ...ไปดีกว่า บาย................................................................... จากคุณ : คายตรี - [ 23 ก.ย. 49 11:59:28 ]

ความคิดเห็นที่ 17 คุณูปการในบทความคัดลอกจาก เรื่องชื่อ “ประเทศไทย” : วิวัฒนาการทางการเมืองไทย : วารสารมนุษยศาสตร์ และสังคมศาสตร์ ปีที่ 1 ฉบับที่ 3 : ธำรงค์ศักดิ์ เพชรเลิศอนันต์ : ภาควิชาสัง คมศาสตร์ คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต     ดังกล่าว อันใดพึงมี ขอมอบให้แด่ อาจารย์    ธำรงค์ศักดิ์ เพชรเลิศอนันต์ : ภาควิชาสังคมศาสตร์    คณะศิลปศาสตร์  มหาวิทยาลัยรังสิต และที่มาจากเชิงอรรถ ในบทความของท่านดังรายนามต่อไปนี้ ๑ วิไลลักษณ์ เมฆารัตน์ “ประมวลความเข้าใจเกี่ยวกับคำ “สยาม”,    เมืองโบราณ, ปีที่ 1 ฉบับที่ 2 (เมษายน – มิถุนายน 2528 ) , หน้า ๑๔-๒๐ ๒. ศรีศักร วัลลิโภดม “ทำไมจึงเป็นสยามประเทศ” ,เมืองโบราณ, เพิ่มอ้าง,    ๒๑-๓๐ ๓ อิชิอิ โยเนะโอะ, สมมุติฐานเบื้องต้น เสียนคือสุโขทัย กับ เสียนคืออยุธยา   โดยศึกษาวิเคราะห์จากศิลาจารึกหลักที่ ๑๑” ใน ชาญวิทย์ เกษตรศิริ และ   ฮายะโอะ ฟูกุย บรรณาธิการ, ญี่ปุ่น – ไทย – อาคเนย์ (กรุเทพฯ: ,มูลนิธิ    โครงการตำราสังคมศาสตร์ และมนุษยศาสตร์, ๒๕๔๑ ) , หน้า ๔-๒๖ .๔ ดูเรื่องของทูตฝรั่งเศสผู้นี้ได้ใน ชาญวิทย์ เกษตรศิริ (ธำรงศักดิ์ เพชรเลิศ   อนันต์ บรรณาธิการ) , อยุธยา; ประวัติศาสตร์และการเมือง, พิมพ์ครั้งที่ ๒   (กรุงเทพฯ: มูลนิธิโครงการตำราสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์, ๒๕๔๓ )   หน้า ๑๘๙-๒๐๒ ๕ ชิมอง เดอ ลาลูแบร์ ราชอาณาจักรสยาม เล่ม ๑ (กรุงเทพฯ: ก้าวหน้า,    ๒๕๑๐) หน้า ๒๖-๒๘ ๖ . คำอ่านศิลาจารึกวัดศรีชุม ในจารึกสมัยสุโขทัย (กรุงเทพฯ: กรมศิลปากร,      ๒๕๒๖) หน้า ๖๑ ๗  คำอ่านศิลาจารึกนครชุม ใน เพิ่งอ้าง, หน้า ๒๙ ๘  ในที่นี้ไม่ได้เป็นประเด็นที่เพื่อถกเถียงว่า “เสียนไม่ใช่สุโขทัย” แต่ประการใด ๙ “พระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยาฉบับหลวงประเสริฐ “ ในประชุมพงศาวดาร เล่ม 1 (พระนคร: องค์การค้าการค้าของคุรุสภา,๒๕๐๖), หน้า ๑๓๑. ๑๐ พระราชพงศาวดากรุงรัตนโกสินทร์ รัชกาลที่ 1 ฉบับเจ้าพระยาทิพากรวงศ์ (ฉบับตัวเขียน) ชำระต้นฉบับโดย นฤมลธีรวัฒน์, (กรุงเทพ : อมรินทร์วิชาการ, ๒๕๓๙), หน้า ๓, ๗ เน้นโดยผู้เขียน และสำหรับ จำนวนพระมหากษัตริย์อยุธยาว่าจะมี ๓๓ หรือ ๓๔ พระองค์ กล่าวคือ จะนับ ขุนวรวงษาธิราช ด้วยหรือไม่นั้น โปรดดู ชาญวิทย์ เกษตรศิริ อยุธยา : ประวัติ ศาสตร์และการเมือง, หน้า ๘๗-๙๒, ๓๒-๓๙ ๑๑ วิไลลักษณ์ เมฆารัตน์, หน้า ๑๗ ๑๒ “หนังสือสัญญาทางพระราชไมตรีประเทศอังกฤษ แล ประเทศสยาม” อ้างใน เพ็ญศรี ดุ๊ก, การต่างประเทศกับเอกราชและอธิปไตของไทย (กรุงเทพ: ราชบัณ ฑิตยสถาน,๒๕๔๒ ) , หน้า ๒๖๙-๒๗๐ เน้นโดยผู้เขียน ๑๓ สุเนต ชุตินธรานนท์, “จักรพรรดิราช : ความคิดทางการเมืองเบื้องหลังสงคราม ไทยรบ พม่า", ในพม่ารบไทย (กรุงเทพฯ, ศิลปวัฒนธรรมฉบับพิเศษ, ๒๕๓๗) , หน้า ๑๐๓-๑๐๕ ๑๔ ประชุมจารึกวัดพระเชตุพนฯ พิมพ์ครั้งที่ ๓ (กรุงเทพ : ศิวพร, ๒๕๑๗ ) , หน้า ๖๙๕-๗๑๑, มีคำอธิบายไว้ท้ายเรื่องนี้ว่า เนื่องจากมีพื้นที่ติดโคลงภาพคน ต่างภาษาที่ศาลารายละ ๒ รูปจากทั้งหมด ๑๖ หลัง จึงติดได้เพียง ๓๐ ชาติ แต่ ในสมัยนั้นยังมีอีกหลายชาติภาษาที่ไม่มีในโครงภาพนี้เช่น ชาติโปรตุเกส อังกฤษ อเมริกัน ๑๕ . คำอธิบายที่เด่นชัดที่สุดต่อคุณลักษณะเด่นของสังคม เศรษฐกิจและการเมือง ในโลกจารีตคือ คนเป็นที่มาของความมั่งคั่งทางเศรษฐกิจและอำนาจทางการเมือง ดู ศุภรัตน์ เลิศพาณิชยกุล “หน่วยที่ ๖ อาราจักรอยุธยา “,ใน ประวัติศาสตร์ไทย (เอกสารสอน สาขาวิชาศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช, ๒๕๓๖ ) หน้า ๒๘๔-๒๙๓ , หัวข้อ”การควบคุมกำลังคน” กล่าวว่า”ไพล่พลในครอบครอง เป็นเครื่องหมายแสดงถึงอำนาจและความมั่งคั่งของมูลนาย ผู้เป็นเจ้าของ” และดู สายชน สัตยานุลักษ์ “หน่วยที่ ๑ เศรษฐกิจไทยก่อนสมัยรัตนโกสินทร์” ในเศรษฐ กิจไทย (เอกสารการสอน สาขาวิชาศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช, ๒๕๓๕ ) หน้า ๑-๑๘ หัวข้อ “การถือครองปัจจัยการผลิต” ๑๖ . “หนังสือสัญญาทางพระราชไมตรี ประเทศฝรั่งเศส แล ประเทศสยาม” ใน เพ็ญสรี ดุ๊ก, อ้างแล้ว, หน้า ๒๗๖-๒๗๗ ๑๗ “พระอายการเบดเสรจ” มาตรา ๕๒ ใน ประมวลกฎหมาย รัชกาลที่ ๑ เล่ม ๒ (กรุงเทพ ฯ มหา วิทยาลัยธรรมศาสตร์และการเมือง ๒๕๒๗), หน้า ๒๑๕-๒๑๖ ๑๘ ดูประเด็น “คนไทย” ใน ธำรงศักดิ์ เพชรเลิศอนันต์ , “การเรียกร้องดินแดน พ.ศ. ๒๔๘๓ : พิจารณาปัจจัยภายในเชิงคำอธิบาย”, สมุดสังคมศาสตร์ ปีที่ ๑๒ ฉบับที่ ๓-๔ (กุมภาพันธ์ – กรกฎาคม ๒๕๓๓) ,หน้า ๗๔-๗๙ ๑๙ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว “ปลุกใจเสือป่า “ ใน ทวน วิริยาภรณ์ (ผู้รวบรวม) พระราชดำรัสและพระบรมราโชวาท ในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้า เจ้าอยู่หัว พระพุทธเจ้าหลวง พระมหาธีรราชเจ้า ประปกเกล้า พระเจ้าอยู่หัวภูมิพล อดุลยเดช (ธนบุรี: ป.พิศนาคะการพิมพ์ ๒๕๐๗ ) หน้า ๑๘๕ ๒๐ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว, ศรีอยุธยา (นามแฝง) “สักระวาน่า หนาว” ในพระบรมราชาธิบายในการประพันธ์ โคลงศุภลักษณ์วาดรูป โคลงนิราศ ประลองยุทธ สักระวาชายทเล สักระวาน่าหนาว นิรา ศมะเหลเถไถ ( กรุงเทพฯ: องค์การค้าของคุรุสภา, 2517 ) หน้า 74 สำหรับเรื่อง “สักระวาน่าหนาว” นี้ ไม่ระบุปีพระราชนิพนธ์และการจัดพิมพ์ครั้งแรก แต่น่า จะพระราชนิพนธ์ขึ้นประมาณปี พ.ศ. ๒๔๖๕ – ๒๔๖๖ ด้วยเรื่องอื่น ๆ ในเล่มนี้ นั้น ก็อยู่ในช่วงปี พ.ศ. นี้ด้วยเช่นกัน ๒๑ ประเสริฐ ปัทมะสุคนธ์, รัฐสภาไทยในรอบสี่สิบสองปี (๒๔๗๕-๒๕๑๗), พิมพ์ครั้งที่ ๒ (กรุงเทพฯ : กลุ่ม “รัฐกิจเสรี”,๒๕๑๗), หน้า ๓๐๓-๓๐๕. ๒๒ รวมรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๔๗๕-๒๕๐๒ เล่ม ๑ (กรุงทพฯ : สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร, ม.ป.ท.), หน้า ๙๑, ข้อความ ยกอ้างนี้เป็น “คำปรารภ” ที่สั้น ๆ ของ “รัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติมว่าด้วยนาม ประเทศ พุทธศักราช ๒๔๘๒” ๒๓. บรรเจิด อินทุจันทร์ยง, รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (กรุงเทพฯ :      แพร่พิทยา, ๒๕๑๙), หน้า ๙๔. ๒๔ รวมรัฐธรรมนูญ...อ้างแล้ว, หน้า ๙๒. ๒๕ “ประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่องการใช้ชื่อประเทศ ประชาชน และสัญชาติ” ใน ประเสริฐ ปัทมะสุคนธ์, อ้างแล้ว, หน้า ๔๗๓. ๒๖ ปรีดี พนมยงค์, “ความเป็นมาของชื่อ “ประเทศสยาม” กับ “ประเทศไทย” ใน ปรีดี พนม ยงค์ กับสังคมไทย (กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์   และโครงการปรีดี พนมยงค์กับสังคมไทย, ๒๕๒๖), หน้า ๘๙. ๒๗ “ประกาศสำนักนายกรัฐมนตรีฯ”, อ้างแล้ว, หน้า ๔๗๓. ๒๘ ปรีดี พนมยงค์, อ้างแล้ว, หน้า ๘๓-๙๕. ๒๙ เพิ่งอ้าง. ๓๐. เพิ่งอ้าง, หน้า ๙๑-๙๒. ๓๑ เพิ่งอ้าง, หน้า ๙๐. ๓๒. ประเสริฐ ปัทมะสุคนธ์, อ้างแล้ว, หน้า ๕๐๒,๕๑๐, ๕๒๕-๕๒๗. ๓๓. เพิ่งอ้าง, หน้า ๖๔๓. ๓๔. ดูประวัติและงานบุคคลผู้นี้ได้ใน ประอรรัตน์ บูรณมาตร์, หลวงวิจิตรวาทการ      กับบทละครประวัติศาสตร์ (กรุงเทพฯ: มูลนิธิโครงการตำราสังคมศาสตร์และ      มนุษยศาสตร์, ๒๕๒๘), หน้า ๓๙. ๓๕. ปรีดี พนมยงค์, อ้างแล้ว, หน้า ๙๑. ๓๖. ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช เล่าภูมิหลังประวัติของตนเองถึงการมีเชื้อมอญแขก      ลาวจีนในตัวเอง โปรดดู โครงกระดูกในตู้ (กรุงเทพฯ: สยามรัฐ, ๒๕๓๔)     หน้า ๑-๑๐, และดู วิทยากร เชียงกูล, ศึกษาบทบาทและความคิด ม.ร.ว.คึกฤทธิ์     ปราโมช (กรุงเทพฯ: ผลึก,๒๕๓๒) โดยความเอื้อเฟื้อข้อมูลจากแหล่งรวมพิมพ์โดย ขุนนางอยุธยา [16 ก.ค. 2548 , 00:22:35 น.] จากคุณ : tiki_ทิกิ - [ 23 ก.ย. 49 14:39:46 ]

ความคิดเห็นที่ 18 คุณ คายตรี ขอบคุณ ข้าพเจ้าเบรคไม่บรรยายต่อไป ด้วยเกรงข้อมูลผิดพลาด เดชะบุญ ที่มีบทความจาก ขุนนางอยุธยามาช่วยไว้ได้ ทันท่วงที มิฉะนั้น อาจดำน้ำไม่โผล่ไปเลย ......ว่าแล้วก็บ่นอีกที ว่าย้ายแล้วย้ายอีก หนังสือก็หดหาย ไปตามกาลเวลา ที่มีอยู่ก็ไม่มีข้อมูล แต่ที่มีข้อมูลเดี๋ยวจะพิมพ์ให้เพื่อนชาวพันทิป อ่านกัน ในภายภาคหน้า ขอบคุณที่มาช่วยทำให้กระทู้มีเพื่อนขึ้นอีกคนสองคนค่ะ จากคุณ : tiki_ทิกิ - [ 23 ก.ย. 49 14:42:16 ]

ความคิดเห็นที่ 19 เมื่อดึกคืนก่อน คุณ ขุนนางอยุยยาแว่บหน้ามาถามเรื่องอะไรบางอย่าง เลยขอด่วนให้ช่วยเขียนต่อให้ทีหน่อยกำลังยุ่งอะไรสักอย่าง คุณ ขุนนางอยุธยา จึงส่งลิงค์มาให้ เราก็เสียสยองเต็มทีว่า ไม่เคยคัดลอกบทความใครมาลง เว็บอย่างนี้เลยนา เกรงกฎหมายลิขสิทธิ์เต็มที่ เธอก็บอก ไม่เป็นไร เราทำเพื่อเป็นวิทยาทาน อีกอย่างเรามีข้อมูลบรรณานุกรมแนบท้ายให้เป็นที่เรียบร้อย แล้วเธอ ก็ ลาจากไปนอนละนะ ข้าพเจ้าก็เลยคัดลอกมา แต่เพียงผู้เดียว หดขนาดหน้าใหญ่ให้เล็กๆ พออ่านหน่อย จนดึกมาก ก็ขอตัวไปนอน ไม่ลืมว่าจะต้องมาลง ข้อมูล บรรณานุกรมให้วันนี้ .......มีเรื่องโคลงหลายเล่มที่จะนำลงให้ได้อ่าน ขอเวลานิดหน่อย สวัสดีค่ะอีกที จากคุณ : tiki_ทิกิ - [ 23 ก.ย. 49 14:46:42 ]

ความคิดเห็นที่ 20 ได้ความรู้ดีจัง ขอบคุณมากค่ะ :) จากคุณ : scottie - [ 23 ก.ย. 49 16:25:19 ]

ความคิดเห็นที่ 21 แว้บมาดูวูบหนึ่งก่อน ตอนนี้กำลังพิมพ์ต้นฉบับขะมักเขม้นอยู่ค่ะ ขอบคุณ คุณ สก๊อตตี้ ไม่ค่อยมาตรวจเว็บเหรอคะหมู่นี้ จากคุณ : tiki_ทิกิ - [ 23 ก.ย. 49 22:48:56 ]

ความคิดเห็นที่ 22 อืมใช่เห็นด้วย ได้ความรู้ดีมาก ขอบคุณที่อุตส่าห์หามาให้อ่านกันค่ะ จากคุณ : NATTI นัทตี้ - [ 24 ก.ย. 49 01:52:37 ]

ความคิดเห็นที่ 23 คุณทิกิครับ เป็นความรู้ที่ผมยังไม่รู้ หากมีข้อเขียนดีๆก็นำลงมาให้อ่านเรื่อยๆนะครับ จากคุณ : เกรียงไกร (huaboonsan) - [ 25 ก.ย. 49 10:38:28 ]

ความคิดเห็นที่ 24 เพิ่งอ่านได้ครึ่งเดียว แหะๆๆ ต๊ะไว้ก่อน แล้วจะค่อยมาสูบต่อครับ จากคุณ : คุณพีทคุง (พิธันดร) - [ 25 ก.ย. 49 19:49:15 ]

ความคิดเห็นที่ 25 แก้ไข%%%%%%ป.ล. เพื่อเป็นมารยาททางเว็บที่ถูกต้อง โดยที่ข้าพเจ้ายังไม่เคยได้เห็นเว็บของท่านอาจารย์ ตลอดจนยังไม่ได้รับอนุญาตเป็นทางการ จึงขออนุญาต ลบข้อความของท่านอาจารย์ออกทุกข้อความ ขอทิ้งไว้แต่ เรื่องชื่อหนังสือ ทั้งของท่าน และ บรรณานุกรม ต่างๆไว้ ท่านที่ได้อ่านแล้ว ต้องขออภัยที่ต้อง ลบข้อความออก tiki_ทิกิ จากคุณ : tiki_ทิกิ - [ 25 ก.ย. 49 23:56:54 ]

ความคิดเห็นที่ 26 คุณ แน้ตตี้ คุณ เกรียงไกร คุณ พีทคุงคะ .........ถ้าเราเอาความสะดวกความง่ายเข้าว่า สิ่งที่เรากำลังพิมพ์เพื่อเอามาเป็นวิทยาทาน โดยเจ้าของงานยังไม่ทราบและไม่ได้อนุญาต ขอประทานโทษ มันผิดกฎหมายลิขสิทธิ์เป็น อย่างยิ่ง ...........จึงขอทิ้งแค่ บางบทย่อหน้านิดหน่อย พอให้ทราบ ซึ่งช่วยแก้ปัญหาวันเดือนปีอันถูกต้อง ของเรา ........ขอบคุณที่แวะมาเข้าเยี่ยมค่ะ จากคุณ : tiki_ทิกิ - [ 25 ก.ย. 49 23:59:33 ]

ความคิดเห็นที่ 27 ท่านที่มีปัญหาในเรื่องบทความแหว่งๆของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าขอเรียนว่า .......พิจารณาหลายรอบแล้วว่า ๑.การที่คัดลอกเรื่องผู้อื่นมาโดยไม่บอกแจ้งเจ้าตัวให้ทราบ นั่นก็พอจะทำให้เจ้าของข้อมูลฉุนเสมอ (อันนี้ ตัวเองโดนลอกไปเป้นประจำ โผล่ที่เว็บโน้น เว็บนี้ แม้นว่า จะให้เกียรติ บอกที่มาว่าใครเขียน ไปเปิดเจอเข้ายังต้องร้อง เฮ้อ ดังนั้น ตนเองก็ไม่น่าทำอย่างที่ทำให้เจ้าของเรื่องต้อง ร้อง เฮ้อ ด้วยเช่นกัน) ๒ อาจจมีพวกฉวยโอกาส อ่านแล้ว ค้อปี้ไป บอกว่าเป็นตัวเองเขียนก็มีมากมาย โดยเฉพาะ ช่วงนี้ คดีละเมิดลิขสิทธิ์ทางหน้าเว็บมีอย่าง ต่อเนื่อง อย่างที่กำลังโพสต์กันอยู่หน้ากระทู้ ข้าพเจ้าก็เลยขอ ทำลิงค์ให้เป็นตัวอย่าง ดังนั้น การที่จะช่วยพวกฉวยโอกาสเหล่านี้ให้ดำเนินธุรกิจคดโกง เอกสารชาวบ้านเขาโดยสะดวก จึงขอร่วมลงชื่อต้าน ไว้ ณ ที่นี้ด้วย ถึงแม้ว่า ข้อมูลจะขาดหายไปสักหน่อย แต่ตรงนี้ ข้าพเจ้าไม่ได้ทำเพื่อเป็นวิทยาทานเสียแล้ว นำลงเพราะอยากนำลงเท่านั้น ดังนั้น ใครใครศึกษาหาความรู้ควรเข้าไปในเว็บต่างๆ ที่เขา โพส ลงไว้ ข้าพเจ้ายังตั้งปนิธานไว้ต่อไปว่า ตราบใดที่ยังเข้าเว็บ ที่เปิดให้โพสกระทู้ฟรีเช่นนี้ ก็ควร เก็บดอกไม้ มาฝากนานๆที หรือ ควรปลูกต้นไม้ ให้เว็บมีต้นไม้ มีช่อดอกไม้สักช่อสองช่อ .....เป็นการตอบแทน แต่ใครที่เข้ามาในสวนดอกไม้เขาแล้ว ถ่ายรูปไปเก็บไว้ดู ก็คงไม่มีใครว่า แต่หาก ถ่ายรูป ไปลงพิมพ์ว่าเป็น ดอกไม้ที่ข้าพเจ้าปลูกเอง ก็ควรจะยับยั้งตั้งสติกันหน่อย ประเทศไทย นี้ น่าสงสารจริงๆ ที่เราไม่สั่งสอนอบรมจริยธรรม เรื่องการ Plagiarism กันอย่างเป็นเรื่องเด็ดขาด ยกกระทู้ลิขสิทธิ์ต่างๆมาปะไว้ http://www.pantip.com/cafe/library/topic/K4737066/K4737066.html http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W4578580/W4578580.html ก็จะขอยก เรื่องจี้ สักเรื่องมาแปะให้ดู จากการเข้า Search ชื่อ tiki_ทิกิ ของตัวเอง ไม่มีอะไรมาก(ก่อนหน้านี้มีมากกว่านี้ ได้เขียนประท้วงไว้ตามเว็บ แต่คนนั้นจะยังทำการ ต่อไป ก็ไร้สติปัญญาจะตามไปว่า..ต้องอภัย..) มาบันทึกไว้เพื่อทราบว่า ขบวนการขโมยงานคนอื่นไปเป็นของตัว แล้ว บัดซบขนาดไปจดลิขสิทธิ์เป็นงานเขียนตัวเอง ทำให้คนอื่น โดยเฉพาะคนต้นคิดต้นเขียน มีความผิดทางกฎหมาย ฐานไปเขียนเหมือนที่ตัวเองขโมยเอาไปพิมพ์ นี่มัน...? นี่มันแรงร้ายเกินจะช่วยกันส่งเสริมคนประเภทนี้นะคะ ขอกราบเรียนเพื่อนร่วมเว็บ และท่านผู้อ่านทุกท่านไว้ ณ ที่นี้ ว่ามีความรุ้สึก หมดอารมณ์ที่จะโพสต่อไป แม้นจะเสียความรู้สึกอย่างไร ก็เสียไปวันนี้ ดีกว่าจะไปเสียวันหน้า จากคุณ : tiki_ทิกิ - [ 28 ก.ย. 49 16:08:05 ]

ความคิดเห็นที่ 28 มีความคิดว่า หน้าต่าง บ้านเรา ขาด บันทึกวันวาร ไดอารี จึงไปตั้งกระทู้ให้โหวต แล้วนะคะ http://www.pantip.com/cafe/library/topic/K4777855/K4777855.html ขอโหวต ถึงเวลาพันทิป จะมีหน้า "บันทึกวันวาร " " ไดอารี "กันหรือยังคะ 1. เห็นด้วยให้ตั้ง บันทึกวันวาร-ไดอารี 2. ไม่เห็นด้วยให้ตั้ง บันทึกวันวาร*ไดอารี 3. ไม่สนใจ เฉยๆ ไม่จำเป็น -------------------------------------------------------------------------------- เข้า ถนนนักเขียน ห้องสมุดมานาน ส่วนใหญ่ ชอบบันทึก ความเป็นไป ของตน ของวัน ของสังคม แต่มักไปติด กับ ความเรียง  บทประพันธ์อื่น  นอกเรื่อง ฯลฯ จึงขอความเห็นชอบพวกเราทุกท่านว่า ถึงเวลาพันทิป จะมีหน้า บันทึกวันวาร-  ไดอารี กันหรือยังคะ  ฝากไปช่วยโหวตด้วย ถ้าอยากให้มีค่ะ จากคุณ : tiki_ทิกิ - [ 9 ต.ค. 49 14:25:31 ]

ความคิดเห็นที่ 29 คุณ  tiki_ทิกิครับผม blog.ผมเป็นblogการเมืองครับ เละๆตุ้มเปะตามอารมณ์ร้ายๆของผู้เขียน หาแก่นสารไม่ได้ครับ ต้องการcopyสิ่งใดหรืออะไรเชิญตามสบาย เพราะผมก็copy เพื่อนๆร่วมกลุ่มกันมา เพื่อกระจายบทความให้ทราบๆกัน มากกว่าแสวงหาเป็นความรู้ อย่างที่คุณทำให้เห็นนี้ ( ดีมากนะครับ ) ชาติไทยเรามีหลายอย่างให้ชื่นชมปนขัดแย้งและเคืองขุ่น ทหารมีหน้าที่คุ้มครองประเทศและราชบัลลังก์ แต่ไม่มีสิทธิปกครองประเทศ...ในความคิดของผมนะครับ เมื่อเป็นเรื่องการเมือง ก็ไม่เหมาะที่จะพูดถึงเรื่องนี้ กับนักประวัติศาสตร์บริสุทธิ์เช่นคุณและเพื่อนๆ ยินดีที่ได้รู้จักครับผม แก้ไขเมื่อ 20 ต.ค. 49 21:52:12 จากคุณ : B.JJ (ThePhenix) - [ 20 ต.ค. 49 21:50:39 ]

ความคิดเห็นที่ 30 คุณ : B.JJ (ThePhenix) ที่เคารพ ขอขอบพระคุณที่แวะมาให้ข้อมูล ในช่วงที่ข้าพเจ้ามิได้เข้ามาในเว็บด้วยพอดี อย่างแรกขอบพระคุณ อย่างที่สอง เอะใจในเรื่องการค้อปี้ไปมาจึงยับยั้งใจ และ อย่างที่สาม ขอบคุณอีกครั้งที่แวะมาเยี่ยมค่ะ จากคุณ : tiki_ทิกิ - [ 4 พ.ย. 49 13:53:48 ]

ความคิดเห็นที่ 31 ก็ฝากลิงค์ ที่น่าสนใจไว้ที่นี่ก่อนเลยค่ะ http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=thephenix&month=10-2006&date=20&group=6&blog=2 ขอบคุณ คุณ  B.JJ (ThePhenix)  ไว้ ณ ที่นี่ค่ะ จากคุณ : tiki_ทิกิ - [ 4 พ.ย. 49 13:57:18 ]