ฆาตกรรมในเกสต์เฮ้าส์
ตอนต้น
http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W4705226/W4705226.html
.......................................................................
ตอนจบ
แม้คดีนี้เริ่มต้นด้วยการเสนอข่าวอย่างครึกโครม เรียกความสนใจจากคนในสังคมให้ตื่นตกใจ กังวลกับภาพพจน์ของประเทศไทย และเรียกเสียงตำหนิบุคคลที่ลงมือกระทำอย่างมากมาย แต่ท้ายที่สุดคดีดังกล่าวกลับจบลงอย่างเงียบ ๆ มีการเสนอข่าวเป็นพาดหัวลำดับรอง ๆ ลงไปเท่านั้น แม้แต่กับหนังสือพิมพ์หัวสีที่มักเสนอข่าวอาชญากรรมเป็นพาดหัวหลัก ถึงคดีฆาตกรรมคดีนี้จะเป็นผลงานชิ้นเอกของตำรวจท้องที่กับตำรวจท่องเที่ยวที่ร่วมกันไขคดีจนสำเร็จในเวลาเพียงสัปดาห์เดียวก็ตาม
คดีดังที่จบลงอย่างนี้ ถ้าไม่ลงเอยด้วย เหตุผลด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ หรือคำสั่งของ ผู้ใหญ่ ก็เป็นคดีที่จบลงด้วยบทสรุปที่ว่าเป็นเรื่อง ฝรั่งฆ่าฝรั่ง ซึ่งจะไม่เกี่ยวกับหน้าตาของประเทศ ให้คนไทยต้องเดือดเนื้อร้อนใจอีกต่อไป
ไม่ก็เป็นความประสงค์ของญาติผู้เสียหายหรือผู้เสียชีวิต หรือเหตุผลบางอย่างที่ยากจะอธิบาย...
นายพันตำรวจโทลอบระบายลมหายใจออกยาวด้วยความโล่งอก หลังจากสัมผัสมือกับบิดา มารดาสูงวัย และพี่สาวของชายผู้ล่วงลับที่ยื่นมาให้สัมผัสเป็นการขอบคุณที่ช่วยทำให้คดีฆาตกรรมดังกล่าวกระจ่างขึ้น จนกระทั่งได้ตัวบุคคลที่สังหารชายชาวอเมริกันผู้นี้มาสู่กระบวนการยุติธรรม ในห้องรับรองของห้องผู้โดยสารขาออกระหว่างประเทศ
นายคริสปิน วินสตัน เอ็กเกิร์ต ผู้พ่อ อ้วน เตี้ยเหมือนลูกชายก็จริง หากบุคลิกของเขาดูน่าเกรงขามและน่าเชื่อถือ ต่างกับคริสปิน อัลแลน เอ็กเกิร์ต ผู้ลูก ชนิดคนละขั้ว เช่นเดียวกับนางเอ็กเกิร์ต และพี่สาวของคริสปิน ที่มีผมสีทอง รูปร่างผอมบาง และริมฝีปากบางเฉียบ จนแทบไม่มีอะไรนอกจากสีผมที่บอกว่าผู้ตายเป็นสายเลือดเดียวกับหญิงทั้งสอง
เขาไม่เคยรู้สึกไม่อยากมองหน้า และสบตากับญาติผู้เสียหายเท่านี้มาก่อนในชีวิต...
ไม่ใช่เพราะไม่อยากเห็นสีหน้าอมทุกข์ของคนเหล่านั้น หากเพราะความรู้สึกอึดอัดที่มีต่อพวกเขา ทั้งต่อบรรยากาศในสถานที่ดังกล่าวเคร่งขรึม เต็มไปด้วยพิธีรีตรอง ไม่มีร่องรอยความเศร้าโศกเจืออยู่เลยแม้แต่น้อย
ตั้งแต่แรกมาแล้วที่เขาเห็นทุกคนมีสีหน้าเรียบเฉย ทั้งยามที่ลูกน้องของเขากล่าวสรุปรายงานการสืบสวนสอบสวนให้ฟัง เมื่อตัดสินใจเกี่ยวกับพิธีศพ และในตอนนี้
นี่เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นหลังความสูญเสียคนในครอบครัวไปอย่างไม่มีวันกลับแน่หรือ...
เขาเริ่มเห็นใจโปรแกรมเมอร์อิสระชาวอเมริกันผู้นั้นมากขึ้นทุกที
แม้ทางการไทยจะยินดีบริการส่งศพกลับไปประกอบพิธีกรรมที่ประเทศสหรัฐอเมริกาโดยไม่คิดค่าใช้จ่าย แต่ครอบครัวของเขากลับปฏิเสธ และขอรับแต่เถ้ากระดูกของคริสปิน เอ็กเกิร์ตกลับไปเท่านั้น
ก็เป็นไปได้ที่ครอบครัวของผู้ตายจะไม่พอใจที่ ลูกชาย หรือ คนร่วมใช้นามสกุล ทำให้ชื่อเสียงของครอบครัวเสียหาย ในฐานที่เข้าไปพัวพันกับคนในธุรกิจการพนันอย่างเจอโรม ดูลัค ทำงานให้ยังไม่พอ ก็ไปเล่นการพนันกับนายจ้างจนเป็นหนี้เป็นสิน ต้องยืมเงินเพื่อนฝรั่งที่ทำมาหากินในเมืองไทยอย่างแดนนี่ สแตนตันมาใช้ แถมยังไม่ใช้คืนอีกต่างหาก ทั้งที่ตัวเองมาจากครอบครัวเศรษฐีที่ทำธุรกิจด้านอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์จนร่ำรวย ซ้ำคนที่คบหาอย่างแอน ก็เป็นแค่สาวเสิร์ฟในบาร์ระดับล่าง ที่สุดแล้ว ชายผู้นี้ก็ต้องมาจบชีวิตอย่างน่าอนาถนอกบ้านเกิด ให้ตำรวจมาถ่ายรูปในสภาพชวนสังเวช และต้องถูกหมอผ่าพิสูจน์ส่งท้ายอีก
แค่ให้ตำรวจไทยเข้ามาสืบสาวหาประวัติออกมาก็น่าอายมากพออยู่แล้ว ถ้าจะให้ข่าวแพร่หลายออกไปละก็ชื่อเสียงทั้งครอบครัว ทั้งบริษัทป่นปี้กันหมดพอดี
สรุปแล้ว คดีนี้จบลงโดยที่ประเทศไทยไม่ขายหน้า... แต่คนที่เสียหน้า คือ ญาติผู้เสียหายต่างหากเล่า
เมื่อหันไปมองนายร้อยตำรวจตรีที่ยืนเยื้องไปหลบอยู่ทางด้านหลัง ซึ่งครอบครัวเอ็กเกิร์ตได้เรียกขึ้นมา เพื่อยื่นมือให้สัมผัส ก่อนผละจากไปพร้อมกับเจ้าหน้าที่สถานกงสุลอเมริกัน และเจ้าหน้าที่ระดับสูงคนอื่น ๆ ของฝ่ายไทย ลูกน้องของเขาไม่ได้กล่าวสิ่งใดไปมากกว่าตอบรับคำขอบคุณ และวันทยาหัตถ์เป็นการทำความเคารพก่อนจาก หากรอยยิ้มที่อยู่บนริมฝีปากบางเฉียบนั้นก็ดูฝาดเผื่อนด้วยความรู้สึกกระอักกระอ่วนกับบรรยากาศรอบตัวไม่น้อยไปกว่ารอยยิ้มของเขาเลย
ยามชายหนุ่มถอยหลังกลับไปยืนที่เดิมของตน เขาสบตากับบุคคลที่ขยับผ่าน และมีเสียงกระซิบแผ่วเบาจากเขาให้สารวัตรได้ยิน
เราพูดผิดไป... คดีนี้ ไม่มีใครเป็นฆาตกรทั้งนั้น...
ผู้เป็นนายรู้ความหมายในประโยคนั้นดีว่าผู้ใต้บังคับบัญชาหมายความเช่นไร
ใช่... คดีนี้มีแต่ ผู้กระทำความผิด แต่ไม่มีสักคนใครที่เป็น ฆาตกร อย่างแท้จริง...
..........................................................................
(มีต่อนะคะ)
จากคุณ :
ปิยะรักษ์
- [
26 ก.ย. 49 07:55:52
]