ตอนที่ 4 คนของฝั่งนี้
เมื่อวานนี้มีคนส่ง Forward มาให้
ด้วยความฉุน จึงกด Delete ไปทันที ลืมคิดว่าน่าจะเอามาให้คนอื่นๆ ได้อ่านกัน
อ่านแล้วควันออกหูในสองวินาทีแรก และในวินาทีที่สามก็พยายามปลง
ได้แต่ส่ายหน้าอยู่ไหวๆ ...
เนื้อความมีอยู่ว่า
เด็กคนหนึ่งเป็นไข้และล้มป่วยลงอย่างกะทันหัน ภายใน 15 วันเด็กคนนั้นก็เสียชีวิต
หลังจากสืบสวนหาอาการป่วยพบว่าคนในบ้าน พ่อและแม่ ไม่มีอาการใดๆ ผิดปกติ
สืบทราบมาว่า ก่อนที่เด็กคนนั้นจะมีอาการไข้ได้ไปซื้อสับปะรดรถเข็นมาทาน
จึงไปสอบสวนจากพ่อค้าขายสับปะรด และผลการตรวจเลือดของพ่อค้าขายสับประรด
พบว่ามีเชื้อ HIV คาดว่าขณะที่หั่นสับปะรดคงบังเอิญเกิดมีดบาดมือ ทำให้เด็กที่ไปซื้อ
สับปะรดมาทานเกิดเป็นเอดส์
ในตอนท้ายของข้อความยังลงท้ายว่า
อยากให้ทุกคนอ่านและเก็บไว้เป็นอุทาหรณ์ และไม่อยากให้เกิดเหตุการณ์นี้ขึ้นกับ
ครอบครัวใดๆ และอยากให้ทุกคนส่งต่อเพื่อเตือนคนที่คุณรัก
อ่านตอนแรกก็ Delete ทิ้งทันที แต่พอเมื่อคืนทิ้งหัวลงหมอนกลับนอนไม่หลับ
มันเหมือนมีอะไรทิ่มแปร๊บๆ อยู่ในหัวใจ เลยตัดสินใจเอามาเขียนเป็นเรื่องสั้นตอนที่ 4
ให้คุณผู้อ่านได้อ่านกัน ทั้งที่จริงๆ แล้วมีเรื่องอยากทำมาเขียนเป็นตอนที่ 4 อีกตั้งหลายเรื่อง แต่เอาเป็นว่า ขอแซงคิวเขียนถึงเรื่องนี้ขึ้นมาแบบด่วนจี๋ก่อน...
ก่อนอื่นเรามาดูข้อความ Forward นี้ดูให้ดี ว่ามันมีอะไรอยู่ในข้อความ
อ่านแล้วรู้สึกอย่างไรครับ
เจตนาของผู้เขียนเรื่องนี้ อาจจะ แต่งเรื่อง ขึ้นเพื่อให้คนในสังคมได้ระวังตัวกันมากขึ้น
แต่รู้ไหมครับ ว่าเรื่องที่คุณ แต่ง ขึ้น นอกจากจะเป็นหยดน้ำทิพย์ ชโลมใจ ชโลมสังคมแล้ว
ยังเป็นดาบที่สะบั้นศีรษะอีกหลายชีวิตอีกด้วย !!!
ทำไมผมถึงบอกว่าเขา แต่งเรื่อง ขึ้น... ทำไมถึงกล้าที่จะบอกว่าเขา สร้างเรื่อง
ข้อแรก หากเป็นเรื่องจริง คงเป็นข่าวครึกโครม เรื่องจริงผ่านจอ ถึงลูกถึงคน หลุมดำ
คุยแหกโค้งทะลุโค้ง ตีสิบ ตีสิบเอ็ด คงมาจองตัว ครอบครัวนี้ออกรายการโทรทัศน์กันให้
วุ่นวายไปหมด...
ข้อสอง ลองอ่านดูความสมเหตุสมผลในบทความข้างต้น ทำไมถึงรู้ว่าเด็กไปกินสับปะรด
ก่อนเสียชีวิตเด็กกินสารพัดอย่าง รู้ได้ไงว่าต้องเป็นพ่อค้าสับปะรด ไม่เช่นนั้น
พ่อค้าไอติม พ่อค้าหมูปิ้ง พ่อค้าอื่นๆ ไม่ถูกจับตรวจเลือดกันหมดหรือ...?
ข้อสุดท้าย เอดส์ประเทศไหนครับ เป็นได้ 15 วันแล้วเสียชีวิต ทำไมผมถึงรู้ดี..?
ก็ผมเป็นเอดส์ และคิดว่าคนที่เป็นเอดส์ อ่านบทความนี้ไม่หัวเราะจนแทบขาดใจ
ก็คงฉุนจนควันออกหูเหมือนผม...
แล้วทำไมผมถึงต้องฉุน ...ข้อความที่ดูน่าจะเป็นการดีต่อสังคมนี้
กลับทำร้ายหลายๆ คนที่ติดเชื้อ HIV เพราะความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ของผู้ที่เขียนขึ้นมา
แน่นอนว่าผมไม่เชื่อ คนที่เกี่ยวกับวงการทางการแพทย์ไม่มีทางเชื่อ
แต่... จะมีกี่คนที่เชื่อหล่ะ...
คนที่ไม่รู้จักโรคนี้ดีพอ แน่นอนว่าเขาต้องเชื่อกว่า 80%
และอะไรจะตามมาจากคนที่เชื่อเหล่านี้...
สมมตินะครับ ว่าคุณไม่มีความรู้อะไรเกี่ยวกับเชื้อ HIV เลย แล้วอ่านเจอข้อความนี้
คุณจะรู้สึกอย่างไรกับผู้ที่เป็นโรคนี้ครับ
นี่ขนาดกินสับปะรดไปแค่ชิ้นสองชิ้นน้ะ
ลูกบ้านนั้นเขาว่าเป็นเอดส์แหล่ะ น่ากลัว ไม่จำเป็นอย่าเข้าไปในบ้านนั้นนะ
ตาคนนั้นหน่ะ ผลการตรวจร่างกายประจำปีบอกว่าเค้าเป็นเอดส์และ ชั้นเคยอ่านเจอนะ
กินสับปะรดชิ้นเดียวยังติดเลยเธอเอ๊ย อย่าให้เค้ามาใช้อะไรร่วมกับเธอนะ
ใช่แล้วครับ ความรู้สึกแรกที่ต้องเกิดขึ้นแน่ๆ คือน่ากลัว ต้องกันไว้ก่อน
ผิดไหม ไม่ผิดเพราะมันคือสัญชาติญาณทั่วไปของมนุษย์
แต่... ยังมีคนอีกกลุ่มหนึ่งที่ถูกข้อความนี้เด็ดชีวิตโดยที่ผู้เขียนไม่รู้ตัว
คนกลุ่มนั้นอาศัยเพียงแค่ใจ ยืนหยัดมีชีวิตอยู่ ยืนหยัดที่จะสู้
แต่คนกำลังทำลายมันลง
เขาอาจถูกพิพากษาให้ออกจากงาน ถูกให้ออกมาอยู่นอกบ้าน
ไม่มีคนคบหา เพราะข้อความที่คุณเขียนเป็นส่วนหนึ่งที่พิพากษาชีวิตของเขาเหล่านั้น
คุณอาจบอกว่าแต่มันก็มีทางเป็นไปได้ไม่ใช่หรือ เขียนเตือนสติ เตือนสังคมไว้ก่อน
จะได้ระแวดระวังกันมากขึ้น คำตอบของผมคือ มันเป็นไปไม่ได้ เลยครับกับเรื่องนี้
คนบนโลกนั้นคร่าชีวิตกันเอง เบียดเบียนกันเอง ทั้งโดยรู้ตัว และไม่รู้ตัว
และนี่ก็เป็นอีกหนึ่งตัวอย่างที่โยนความทุกข์ใส่ผู้อื่น โดยที่ตนเองไม่รู้ตัว
หลายคนที่จิตใจอ่อนไหว อ่อนแอ แล้วยิ่งมาติดเชื้อ HIV ถ้าเจอข้อความนี้เข้าไป
รับรองว่าน้ำตาแตกแน่ๆครับ ดีไม่ดี พ่อแม่คนไหนอ่านมาเห็น เกิดไปด่าซ้ำเข้า
โห... ไปกันใหญ่ ทีนี้ได้มีการฆ่าตัวตาย หนีออกจากบ้าน ดีไม่ดี เกิดกลายเป็นโรคจิต
ขึ้นมา เอาเข็มไปไล่จิ้มคนอื่น ยิ่งน่ากลัวไปยิ่งกว่ากินสับปะรดอีก
เพราะอะไรเราจึงคิดแตกต่างกัน... เพราะเรายืนกันอยู่คนละมุมไงครับ
คนละมุมเหมือนมุมแดงกับมุมน้ำเงิน ที่ความคิดของเรามักมาต่อยกันอยู่ตรงกลางเวที
ก่อนหน้าที่ผมจะตรวจเลือดเจอ ผมคงต้องคิดแบบมุมของผู้เขียนข้อความนี้
โรคนี้มันน่ากลัว ผมอาจเกิดความรู้สึกคล้อยตาม เพราะอย่างที่บอกไว้ มนุษย์นั้นมีกลไก
การป้องกันตัวเองติดตัวกันทุกคน
หากคุณก้าวข้ามมามองในมุมอีกมุมหนึ่ง คุณจะเห็นโลกใบเดิมในมุมใหม่ๆ เชื่อไหมครับ
เพียงแค่เรายืนกันคนละฝั่ง ก็ทำให้เราเห็นโลกต่างกันโดยสิ้นเชิง
จำได้ไหมครับว่าตอนแรกผมตั้งชื่อตอนว่าอะไร...
เอดส์ ป้องกันได้ถ้าไม่ไปตรวจ
เพราะอะไรผมถึงตั้งชื่อไปแบบนั้น เพราะนั้นคือมุมมองของคนที่ไม่ได้เป็นแต่
มีพฤติกรรมเสี่ยง อันนี้ไม่รวมพวกไม่มีพฤติกรรมเสี่ยง ไม่เคยไปนอนกับใคร
แน่นอนอันนั้น คุณจะต้องมั่นใจว่าคุณไม่เป็นแน่ๆ แต่พวกเสี่ยงร้อยทั้งร้อยห้า
ไม่กล้าไปตรวจหรอกถ้าไม่จำเป็น ไม่ได้กลัวเข็มกันนะครับแต่กลัวผล
ดังนั้นมุมมองของพวกที่เสี่ยงจึงมองว่า เอดส์ ป้องกันได้ถ้าไม่ไปตรวจ
(ครั้งนี้พูดถึงเรื่องมุมๆ เยอะหน่อย อย่าเพิ่งเวียนหัวกันนะครับ)
แต่หากคุณตรวจแล้วพบเชื้อ แน่นอนว่าคุณกระโดดมาอยู่ฝั่งเดียวกับผมแล้ว
คุณจะรู้ทันทีเลยว่า การพบว่าตัวเองมีเชื้อนั้นถือว่าคุณยังมีบุญเก่าอยู่มากนะครับ
หากคุณได้อ่านตอนที่ 3 จะรู้ว่าคนติดเชื้อเอดส์ จะต้องตรวจค่า CD4 เป็นประจำ
แล้วถ้าคุณพบกว่าคุณติดเชื้อมันจะดีกว่ายังไง เอาง่ายๆ แบบไม่ได้แช่งนะครับ
ผมติดเชื้อ และตรวจพบ ทราบตัวเองดี ค่า CD4 ของผมอยู่ที่ 500 (ผมเพิ่งรับเชื้อมา)
คุณติดเชื้อ ไม่เคยตรวจ ไม่รู้มาก่อน ค่า CD4 ของคุณอยู่ที่ 500 ตามมาตรฐานคนปกติเช่นกัน
ผมทราบว่ามีเชื้อ ผมเลิกนอนดึก เลิกกินเหล้า เลิกสูบบุหรี่ ออกกำลังกายบ้างตามสมควร พยายามไม่เครียด
คุณไม่ทราบว่ามีเชื้อ ยังคงเล่นเน็ต นอนสว่าง กินเหล้า สูบบุหรี่ ไม่ออกกำลัง ทำงานหนักหักโหม
อะไรจะเกิดขึ้นในปีถัดมา
ค่า CD4 ผมอาจจะลดลงเหลือ 450
และคุณ อาจจะลดลงเหลือ 350
และอะไรจะเกิดขึ้นในปีต่อไปเรื่อยๆ จนผมค่า CD4 เหลือ 200
ผมรับยาต้านไวรัสเอดส์ เพื่อประคอง CD4 ให้สูงขึ้น
ในขณะที่กว่าคุณจะรู้ตัวว่าติดเชื้อ CD4 อาจเหลือไม่ถึง 10
บางรายที่ผมรู้จัก มารู้ตัวก็จองวัดเรียบร้อยแล้ว (แต่ปัจจุบันก็วิ่งได้แล้วเช่นกัน)
ฟังดูง่ายๆ แต่ไม่ตลกเลยนะครับ เพราะการตรวจ HIV นั้นผิดกฎหมาย
เป็นสิทธิส่วนบุคคล ดังนั้นเมื่อเราป่วยหากไม่ทรุดจนถึงขีดสุดจริงๆ แพทย์จะไม่ตรวจ HIV เด็ดขาด
ทำให้การวินิจฉัยของแพทย์เป็นไปได้ยากลำบาก
ซึ่งถ้าเป็นผม ผมบอกแพทย์ไปเลยว่าผมติดเชื้อ แพทย์ก็จะทำการรักษาได้ถูกและทันท่วงที
หลายๆ ท่านอาจจะคิดขึ้นมาอีกว่า งั้นน่าจะตรวจกันเสียให้หมด
จะได้ไม่ต้องรอให้เจ็บป่วยก่อนให้มันวุ่นวายแล้วค่อยตรวจ
ซึ่งผมก็ว่าดีนะครับ แต่โลกเรามักมีอะไรสองด้านเสมอ อย่างที่ผมบอกไงว่าเรายืนกันอยู่คนละฝั่ง
ถ้าตรวจแล้วเกิดอะไรขึ้นครับ สังคมเราปิดกั้นผู้ติดเชื้อมากขึ้นทุกวัน
หากตรวจแล้วคนข้างๆ กายคุณติดเชื้อ คุณแน่ใจไหมว่าคุณจะรู้สึกกับเขาเหมือนเดิม
หากตรวจกันทุกๆ คน แล้วคนเลือดลบ พร้อมจะโอบอุ้ม โอบกอดคนเลือดบวกหรือเปล่าครับ
อย่างตัวผู้เขียนเอง เพราะต้องเข้าทำงานที่ใหม่ จึงต้องตรวจเลือด พอพบว่าติดเชื้อ
ก็ชวดงาน และถึงแม้เขารับเข้าทำงาน สายตาฝ่ายบุคคลที่มองผมจะเป็นอย่างไรหนอ...
มันเกิดจากอะไร
ถ้าถามผม มันเกิดจากยุคแรกๆ ที่เอดส์มาคร่าชีวิตคนเรา ตอนนั้นเรายังไม่มีหนทางในการรักษา
เป็นเมื่อไหร่รอไปสวรรค์อย่างเดียว
และเอดส์ก็แพร่ระบาดได้แค่ 3 ทาง คือ เพศสัมพันธ์ เข็มฉีดยา และแม่สู่ลูก
ดังนั้นสื่อที่ออกมาจึงประโคมภาพของความน่ากลัว น่าขยะแขยง ภาพลบอย่างรุนแรง
เพื่อให้คนกลัว ไม่กล้ามีเพศสัมพันธ์กันคนแปลกหน้า
เอดส์ในยุคก่อนๆ จึงหมายความถึง ความมั่ว ความสำส่อน การเห็นเซ็กส์เป็นเรื่องสนุก
ซึ่งผมอยากจะบอกว่า เซ็กส์ คือสัญชาติญาณนะครับ มันห้ามไม่ได้
เหมือนคุณต้องกินน้ำทุกวัน ถ้าคุณรู้ว่า กินน้ำแล้ว อาจจะติดเอดส์ แค่อาจจะนะครับ
วันหนึ่งคุณหิวน้ำ คุณต้องกินหรือเปล่า คุณอดได้หรือไม่
จึงส่งผลมาสู่โรคเอดส์ในยุคปัจจุบันที่มีผู้ติดเชื้อก็ คือ แม่บ้าน นักศึกษา หนุ่มสาว
วัยทำงาน ไม่ใช่นักเที่ยวเหมือนอย่างเอดส์ในยุคแรกๆ
เพราะอะไรหรือครับ เพราะคนเราต้องกินน้ำกันนั่นเอง ไม่ใช่แค่มั่ว หรือเสี่ยงเท่านั้น
ที่จะติดเชื้อ แต่ถ้าซวยขึ้นมา ก็ติดได้นะครับ
แต่ภาพของคนทั่วไปยังติดอยู่กับสิ่งที่สื่อยัดใส่สมองในเอดส์ยุคก่อน คือคนเป็นเอดส์มั่ว
ไม่มั่วมันไม่ติดหรอก ทั้งๆ ที่เอดส์มันวิ่งไปไกล แต่ทัศนคติของคนเกี่ยวกับมันยังหยุดนิ่ง
เหมือนเรื่องสับปะรดข้างต้น คิดว่าผู้เขียนเขียนขึ้นมาด้วยความรู้ความเข้าใจเพียงน้อยนิด
หากเขามีความรู้เกี่ยวกับ CD4 รู้ขั้นตอนกระบวนการของโรคเอดส์ เขาจะผูกเรื่องได้น่าเชื่อถือกว่านี้
บ่อยครั้งที่มีคนไปมีพฤติกรรมเสี่ยงมา หรือไปเปลี่ยนคู่นอนโดยไม่สวมถุงยางอนามัย
มาปรึกษาผม มาพูดคุยกับผม กว่าที่เขาจะได้ไปตรวจเลือดก็ 3 เดือนให้หลัง
ตลอดเวลา 3 เดือนนั้น เขาได้รับอะไรหลายๆ อย่างมากมายทั้งความเครียด
ความเข้าใจเกี่ยวกับโรคเอดส์ ได้มาสัมผัสใกล้ชิดกับผู้ที่ติดเชื้อ HIV
ได้มองชีวิตแบบเข้าใจ และไม่ตั้งชีวิตเอาไว้บนความประมาท
เมื่อถึงเวลาตรวจเลือดผมภาวนาขอให้พวกเขาไม่ต้องติดเชื้อ ให้พวกเขารอด
ไม่ได้ต้องการหาพวก ไม่ต้องการให้เขามาเป็นคนของฝั่งนี้... ไม่ต้องการเลยจริงๆ
แค่เพียงสามเดือน ก็พอแล้วครับ... พอแล้วที่ทำให้เขามองโลกในมุมที่แตกต่าง
ผมเชื่อว่าเขาจะนำเรื่องราวของพวกเราไปบอกต่ออย่างถูกต้อง...
เพราะเขาได้มาอยู่ฝั่งเดียวกับพวกเราตั้งสามเดือน !!!
-----------------------------------------------------------
ตอนเก่าๆ ครับ
http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W4651725/W4651725.html --- ตอนที่ 1
http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W4673921/W4673921.html --ตอนที่ 2
http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W4704238/W4704238.html --- ตอนที่ 3
จากคุณ :
นายต้นปาล์ม
- [
28 ก.ย. 49 19:52:17
]