...พระเจ้าจะชำระบาปให้ท่าน...
ผมอ่านถ้อยคำสั้น ๆ บนเสื้อยืดของกลุ่มคนที่ตั้งโต๊ะอยู่บริเวณใต้เชิงบันไดสถานีรถไฟฟ้า แต่ละคนยังเป็นเด็กหนุ่มสาวรุ่นราวคราวเดียวกันประมาณห้าหกคน แต่งตัวคล้ายคลึงกันทั้งหมด สองในกลุ่มนั้นกำลังยื่นหนังสือภาพเล่มเล็ก ๆ ที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับศาสนาให้กับคนที่ผ่านไปมา บางคนรับมาเปิดอ่านสองสามหน้าก็ยัดใส่กระเป๋า บางคนมักง่ายก็ขยำทิ้งลงพื้น คนไหนมักยากหน่อยก็ถือไปจนถึงถังขยะแล้วค่อยทิ้ง
ผมยักไหล่เงียบ ๆ กับภาพเหล่านั้นคนเดียว ไม่แปลกหรอก เพราะผมมาคนเดียว
ไม่บ่อยนักที่รองเท้าหนังซึ่งเป็นผลิตผลจากเมืองมิลานของผมจะได้เหยียบอยู่บนแผ่นคอนกรีตเดียวกันกับพื้นรองเท้าแตะ หูคีบ หูไขว้ ส้นสูง ส้นตึก และรองเท้าผ้าใบอีกหลายสิบคู่ในอาณาเขตป้ายรถประจำทางขนาดหน้าตัด 8 เมตร ที่จริงต้องพูดว่านานมาแล้วที่ผมไม่ได้ออกมาสูดอากาศข้างนอก นานจนเกือบจะนึกไม่ออกว่าครั้งสุดท้ายคือเมื่อไหร่
ผมมองลอดแว่นกรอบทองออกไปบนถนน หลายสิบนาทีที่ยืนนิ่งอยู่ตรงนี้ทำให้ผมค้นพบว่าการรอคอยรถประจำทางที่ยังมาไม่ถึงช่างเป็นเรื่องที่น่าเบื่อ ถึงแม้จะเคยรู้มาบ้างว่าประเทศนี้ไม่ค่อยให้ความสำคัญกับความแน่นอนของเวลาก็เถอะ แต่ผมก็เชื่อว่าไม่มีใครชอบการรอคอย ถ้าเราสามารถจำกัดเวลาของตัวเองให้แน่นอนได้อะไร ๆ ก็คงง่ายขึ้น
แต่ก็ไม่เป็นไรหรอก ผมไม่ได้รีบร้อนอะไรนักหนา
มือขวาขยับปมเนคไทเพื่อระบายความร้อนที่บ่มเพาะอยู่ใต้เสื้อเชิ้ตจากห้างแฮร์รอดครั้งเมื่อไปเยือนลอนดอน นั่นเป็นครั้งสุดท้ายที่ผมได้ออกจากห้องทำงานก็ว่าได้ อันที่จริงตัวผมไม่ค่อยรู้เรื่องเกี่ยวกับเสื้อผ้ามากนัก แต่อย่างน้อยวันนี้ผมก็รู้เพิ่มขึ้นอีกอย่างว่าแบรนด์ดังจากเมืองนอกก็ไม่ได้ทำให้รู้สึกสบายกว่าผลิตผลจากโรงงานในประเทศที่วางกลาดเกลื่อนสักเท่าไหร่ โดยเฉพาะเมื่อมาอยู่ภายใต้การทารุณกรรมของดวงอาทิตย์ในบ่ายแก่ ๆ ของวันเสาร์ที่พลุกพล่านไปด้วยผู้คนพร้อม ๆ กัน
มนุษย์นี่ก็แปลก ของอย่างเดียวกันแต่กลับประเมินค่าได้ไม่เท่ากัน ผมนึกขำอยู่ในใจ
จุดที่ผมยืนอยู่ หากจะเรียกว่าเอาความวุ่นวายโกลาหลทั่วโลกมาย่อขนาดให้อยู่ตรงหน้าก็คงไม่เป็นคำกล่าวที่เกินไปนัก เพราะมันครบถ้วนทั้งความสับสน แออัด เยียดยัด ร้อนระอุ คนเยอะเป็นหนอน
รถแท๊กซี่นับสิบ ๆ คันวิ่งไขว่ไม่รู้เหนือใต้ เสียบซ้ายไพล่ขวาเบียดเข้าหาผู้โดยสารที่ส่วนใหญ่มักจะเรียกตัวเองว่าปัญญาชน อากัปกิริยาโหยหาความสะดวกที่ลอดเลื้อยออกมาจากจิตรู้สำนึกเหล่านั้นเป็นตัวดึงดูดที่ดีที่สุด สำหรับคนขับแท็กซี่ทุกรายนั่นคือแสงแห่งความหวัง เพียงมีเงินแค่ร้อยกว่าบาท ไม่ว่าใครก็สามารถใช้ซื้อความสบายในยุคโลกาภิวัฒน์ได้อย่างไม่ขัดเขิน
เมื่อปัจจัยสองอย่างเดินทางบรรจบกัน และช่วยให้คนหาเช้ากินค่ำสามารถนำมันไปแลกค่าข้าวค่าน้ำนมให้ลูกเล็ก ๆ ที่กำลังกินกำลังนอนได้ การเจรจาก็บังเกิดได้ง่าย ๆ บนทางเท้า
ภาพชีวิตบนถนนใหญ่หลั่งไหลเข้ามาในคลองจักษุของผมไม่ขาดสาย ทำให้ผมไม่ทันเห็นว่าคุณยายที่ยืนยักแย่ยักยันอยู่ข้าง ๆ ผมทรุดลงกับพื้นฟุตบาทตั้งแต่เมื่อไหร่ ที่รู้สึกตัวเพราะได้ยินเสียงกระจาดพวงมาลัยร่วงเผละลงพื้น หันมองอีกทีก็เห็นหัวหงอกขาวเอียงโคลงเคลง ดูเหมือนแกคงหน้ามืด ร่างชรานั่งแช่อยู่ท่าเดิมพักหนึ่งโดยไม่มีใครแถวนั้นสนใจจะเข้ามาช่วยเหลือ บางคนแค่ชำเลืองมองผ่าน ๆ แล้วหันไปอ่านหนังสือพิมพ์ต่อ บ้างคุยโทรศัพท์ บางคนแกล้งทำเป็นมองไม่เห็น
และไม่บ่อยนักที่รองเท้าหนังจากมิลานจะมีโอกาสได้เปื้อนคราบน้ำหมากที่กระฉอกจากริมฝีปากเหี่ยว ๆ ไม่ว่าแกจะตั้งใจบ้วน หรือมันจะเทออกมาเองจากความซุ่มซ่าม ผมไม่รู้ แต่อย่างน้อยก็อดชำเลืองมองของเหลวสีแดงเปื้อนเป็นดวง ๆ ที่กระจายจนแทบกลบป้ายแบรนด์สีเงินเกือบสนิทไม่ได้ ผมแกล้งทำเป็นเฉยเมยด้วยการมองตรงไปข้างหน้า ไม่ใส่ใจกับคำกล่าวขอโทษขอโพยซึ่งไหลพรูออกมาจากปากของหล่อน
ขอโทษค่ะนายท่าน อิฉันไม่ได้ตั้งใจ จู่ ๆ มันก็วูบไปค่ะ น้ำเสียงแหบเครือกล่าวโทษตัวเองไม่หยุดหย่อน เดี๋ยวอิฉันจะรีบเช็ดออกให้นะคะ
ร่างงองุ้มกุลีกุจอควักผ้าขนหนูสีสาบที่เหน็บไว้ข้างเอวซึ่งดูสกปรกไม่แตกต่างกับเสื้อคอกระเช้าที่แกสวมใส่อยู่มาเช็ดด้วยมือสั่นเทา ผมคิดว่านี่คงเป็นธรรมชาติของผู้สูงอายุที่เดินทางอยู่บนเส้นทางสายกรรมาชีพตลอดชีวิต ความเคารพนบนอบต่อทุกบุคคลแสดงออกถึงชีวิตที่ไม่เคยอยู่ค้ำหัวใคร
ไม่เป็นไรหรอกยาย ช่างมัน
ผมจำใจต้องก้มลงไปพูดกับยาย แน่ละ ในเวลาแบบนี้ผมควรจะทำตัวกลมกลืนไปกับคนอื่นมากกว่าที่จะมาทำท่าวางเฉย เพราะการตกเป็นเป้าสายตารังแต่จะทำให้ผมทำงานไม่สะดวก แค่เพียงกระเป๋าเดินทางใบยักษ์สูงท่วมเอวที่หอบมาด้วยก็เด่นพออยู่แล้ว ไหนจะของที่อยู่ข้างในอีก...
คุณยายไสกระจาดพวงมาลัยของแกไปด้านหลังขณะก้มหน้าก้มตาเช็ดรองเท้าให้โดยที่ผมไม่ได้ร้องขอ ผมตีหน้าเบื่อ ๆ พลางมองดูสิ่งของในกระจาดของแกเป็นการฆ่าเวลา ในนั้นมีพวงมาลัยสองสามอันซึ่งคงขายไม่หมด ข้าง ๆ มีกระป๋องนมขึ้นสนิมที่ใส่เงินไว้ราว ๆ สองสามร้อยบาท
ห่างออกไปเล็กน้อย ผมบังเอิญเหลือบเห็นเด็กวัยรุ่นคนหนึ่งยืนคาบบุหรี่อยู่หลังป้ายรถเมล์มองมายังกระป๋องนมที่ใส่เงินของยายเฒ่าตาเป็นมัน ปากพ่นควันสีเทาลอยเป็นวงขึ้นไปในอากาศ บุหรี่ของเขายัดไส้หรือเปล่าผมไม่รู้ ไม่อยากรู้เท่าไหร่
ขาโจ๋รายนั้นย่องมาทางด้านหลังพร้อมกับยิ้มนอบ ๆ ให้ผมที่เอียงคอมองอยู่ แววตาราวกับจะวอนขออะไรบางอย่าง ดู ๆ ไปแล้วก็เหมือนเด็กขี้ยาตามแหล่งเสื่อมโทรมทั่วไป หัวจรดเท้าไม่มีเครื่องหมายของความเป็นคนดีเปล่งประกายออกมาสักอย่าง มีแต่เพียงรังสีมืด ๆ หม่น ๆ กับท่าทางหม่น ๆ มืด ๆ
และก่อนที่จะได้คิดอะไรต่อ เด็กขี้ยาคนนั้นก็ก้มลงล้วงเงินในกระป๋องของยายและวิ่งหายไปในฝูงชนหน้าตาเฉย ผู้คนมากมายมองเห็นพฤติกรรมไร้ยางอายนั้นเช่นกัน แต่ไม่มีใครสนอกสนใจอะไรมากนัก ส่วนใหญ่เพียงแค่ชะเง้อมองตามไปพอเป็นพิธีก็จบแล้วจบกัน ผมเองก็ไม่ได้คิดจะสนใจตั้งแต่แรกอยู่แล้วไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ผมแค่มาทำงานของผมให้เสร็จเท่านั้น ส่วนยายแกเองก็ยังเช็ดรองเท้าอยู่อย่างเก่า แกจะรู้ไหมว่าตอนนี้เงินในกระป๋องหายไปหมดแล้ว
เมื่อรถเมล์คันที่รออยู่แล่นมาจอดแทบเท้า ผมก็ชักเท้าก้าวขึ้นไปโดยไม่สนใจว่าหลังจากนั้นหญิงชราจะทำหน้าอย่างไรเมื่อรู้เงินในกระป๋องหายไป ไม่ได้คิดเรื่องนี้ต่อเสียด้วยซ้ำ เพราะเงินจำนวนนั้นจะสำคัญขนาดไหนสำหรับแกก็ไม่ใช่ธุระของผมอยู่ดี
จากคุณ :
จาตุรนต์รัศมี
- [
6 ต.ค. 49 03:49:38
]