CafeTech-ExchangePantip MarketChatPantownBlogGangTorakhongGameRoom


    เรื่องเล่าวันนั้น

    หน้าต่างกระจกผืนใหญ่ ถ่ายทอดวิวบนชั้น 8 ของห้องพักผมได้เป็นอย่างดี
    เศษละอองหิมะยังมีให้เห็นเล็กน้อย หลังจากที่กระหน่ำ โปรยจากท้องฟ้าในคืนวานก่อนวันขอบคุณพระเจ้า
    วันนี้เป็นวันที่อเมริกันมีกิจกรรมทำอย่างมากมายกับครอบครัว
    ในขณะที่นักศึกษาไทยไกลถิ่นอย่างผมรู้สึกเหงาเป็นพิเศษ
    โรงอาหารในมหาวิทยาลัยอาจจะปิด รวมทั้งร้านรวงอีกหลายๆ แห่งในเมือง

    ผมสามารถบอกได้ถึงความหนาวเหน็บข้างนอก
    แต่ฮีตเตอร์ในห้องนี้ทำให้ผมร้อนจนใส่กางเกงขาสั้นนอน
    เจ็ดโมงเช้า แต่ความมืดคลื้มยังปกคลุมท้องฟ้ามหานครชิคาโกอยู่อย่างนั้น
    ผมกดรีโมตทีวีคู่ชีพ เพื่อดูข่าวเหมือนเช่นทุกวัน
    ทีวี คือ เพื่อนที่สนิทกับผมมากที่สุดในดินแดนอันแสนเหงาแห่งนี้
    อาหารเช้าผมเป็นกาแฟแค่แก้วเดียว เพียงพอ...

    “ กริ๊ง...กริ๊ง...กริ๊ง...” เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น
    “ ฮัลโหล...”
    “แม่ เหรอ... ที่บ้านเป็นไงบ้าง ? ”
    “ว่าจะออกไปหาอะไรกินข้างนอกครับ... วันขอบคุณพระเจ้า...ดูท่าในมหาวิทยาลัยจะไม่มีอะไรกิน”
    “อากาศที่เมืองไทยเป็นไงบ้าง?”
    “อิจฉาจัง”
    “ไม่เอา...ห้ามถามเรื่องเรียนอีก บอกหลายครั้งแล้วนะแม่...”
    “แม่ไม่เข้าใจ...วิทยานิพนธ์เสร็จก็คือจบ...”
    “ก็ยังบอกไม่ได้ว่าจะเสร็จเมื่อไร...”
    “ไม่พูดแล้ว ผมออกไปหาอะไรกินข้างนอกดีกว่า...” ผมรีบวางหูโทรศัพท์ ทั้งที่อยากจะพูดคุยอะไรอีกหลายอย่าง

    ความวิตกกังวลเข้ามาเสริมความรู้สึกเหงา ทำให้ความโดดเดี่ยวชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ
    ผมใส่เสื้อกันหนาวตัวใหญ่ ผ้าพันคอ หมวกไหมพรมปิดหู ถุงมือ รองเท้าบู้ต
    มีตาเพียงสองข้างและบางส่วนของใบหน้าที่อนุญาตให้สัมผัสความเย็นอันยะเยือก
    อากาศหลังหิมะตก ถือว่ากำลังดีสำหรับคนแถวนี้
    รอยรองเท้าของผมบนหิมะ เป็นรอยแรกๆ ในเวลาเช้าของวันหยุดเช่นนี้
    ช่างเงียบเหลือเกิน...

    ท้องฟ้ายังดูมืดคลื้ม ผมเข้าใจอย่างดีว่าทำไมฝรั่งจึงโหยหาแสงแดดกันนัก
    คงอีกนานหลายเดือนกว่าที่ ชิคาโก จะเห็นแสงแดดจัดๆ อีกครั้ง
    ผมยืนกอดอกแน่น เพื่อเก็บความร้อนในร่างกายให้มากที่สุด
    บนชานชาลารถไฟแห่งนี้มีเพียงผมและหญิงชราแก่ๆคนหนึ่ง

    คนแก่ที่นี่เป็นบุคคลที่น่าสงสารที่สุด
    อากาศในหนาวเหน็บ กับภาพหญิงชรา เข็นรถเข็นออกมาหาซื้อของในวันขอบคุณพระเจ้า ...เจ็บปวด
    เธอ... มีโลกส่วนตัวของเธอ...ซึ่งอาจจะเงียบเหงา...แต่เธอคงจะชินชา...
    ความแตกต่างทางสังคมไทยและอเมริกามีความชัดเจนหลายเรื่อง...
    วัฒนธรรมที่ห้อมล้อมด้วยญาติพี่น้อง ซ้ำเติมให้ผมรู้สึกเหงามากกว่าเธอหลายเท่านัก

    ในโบกี้รถไฟ มีคนไม่ถึงห้าคน
    เสียงล้อเหล็กกระทบรางเก่าๆ เป็นสัญลักษณ์อย่างหนึ่งของเมืองแห่งนี้
    รางรถไฟที่นี่มีอายุอานามเป็นร้อยปี
    แม้ว่าตัวโบกี้จะเปลี่ยน แต่รางเก่ายังคงต้องรองรับต่อไป ตามหน้าที่ของมัน

    ผมลงรถไฟที่ย่านชอปปิ้งบนถนนมิชิแกน
    ทุกครั้งที่เหงา ผมจะมาที่นี่ เพื่อมาดูฝูงผู้คน และสมมุติว่าพวกเขาคือ เพื่อนของผม
    แต่เช้าวันนี้ ผู้คนบางตากว่าทุกครั้ง ร้านค้าเปิดไม่กี่ร้าน
    ผมไม่แน่ใจว่าจะหาอาหารกลางวันกินได้หรือเปล่า
    ตามธรรมเนียมแล้ว วันพรุ่งนี้ จะเป็นวันที่ชาวอเมริกันชนออกมาจับจ่ายซื้อของมากที่สุด ในแต่ละปี
    ช่างแตกต่าง จากวันนี้เหลือเกิน...

    อาหารฟาสฟูด สัญลักษณ์ของอเมริกาเป็นอาหารฉลองวันขอบคุณพระเจ้า ของผม อย่างโดดเดี่ยว
    ในขณะที่บ้านอีกหลายหลังกำลังเตรียมไก่งวง และอื่นๆ
    ผมใช้เวลานานกว่าจะเคยชินกับอาหารฟาสฟูดอย่างนี้
    แต่จิตใจยังโหยหา ความอุดมสมบูรณ์ของอาหารในเมืองไทยเสมอมา
    โชคดีที่ ชิคาโก มีร้านอาหารไทย ราคาย่อมเยา สำหรับนักศึกษาไทยจนๆ อย่างผม
    และร้านอาหารไทยเหล่านั้นก็เป็นอีกสถานที่หนึ่ง ที่ช่วยปลดเปลื้องความเหงาของผม
    อย่างน้อยก็มีการทักทาย
    “สวัสดีค่ะ”
    “ทานอะไรดีค๊ะ ?”
    แค่นี้ก็รู้สึกดีขึ้นมามากโข

    ผมเดินไปเรื่อยๆ เหมือนไร้จุดหมาย
    ในตัวเมือง เกือบจะหาสิ่งมีชีวิตไม่ได้
    ความเงียบปกคลุมเมือง ควบคู่ไปกับความหนาวเหน็บ
    พิพิธภัณฑ์ศิลปะที่เคยมีคนพลุกพล่าน ตอนนี้มีเพียงรูปปั้นสิงโตคู่หน้าบันได ที่ดูมีชีวิตมากที่สุด

    ลมจากทะเลสาปมิชิแกนพัดแรงขึ้นทุกขณะ
    ความเหน็บหนาวก็รุนแรงขึ้น
    พยากรณ์อากาศเป็นสิ่งที่ทุกคนต้องสนใจ ในทุกๆ วันของการดำรงชีพที่นี่
    วันนี้ช่วงบ่ายจะมีพายุหิมะอีกรอบ

    ผมเดินกลับไปขึ้นรถไฟ บนชานชาลาเก่าๆ ที่กลางเมือง
    เพื่อนร่วมโบกี้ผมขากลับ มีแค่สามคน
    ไออุ่นๆ ของฮีตเตอร์ ในรถไฟ ช่วยบรรเทาความหนาวเย็นที่ใบหน้าไปได้
    ผมดูทิวทัศน์ที่เดิมๆ ผ่านนอกหน้าต่าง
    จากตึกสูงแน่นหนา เป็นย่านที่พักอาศัย ...เหมือนเดิม...
    ต้นไม้ช่วงนี้ ไม่มีใบให้เห็น ต้องรอช่วงฤดูใบไม้ผลิอีกรอบ

    ผมอยู่ที่นี่มาเกือบเจ็ดปีแล้ว
    ความตื่นเต้นอย่างปีแรกหายไปอย่างสิ้นเชิง
    ผมเห็นนักเรียนไทยมาเรียนและจบกลับไปหลายรุ่น
    ทุกครั้งที่ไปส่งคนกลับเมืองไทยหลังจากเรียนจบ ผมมักจะนอนไม่หลับ
    จิตมันล่องลอยไปอย่างฟุ้งซ่าน
    อยากกลับบ้าน...
    ผมกลับเมืองไทยครั้งสุดท้ายเมื่อ 3 ปีที่แล้ว

    “แม่ครับ...”
    “ผมจะกลับเมืองไทยแล้วนะ...”
    “...ยังครับ...ยังไม่จบ...แต่มันไม่ไหวแล้ว...”
    “....”
    “คุยกับพ่อก็ได้...”
    น้ำตาลูกผู้ชายอย่างผมไหลอาบแก้มอย่างไม่อาย
    ผมร้องไห้โฮ ใส่โทรศัพท์ อย่างไม่มีอะไรจะเก็บไว้อีกแล้ว
    “ผมไม่รู้ว่า เมื่อไรเขาจะให้ผมจบ...ขึ้นอยู่กับอาจารย์ที่ปรึกษาวิทยานิพนธ์ครับ...”
    “...ทำไมไม่มีใครเข้าใจผม...”
    “...ผมอยากทำอะไร ให้ชีวิตมากกว่านี้ครับ...จริงๆนะ...ครับ”
    “...”
    “...”
    “...”

    หกเดือนต่อมา

    ผมก้าวลงจากเครื่องสายการบินไทย ซึ่งลงแตะสนามบินดอนเมืองในเวลาเกือบเที่ยงคืน
    กระเป๋าใบใหญ่ 2 ใบของผม เป็นใบเดียวกับที่ผมใช้เมื่อเดินทางไปเรียนครั้งแรก เกือบแปดปีที่แล้ว
    และมันก็ออกมาจากสายพาน เป็นชิ้นท้ายๆ
    ใจผมเต้นไม่เป็นจังหวะ เพราะความตื่นเต้น กับการกลับเมืองไทยครั้งนี้
    ผมมองหาคนที่รู้จัก ทันทีที่โผล่ออกมาเห็นฝูงชนกลุ่มใหญ่

    “พี่...ทางนี้...ทางนี้...” เสียงน้องสาวผมนั่นเอง

    ผมก้าวเท้าเร็วขึ้นไปตามเสียง ไม่รู้น้ำตาออกมาตอนไหน มันปริ่มๆ อยู่ที่เบ้าตา
    ผมเห็นพ่อและแม่ ยืนยิ้มอยู่ข้างๆ
    ในที่สุดแม่ผมร้องไห้จนได้

    “ยินดีด้วยท่าน ดร.อารักษ์ พ่อบอกแล้วไงแกต้องทำได้...”
    “ครับ...อย่างที่พ่อบอก...ผมเป็นข้าของแผ่นดิน...รับใช้ในหลวง...รับทุน...เอาเงินภาษีราษฎรไปเรียน...จะยอมแพ้ง่ายๆ ไม่ได้...”
    “ขอบคุณครับ...ที่ช่วยสั่งสอนผมเสมอมา...”

    จากคุณ : อารักษ์ - [ 9 ต.ค. 49 16:48:57 A:10.132.1.7 X:202.12.97.120 ]

 
 


ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | PanTown.com | BlogGang.com