CafeTech-ExchangePantip MarketChatPantownBlogGangTorakhongGameRoom


    นาทีสุดท้าย

    นาทีสุดท้าย

                      โครม !!!!
                      แสงขาวจ้าพุ่งสู่นัยน์ตาเบิกกว้าง  ภาพเบื้องหน้ากลายเป็นสีขาวเวิ้งว้างในบัดดล  รถยนต์คันน้อยโดนแรงกระแทกจากยักษ์ใหญ่แปดล้อ  กระโปรงหน้ายุบบี้ กระจกแตกกระจายพุ่งไปทั่วทุกทิศทาง

                       ความเจ็บปวด
                      เข็มขัดนิรภัยไม่อาจต้านทานความรุนแรงแห่งการพุ่งชน  ตัวผมถูกเหวี่ยงกระแทกพวงมาลัย  เจ็บแปลบจากชายโครงขึ้นสู่สมอง

                      ดวงตาไม่อาจปรับโฟกัสได้อีก  แสงสีขาวแผ่กว้างราวกับจะกลืนกินทุกสรรพสิ่ง
                      วินาทีก่อนสติสัมปชัญญะทั้งมวลดับลง
                      ผมคิดถึงร่างแน่นิ่งข้างกาย
                      ผมคิดถึง ... เธอ ...

    ++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

                      ในวันอาทิตย์กลางฤดูหนาว... ผมเดินอย่างไร้จุดหมายเลาะเลียบไปตามชายฝั่งทะเล  สายลมเย็นเฉียบเสียดแทงทุกอณูของผิวกาย   คลื่นอ่อนเบาสาดกระทบเท้าเปล้าเป็นระลอก เนิ่นช้า...

                      ผมจะเดินไปไหน
                      ไม่มี ... ชีวิตของผมไร้จุดหมาย  ไร้ความสำคัญ

                      ไกลออกไปบนชั้น 6 ของโรงแรมชื่อดังชายทะเล  ทุกคนกำลังมีความสุข  ต่างวุ่นวายอยู่กับการเตรียมงานแต่งงาน
                      ของผู้หญิงที่ผมแอบรักมาตลอด 3 ปี
                      กับพี่ชายที่ผมบูชาเสมือนบิดา

                      ดวงตาของผมร้อนผ่าวและแห้งแสบขณะกล่าวยินดีกับคนทั้งสอง  ผมต้องตัดใจจากเธอ แม้ว่าจะต้องเจ็บปวดทรมานเพียงใดก็ตาม

                      เส้นขอบฟ้าปรากฏเลือนรางที่โพ้นทะเลไกลแสนไกล  หากยังอยู่ในเมืองผมคงไม่มีโอกาสได้เห็น  ตึกระฟ้ามากมายบดบังความงามแท้จริงที่ไม่ต้องอาศัยแสงสังเคราะห์จากหลอดไฟฟ้า  ความฉ่ำเย็นจากเครื่องปรับอากาศ หรือ สันที่ถูกสร้างขึ้นด้วยมือมนุษย์

                      แพขนตาของผมเปียกชื้นด้วยหยดน้ำ  ภาพความงามธรรมชาติพร่าเลือน
                      ผมค้นหาอะไรจากชีวิตนี้
                      ร่างกายของผมราวกับเป็นแค่ภาชนะที่ว่างเปล่า  ภายใต้หัวกะโหลกมีเพียงความกลวงโบ๋   ผมหาสิ่งที่ผมสูญเสีย  หาสิ่งที่ผมเรียกว่า ...
                      ความรัก...

                      แล้วผมก็ได้พบเธอ

                      ร่างบอบบางเหม่อมองผืนน้ำสีน้ำเงินครามขณะมือป้ายปาดพู่กันไปบนผืนผ้าใบอย่างชำนาญ  ผมสั้นนิ่มสลวยล้อมรอบดวงหน้าขาวนวลทำให้เธอดูคล้ายหนุ่มน้อยร่างเล็ก  หากแต่ความอ่อนหวานของดวงตาคู่โตตรึงความสนใจของผมในพริบตา
                      รอยยิ้มน้อยๆ ผุดขึ้นตรงริมฝีปาก แสดงว่าเธอไม่รังเกียจที่มีคนแปลกหน้ามาหยุดดุผลงาน
                     
                      เป็นเรื่องน่าแปลกไม่น้อยอยู่แล้วที่หญิงสาวตัวคนเดียวมายืนวาดภาพอยู่ริมทะเลในวันที่อากาศหนาวเย็นอย่างนี้  แต่ภาพบนผืนผ้าใบยิ่งทำให้ผมประหลาดใจยิ่งขึ้น
                      เวลานี้แม้ดวงตะวันจะไม่ลอยสูงเหนือขอบฟ้า   แต่ทั่วบริเวณก็ยังคงมีแสงสว่าง  ทว่าท้องทะเลที่หญิงสาวบรรจงวาดนั้น กลับเป็นทะเลยามราตรี  จันทร์เพ็ญทอแสงนวลเย็นตา  กระทบผืนน้ำและเกลียวคลื่นเป็นประกายสีเงินอ่อนจาง   ลิบๆ ออกไปทิวเขาสลับซับซ้อนอยู่ท่ามกลางความมืด  ดาวประกายพฤกษ์เจิดจรัสงดงามราวกับจะส่องแสงออกมาจริงๆ

                      ผมอดทึ่งในฝีมือของหญิงสาวผู้นี้ไม่ได้  ดวงตาดำขลับอ่อนโยนยังคงทอดมองท้องทะเลสีคราม
                      “คุณเป็นจิตรกร”  ผมบังเกิดความรู้สึกประหลาดอยากสนทนากับเธอ  ความโศกเศร้าคล้ายจะหายไปกับสายลมและเกลียวคลื่นชั่วขณะ

                      เธอมองผมเต็มตาเป็นครั้งแรก  รอยยิ้มสดใสแทนคำตอบ
                      “ผมดูงานศิลป์ไม่ค่อยเป็น  แต่ภาพของคุณสวยจริงๆ”  

                      “ฉันชอบทะเลในเวลากลางคืนค่ะ”
                      “ผมไม่ค่อยชอบความมืดเท่าไหร่น่ะครับ   ผมว่าเวลามีแสงสว่างสวยกว่า”
                      “ค่ะ”  ดวงหน้าขาวเนียนระบายด้วยรอยยิ้มจางๆ  “ฉันชอบกลางคืนค่ะ  ชอบแสงจันทร์ แสงดาว  ความมืดเป็นที่ชื่นชอบของอาชญากร  ความมืดปกปิดความผิด แต่... แสงสว่างสวยงามที่สุดเมื่ออยู่ในความมืดไม่ใช่เหรอคะ  แล้วห้วงอวกาศแห่งความมืดนี่ก็ห่อหุ้มโลกของเราเอาไว้  ทำให้โลกยังคงดำรงอยู่”

                      ผมแทบไม่รู้สึกตัวเลยว่ามองเธออยู่นานแค่ไหน  ใครจะเชื่อว่าผู้หญิงตัวเล็กๆ คนนี้ช่างมีความคิดอ่อนไหวลึกซึ้งจนน่าแปลกใจ

                      “คุณอยู่แถวนี้เหรอครับ”  ผมถูกกระตุ้นด้วยความปรารถนาอยากรู้จัก
                      “ฉันพักที่โรงแรมค่ะ  เพื่อนของฉันมางานแต่งงานพรุ่งนี้”
               
                      ผมกล้ำกลืนความปวดร้าวที่พุ่งปลาบขึ้นมาในอก   ไม่มีคำถามจากเธอ  มีเพียงสายตาอ่อนโยนที่เหลือบมองผมเป็นระยะขณะบรรจงลงสีบนผืนผ้าใบ
                     
                      “ให้ผมดูคุณวาดได้ไหม”
                      เธอยิ้มตอบรับ  ผมมองเธอทำงานเงียบๆ  ชั่วโมงแล้วชั่วโมงเล่า... มือน้อยๆ ยังคงเคลื่อนไหวไม่ได้หยุด  จนแสงสุดท้ายลับหายไปจากทิวเขา  เหลือเพียงผมและเธอยืนอยู่ในแสงไฟลำเล็กๆ จากเสาไฟกลมริมฝั่ง

                      “คุณไม่กลัวผมเหรอ”
                      “ทำไมต้องกลัวล่ะคะ”
                      “คุณและผมเป็นคนแปลกหน้ากัน  แม้แต่ชื่อก็ไม่รู้จัก”
                      “ฉันรู้จักคุณนะคะ  เมื่อฉันมองคุณ  ฉันก็รู้จักสิ่งที่ฉันคุ้นเคยมาตลอดชีวิต... ความโดดเดี่ยว...”

                      ความอดกลั้นทั้งมวลพังทลาย  ผมร้องไห้  กับเธอ ... กับผู้หญิงที่ผมไม่รู้จักแม้แต่ชื่อ  ความรัก ความผิดหวัง  ความเจ็บปวดทุกข์ทนพรั่งพรูออกจากปากของผมอย่างไม่อายใครอีกแล้ว   ผมร้องไห้ ... ความอ่อนแอที่เก็บไว้  ความลับที่ไม่เคยบอกใคร  ผมบอกเธอหมดทุกสิ่ง

                      มือน้อยแบบบางแตะใต้ดวงตาของผม  สีหน้าของเธอมั่นคง  ริมฝีปากเผยอคล้ายจะยิ้มแต่เธอกระซิบเป็นบทเพลงแผ่วเบา...

                                     ...ค่ำคืนที่เหน็บหนาวกับความเงียบเหงากำลังผ่านมา
                                     รู้ว่าเธออ่อนล้าและเหนื่อยกับรักที่เธอเฝ้าคอย
                                     เหมือนทุกอย่างวันนี้อาจทำให้รักนั้นดูเลื่อนลอย
                                     เหมือนเป็นสิ่งเล็กน้อยไม่อาจจะหวังอะไร ...
                     
                      เพลงเก่าเพลงนั้นถ่ายทอดจากเธอสู่หัวใจของผม  เธอไม่ได้ร้องไพเราะเหมือนนักร้องอาชีพ  ทว่าความรู้สึกที่แปลเป็นเสียงเพลงนั้นจับใจ

                                     ...ฉันอยากบอกกับเธอว่าค่ำคืนนี้กำลังผ่านไป
                                     ทิ้งบางสิ่งที่ร้ายรอวันสดใสที่จะเข้ามา
                                     ขอให้เก็บความฝันและลืมสิ่งนั้นให้ไกลลับตา
                                     เมื่อเธอเหนื่อยอ่อนล้าจะอยู่ตรงนี้เพื่อเป็นเพื่อนเธอ ...

                      ผมกุมมือของเธอไว้  “คุณจะอยู่เป็นเพื่อนผมเหรอ  คนที่คุณไม่รู้จัก”
                      ฉันจะบอกชื่อกับคุณ  แล้วคุณก็บอกชื่อคุณกับฉัน  ทีนี้เราก็รู้จักกันแล้วนะคะ...”

    ++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

                      ผมกระพริบตาถี่  แสงสว่างสดใสปลุกให้รู้สึกตัว  ความเจ็บปวดทั่วร่างกายราวกับเป็นแค่ความฝัน  ผมปรับสายตาให้รับภาพตรงหน้า แล้วผมก็ได้เห็น...

                      ผมไม่ได้นอนอยู่บนเตียงในโรงพยาบาลอย่างที่เข้าใจ  เหนือศีรษะ เมฆขาวลอยอ้อยอิ่งอยู่บนฟ้าสีฟ้าสด   สายลมอุ่นสบายพัดผ่านอย่างแผ่วเบา  มือที่กำเข้าช้าๆ แตะถูกใบหญ้าอ่อนนุ่ม   ผมเอียงคอ  นี่ผมกำลังนอนอยู่ในทุ่งหญ้าผสานทุ่งดอกไม้นานาพันธุ์กว้างใหญ่เหมือนท้องทะเล

                      ผมลุกขึ้นยืนมองรอบตัว  นี่คือสวรรค์งั้นหรือ  ผมตายแล้วใช่ไหม
                      “ยังหรอกท่าน  ที่นี่เป็นเพียงปากประตูสู่วรรค์เท่านั้น”

                      ผมหันมองตามเสียงพูด  ชายที่มายืนอยู่ข้างหลังตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้สวมชุดขาวทั้งชุด  รัศมีสีทองจางๆ แผ่ออกมาจากร่างงามสง่า
                      “ผมขอถามอะไรงี่เง่าหน่อยได้ไหมครับ  คือ... ผมตายแล้วเหรอเนี่ย”
                      เสียงหัวเราะของนายทวารมีกังวานไพเราะ  “ใช่แล้วท่าน ... เรามีหน้าที่นำทางท่านข้ามผ่านประตูสวรรค์”

                      โอ้โห!  ผมได้ขึ้นสวรรค์ด้วย  “แล้ว... แล้วคู่หมั้นของผมล่ะครับ”
                      “คู่หมั้นของท่านบาดเจ็บสาหัส  แต่ยังมีชีวิตอยู่”  

                      ผมนิ่ง  เธอได้รับบาดเจ็บสาหัส ผู้หญิงตัวเล็กๆ แค่นั้นจะทนได้สักแค่ไหนหนอ  เธอจะเจ็บมากไหม  แล้ว...เธอจะทนรับการสูญเสียคนรักได้เพียงไรกัน ...

                      “ท่านอย่ามีห่วงเลย  มิฉะนั้นท่านจะไม่หลุดพ้นไปสู่ภพใด”  นายทวารพูดอย่างรู้ใจ  “ ท่านตามเรามาเถิด  แม้จะเร็วไปสักนิดแต่ท่านก็ได้ขึ้นสวรรค์อยู่ดี”
                      มีบางอย่างในคำพูดนั้นฟังแปร่ง “ท่านหมายความว่าอย่าไรที่ว่าเร็วไป”

                      นายทวารอ้ำอึ้ง ดวงตาอ่อนโยนมีแววสลดลง “เราเสียใจ... ตลอดชีวิตของท่านบำเพ็ญกุศลกรรมมามาก  ท่านย่อมมีสิทธิสู่สรวงสวรรค์เป็นธรรมดา... เราทำสิ่งที่ไม่ควร  เราผิดพลาดเอง ... แต่ขอให้ท่านรู้ไว้เถิดว่าเราปรารถนาดีต่อท่านอย่างแท้จริง ...”   ผมรู้สึกว่าตาของตัวเองคงจะโตขึ้นสักสองเท่าได้ขณะนายทวารผู้นั้นพยายามชักแม่น้ำทั้งห้า
                      “สรุปง่ายๆ ว่าผมยังไม่ควรตายใช่ไหม”
                      “ไม่หรอกท่าน... อันที่จริง ... เรานำวิญญาณของท่านมาก่อนถึงฆาตแค่ 10 นาทีเท่านั้น  เป็น 10 นาทีที่ท่านจะต้องทรมานมาก  เราไม่ปรารถนาให้ท่านเจ็บปวด”

                      10 นาที งั้นหรือ  10 นาทีที่ผมยังมีเวลาบนโลก  เพียงแค่เวลาสั้นๆ ที่ผมอาจจะ ...
                      “ถ้าท่านเอาผมมาก่อนเวลา  ผมขอเวลา  10  นาทีของผมคืนเถอะ”  ผมตัดสินใจ

    จากคุณ : fallen_angel - [ 13 ต.ค. 49 15:56:30 ]

 
 


ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | PanTown.com | BlogGang.com