CafeTech-ExchangePantip MarketChatPantownBlogGangTorakhongGameRoom


    การแปลงสินทรัพย์เป็นทุนแบบ หุ้นสามัญ

    10
    การแปลงสินทรัพย์เป็นทุนแบบ   หุ้นสามัญ  

    ตั้งแต่พ.ศ.  2540ที่ผ่านมาประเทศไทยประสบปัญหาเกี่ยวกับสภาพคล่องทางการเงิน   ซึ่งเป็นปัญหาใหญ่ในช่วงนั้น   ทำให้ร้านค้าขาดสภาพคล่องทางการเงินแต่สภาพคล่องทางหนี้สินกลับไม่ฝืดตามกันไป    ทั้งนี้ก็เพราะวิธีการคิดดอกเบี้ยในช่วงเวลานั้นยังคงดำเนินไปตามกาลเวลา   ดังนั้นจึงทำให้เกิดภาวะดอกเบี้ยล้นระบบจนกระทั้งเกิด  NPL  ล้นระบบ  
    จากเหตุการณ์ดังกล่าวนี้เองทำให้รัฐบาลให้ความสำคัญกับการแปลงสินทรัพย์เป็นทุนเพื่อเพิ่มสภาพคล่องให้ระบบเศรษฐกิจระดับรากหญ้า  
    ตามหลักการแปลงสินทรัพย์เป็นทุน   คือ   ควรจะเป็นการเพิ่มสภาพคล่อง   ปลอดดอกเบี้ย   และ  ปราศจากการยึดทรัพย์  เพราะรากหญ้าเป็นบุคคลหาเช้ากินค่ำรัฐบาลจึงไม่ควรไปยึดทรัพย์เพราะจะเป็นการทุปหม้อข้าวตนเองระหว่างรัฐกับประชาชน    รัฐบาลควรรอเงินปันผลจ่ายจากประชาชนจึงจะถูกต้อง    ตามชื่อนโยบาย  แปลงสินทรัพย์เป็นทุน
       แต่วิธีการแปลงสินทรัพย์เป็นทุนที่รัฐบาลนำมาใช้โดยอ้างว่าช่วยเหลือ   คือ   การนำสินทรัพย์ที่ไม่มีหลักประกันที่ชัดเจน   เช่น   ห้องเช่า   แผงลอย   ทรัพย์สินทางปัญญา   นำมาขอกู้กับสถาบันการเงิน(หน้าเลือด)    โดยผู้กู้จะต้องจ่ายดอกเบี้ยและเงินต้นและมีโอกาสถูกยึดทรัพย์    
     ฉะนั้นจากความหมายของนิยามความคิดที่รัฐบาลตัดสินใจนำมาใช้กับประชาชน   จึงควรเรียกว่า   การแปลงสินทรัพย์ให้ประชาชนเป็นหนี้    หรือ   การแปลงสินทรัพย์ประชาชนให้กลายเป็นทุนของธนาคารโดยสุจริตและชอบธรรม  
    จากนโยบายนี้แสดงให้เห็นแล้วว่า   รัฐบาล  กับ  ธนาคาร   รวมกันป้อนผลประโยชน์ให้แก่กัน   โดยอาศัยชื่อนโยบายที่ดูเหมือนดีบังหน้า    ฉากหลังก็ดูดเลือดรากหญ้าโดยการ   คิดดอกเบี้ย  และ  ยึดทรัพย์   ซึ่งขัดต่อความต้องการของคนจน   และ  ขัดต่อชื่อนโยบาย    ที่ว่าด้วย   ศาสตร์การแปลงสินทรัพย์เป็นทุนอย่างแท้จริง  
    ในส่วนวิธีการที่รัฐบาลทำมันขัดต่อชื่อ   การแปลงสินทรัพย์เป็นทุน   เช่นไร     ผมจะอธิบายความหมายของทุน  เช่น   ทุนแบบหุ้นสามัญ   แท้ที่จริงเป็นเช่นไร     ให้ท่านผู้อ่านเข้าใจ   ก่อนที่จะได้เข้าใจต่อไปว่า  การแปลงสินทรัพย์เป็นทุนทำเช่นไร  ดังนี้




    11
    1.   นิยาม     หุ้นสามัญ    ( common  stock )
    ลักษณะเฉพาะ
    หุ้นดังกล่าวออกโดยบริษัทเอกชนที่ต้องการระดมเงินทุนจากประชาชน   เพื่อให้ประชาชนได้เข้าไปมีส่วนร่วมเป็นเจ้าของกิจการในธุรกิจนั้น  ๆ  โดยตรง   เจ้าของกิจการมีสิทธิในการลงคะแนนเสียงร่วมตัดสินใจในปัญหาสำคัญในที่ประชุมผู้ถือหุ้น   อาทิ   การเพิ่มทุน   การจ่ายเงินปันผล   การครอบงำกิจการ   โดยจะมีสิทธิออกเสียงตามสัดส่วนของหุ้นที่ถืออยู่


          ผลตอบแทนที่ได้รับ
    1. เงินปันผลกำไรในธุรกิจ   การจ่ายเงินปันผลถูกกำหนดให้มีรูปแบบแตกต่างกันออกไป  และไม่มีการบังคับให้ต้องจ่ายเงินปันผลนอกจากความตั้งใจที่จะจ่าย   คณะกรรมการจะจัดการประชุมเพื่อประเมินฐานะทางการเงินของบริษัทและความต้องการใช้เงินในอนาคต   บริษัทต้องมีนโยบายการจ่ายเงินปันผลก่อน  แล้วถึงกำหนดวันจ่ายที่แน่นอน
    2. กำไรจาการขายหุ้น   จะไม่แน่นอนและไม่สามารถคาดการณ์ได้
    3. สิทธิการจองหุ้นใหม่   ในกรณีที่มีการเพิ่มทุนจดทะเบียนและซื้อหุ้นใหม่ในราคาพิเศษ   มีโอกาสทำกำไร

          ความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น
    ผลตอบแทนจากหุ้นสามัญไม่มีความแน่นอน   อาจสูง  ต่ำ   หรือขาดทุน    ขึ้นอยู่กับผลของการดำเนินงานของบริษัทนั้น  ๆ  และ  ปัจจัยอื่น  ๆ  อีกหลายปัจจัย   นอกจากนี้หากบริษัทมีปัญหาทางการเงิน  ถึงขั้นล้มละลายหรือจำเป็นต้องเลิกกิจการ  เงินที่ได้จากการขายสินทรัพย์จะต้องจ่ายให้กับเจ้าหนี้   และ ผู้ถือหุ้นที่มีสิทธิ์เหนือกว่าหุ้นสามัญ    ส่วนที่เหลือจึงจะแบ่งให้ผู้ถือหุ้นสามัญเป็นอันดับสุดท้าย   หรือหากกิจการประสบผลขาดทุนผู้ที่ได้รับผลเสียหายคนแรกคือ   ผู้ถือหุ้นสามัญ   ดังนั้น   การลงทุนในหุ้นสามัญจึงมีความเสี่ยงค่อนข้างสูงกว่าการลงทุนในหลักทรัพย์อื่น ๆ  




    12
    2.   หนี้สิน
         ลักษณะเฉพาะ
    ไม่ว่าคุณจะเป็นหนี้แบบไหน  หรือ  กับใคร   ทางการเงินแล้วคุณไม่ต่างอะไรกับ   “ทาส”    เพราะทาส  คือ   คนที่มีหน้าที่ต้องทำงานหนักเพื่อผู้อื่นไปจนตาย   โดยไม่มีสิทธิ์ที่จะเก็บเกี่ยวผลประโยชน์เอาไว้เป็นของตนเอง  
    ข้อสังเกตุ   ทั้ง  ๆ   ที่  รัชการที่  5   ทรงเลิกทาส   มานานแล้วแต่ก็ยังมีคนไม่เข้าใจคำว่า  ทาส  คือ  อะไร  และยินยอมให้เกิดระบบทาส  ขึ้นอย่างชอบธรรม  (ยิ่งคิดยิ่งงง…..!)และได้เปลี่ยนชื่อเรียกทาสให้มันใหม่ว่า  เป็นระบบการเงิน  ระบบการคิดอกเบี้ย   ระบบยึดทรัพย์   และอื่น  ๆ  เช่น  NPL   เป็นต้น
    3.   สินทรัพย์  
          ลักษณะเฉพาะ
    เป็นผลพลอยได้  หรือ  ส่วนต่างจาก   หนี้สิน  ลบ   ทุน    กล่าวคือ   ดอกเบี้ยที่คุณต้องให้เจ้าหนี้    ลบ     เงินปันผลหรือกำไรที่คุณได้รับจากการลงทุน  เช่น   การลงทุนซื้อหุ้นจากบริษัทเอกชนในตลาดหลักทรัพย์   การลงทุนเปิดกิจการใหม่   ถ้าหาก  ดอกเบี้ยเงินกู้  มากกว่า  เงินปันผล หรือ  กำไร   คุณจะถูกกินทุน  เรียกว่า  ขาดทุน  นำไปสู่การยึดทรัพย์  และนำไปสู่ความตายทางเศรษฐกิจ  แต่ถ้า   เงินปันผล   มากกว่า   ดอกเบี้ยเงินกู้    เรียกว่า    กำไร   หรือ  สินทรัพย์
    เมื่อผู้อ่านพอเข้าใจลักษณะเฉพาะของคำศัพท์ต่างๆ  แล้วก็จะสามารถทำความเข้าใจ  ความหมายของ   การแปลงสินทรัพย์เป็นทุนแบบหุ้นสามัญได้ไม่ยาก    โดยรูปแบบของการแปลงมีดังนี้
    1.    ความหมายของการแปลงสินทรัพย์เป็นทุนแบบหุ้นสามัญ    หมายถึง    การที่สถาบันการเงินหรือนักลงทุนซื้อหุ้นสามัญของบริษัทเอกชนในตลาดหลักทรัพย์     ตามหลัก    สถาบันการเงินหรือนักลงทุนจะได้รับเงินปันผล   หรือ  ไม่ขึ้นอยู่กับผลงานการดำเนินการของบริษัท  และนโยบายที่กำหนดจะจ่ายหรือไม่มีการจ่ายเงินปันผลในปีนั้น ๆ  ถ้าหากสถาบันการเงินหรือนักลงทุนไม่พอใจผลการดำเนินงานหรือนโยบายที่ไม่ต้องการจ่ายเงินปันผลในปีนั้น  ๆ   ก็สามารถขายหุ้นสามัญที่ถืออยู่ในมือตามช่วงเวลาและระดับราคาที่ต้องการ




    13
    การแปลงสินทรัพย์เป็นทุนในระดับรากหญ้าก็มีแนวทางที่สามารถทำได้เช่นเดียวกันกับการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์    กล่าวคือ   เมื่อเจ้าของสินทรัพย์มีความต้องการแปลงสินทรัพย์ของตนให้เป็นทุน   หรือเรียกว่า   ให้มีผู้ร่วมทุน   โดยตนยินดีแบ่งกำไรที่ได้ให้แก่ผู้ร่วมทุน   ซึ่งผู้ร่วมทุนในที่นี้ได้แก่   สถาบันการเงิน   รับบทเป็น   นักลงทุน    ส่วนเจ้าของสินทรัพย์   รับบทเสมือนเป็น   บริษัทเอกชนในตลาดหลักทรัพย์     ดังนั้นเมื่อสถาบันการเงินได้ตกลงอนุมัติวงเงินตามความสมดุลระหว่างมูลค่าสินทรัพย์   กับ   วงเงินขอแปลงสินทรัพย์เป็นทุน    ก็เปรียบเสมือนได้ซื้อหุ้นสามัญ  

    หลักเกณฑ์สำคัญของการแปลงสินทรัพย์เป็นทุนแบบหุ้นสามัญ  คือ  

    1. ผู้กู้จะเป็นผู้กำหนดจ่ายเงินปันผลแก่ผู้ถือหุ้น   และสามารถกำหนดว่าปีใดหรือเดือนใดที่จะไม่จ่ายเงินปันผล  
    2.  หากผู้ถือหุ้นอยากขายหุ้นสามารถทำได้ตามหลัก   โดยผู้ถือหุ้นรายต่อไปจะเป็นผู้รับโอน   สินทรัพย์   ไว้ครอบครองแต่ต้องแจ้งให้  ผู้กู้ทราบทุกครั้งที่เกิดการขายหุ้นให้บุคคลอื่น
    3. หากกิจการของผู้กู้ล้มละลาย  ธนาคารต้องเข้ามาร่วมรับผิดชอบปัญหาของกิจการ  เช่น  ให้คำแนะนำให้การช่วยเหลือ   จะไปยึดทรัพย์ไม่ได้เพราะเป็นเพียงผู้ถือหุ้น   ฉะนั้นธนาคารจึงมีหน้าที่คอยรับเงินปันผล   แม้ว่าอาจจะน้อยแต่ถ้าไม่พอใจก็สามารถขายหุ้นในราคาขาดทุน   ให้แก่บุคคลอื่นที่สนใจได้
    4. ผู้ถือหุ้นสามารถร่วมประชุมกับเจ้าของกิจการมีสิทธิในการลงคะแนนเสียงร่วมตัดสินใจในปัญหาสำคัญในที่ประชุมผู้ถือหุ้น   อาทิ   การเพิ่มทุน   การจ่ายเงินปันผล   การครอบงำกิจการ   โดยจะมีสิทธิออกเสียงตามสัดส่วนของหุ้นที่ถืออยู่

    เมื่อไม่มีการยึดทรัพย์  และ  ไม่มีคำว่า   การเจรจาประนอมหนี้หาข้อยุติไม่ได้    สังคมจะลดความตึงเคลียดมากกว่าทุกวันนี้   สังคมจะมีภาวะเบียดเบียนเฟ้อน้อยกว่าทุกวันนี้




    14
    ผมขอยกตัวอย่าง การบริหารเงินกองทุนในหมู่บ้านแห่งหนึ่งที่เรี่ยรายเงินของคนในชุมชน     เป็นองค์กรรับฝากและปล่อยกู้เงินในรูปแบบการแปลงสินทรัพย์เป็นทุน  โดยที่สมาชิกทุกคนสามารถนำเงินมาฝากไว้และสามารถกู้เงินโดยนำสินทรัพย์มาค้ำประกัน    จากนั้นสามาชิกที่กู้เงินจากกองทุนหมู่บ้านจะต้องสั่งซื้อสินค้าผ่านทางกองทุน   เพื่อให้กองทุนเป็นผู้จัดซื้อและจัดส่งสินค้าในราคาตลาดให้แก่สมาชิกคนนั้น  ๆ   โดยที่กองทุนจะได้รับกำไรจากการขายสินค้า   ซึ่งกำไรนี้จะนำมาแบ่งปันให้แก่ผู้นำเงินมาฝากอีกทอดหนึ่ง    
    โดยที่ผู้กู้ไม่จำเป็นต้องสั่งซื้อสินค้าทุกชิ้นผ่านกองทุนก็ได้    หากสินค้าชิ้นนั้น  ๆ   มีความจำเป็นที่จะต้องใช้อย่างเร่งด่วน    ก็สามารถซื้อสินค้าจากร้านสะดวกซื้ออื่น ๆ   ได้  เช่น   ร้านโชห่วย  หรือ  จากห้างสรรพสินค้า     เนื่องจากหลักการแปลงสินทรัพย์เป็นทุนแบบหุ้นสามัญนั้น   มีหลักอยู่ว่าผู้กู้หรือลูกหนี้   เป็นผู้กำหนดจ่ายหรือไม่จ่ายเงินปันผลก็ได้     ดังนั้นจึงไม่จำเป็นที่จะต้องสั่งซื้อสินค้าผ่านกองทุน   หรือ   จะเรียกว่า    การไม่สั่งซื้อสินค้าผ่านกองทุนไม่ใช่ความผิด    แต่เป็นการประกาศบอกกองทุนว่า    เดือนนี้หรือปีนี้     ผู้กู้ไม่ต้องการจ่ายเงินปันผลนั่นเอง    ซึ่งการไม่จ่ายเงินปันผล  หรือ  จ่ายเงินปันผลน้อย   ไม่ได้เป็นการละเมิดหลักการนั่นเอง    
    หากกองทุนไม่พอใจพฤติกรรมของลูกหนี้   ซึ่งจ่ายเงินปันผลน้อยมากหรืออาจไม่จ่ายเงินปันผลเลย   เพราะไม่ทำการสั่งซื้อสินค้าผ่านกองทุน  หรือ   สั่งซื้อสินค้าผ่านกองทุนน้อยมาก    กองทุนจึงจำเป็นจะต้องจำหน่ายสินทรัพย์ของลูกหนี้ให้แก่บุคคลอื่นที่สนใจ(แต่สิทธิในกรรมสิทธิ์ของสินทรัพย์ยังคงเป็นของลูกหนี้อยู่)   สามาชิกที่สนใจสินทรัพย์ดังกล่าวเพื่อนำไปใช้   เช่น   ตู้เย็น    ทีวี     กีต้า    กระมัง    ขัน    มอเตอร์ไซ   และอื่น  ๆ   หรือเพื่อหวังคำสั่งซื้อสินค้าจากลูกหนี้ (เงินปันผล)   ก็สามารถขอซื้อสินทรัพย์ดังกล่าวจากกองทุนไว้ในครอบครองได้   ซึ่งจะเป็นการช่วยให้สมาชิกไม่ต้องซื้อสินค้าใหม่มาใช้   และยังได้เงินปันผลอีกด้วย    
    หลักการนี้คล้าย   ๆ กับหลักการของธนาคารพานิชย์ของไทยในปัจจุบัน    แต่แตกต่างกันตรงที่วิธีการคิดดอกเบี้ยเงินกู้และการจ่ายดอกเบี้ยเงินฝาก    ตรงที่กองทุนจะไม่กำหนดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้และดอกเบี้ยเงินฝาก   ทั้งนี้ก็เพื่อให้ผู้กู้ซึ่งยากจนไม่ถูกขูดรีดเงินซึ่งหามาได้อย่างยากลำบาก   สรุปแล้วหลักการที่เรียกว่าดอกเบี้ย   ผมคิดว่า มันเป็นหลักการที่มีไว้เพื่อฆาตรกรรมผู้บริสุทธิ์ที่ไม่มีความสามารถจะทำให้เจ้าหนี้รวยอย่างชอบธรรม

    จากคุณ : นักฆ่าเงินเฟ้อ - [ 30 ต.ค. 49 14:35:03 ]

 
 


ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | PanTown.com | BlogGang.com