..
มีคนเคยบอกว่าผมตาสวย จำเพาะในยามที่มีหยาดน้ำเอ่อคลอ เขาชอบมองผมเวลาร้องไห้ เฝ้าดูหยดน้ำเล็ก ๆ เกาะพราวตามขนตา
แต่ผมไม่ชอบร้องไห้ โดยเฉพาะเมื่ออยู่ต่อหน้าผู้อื่น มันแสดงถึงความอ่อนแอ มันบอกว่าผมแพ้ แม้ผมจะไม่รู้แน่ว่าใครแพ้ คนร้องไห้หรือคนที่เจ็บปวดไปด้วย
ผมเป็นโรคชนิดหนึ่ง บางคนก็บอกว่าเกิดจากจิตใจ บ้างก็ว่ามีสาเหตุจากสารเคมีในต่อมใต้สมอง มีบางกระแสบอกว่าสำออยไปเอง ผมอาจจะเกรงข้อท้ายที่สุดจึงไม่หาวิธีบำบัดสักที
คุณรู้มั้ย ลานนาออกอัลบั้มใหม่ มิวสิควิดีโอแรกของเธอคือเพลงจ้องตากับความเหงา เธอบอกว่า ความเหงาอาจทำให้เราเจ็บปวด แต่ถ้าเราอยู่กับมันได้ เราจะชินไปเอง ผมกำลังรออยู่ รอวันที่ผมชิน
ผมว่าตัวผมเองมีชีวิตที่เพียบพร้อม ครอบครัวอบอุ่น ฐานะปานกลาง อยากได้อะไรที่สมฐานะ ก็มักจะได้ดังใจ ผมมีคนที่รักผมมากมาย ไม่ว่าจะเป็นญาติพี่น้องหรือแม้กระทั่งคนที่ไม่เคยแม้แต่จะพบหน้ากันมาก่อน
ผมควรจะมีความสุข ผมมีข้าวกิน ผมมีที่หลับนอน ผมไม่ต้องทำงาน ผมไม่ต้องเรียนหนังสือ เหมือนกับวัชพืชที่คลี่ใบออกรับแสงทุกเช้า ก่อนหลุบเร้นเรียวใบในตอนเย็น
มีเพลงอีกเพลงที่ผมชอบ คือเพลงแพ้กลางคืน เรื่องราวในเนื้อเพลงบอกเล่าถึงชายหนุ่มคนหนึ่ง ถ้าตามที่ผมตีความ เขากลัวช่วงเวลาก่อนที่จะข่มตาหลับลงได้ ช่วงเวลานั้นล่ะที่ทรมาน เขาคงพลิกตัวด้วยความกระสับกระส่ายบนที่นอน ความคิดของเขาวิ่งพล่าน แต่สะท้อนไปมาในกรงของความเหงาและเดียวดาย
ในมิวสิควิดีโอ เขาวิ่งตามแสงไฟประดิษฐ์ แสงสีขาวนวลจากหลอดฟลูออเรสเซนส์ อาจจะมีความหมายเชิงสัญลักษณ์ อาจจะหมายถึงที่ยึดเหนี่ยว อะไรก็ได้ที่มาให้เขาได้ยึดถือไว้ชั่วคราว จนกว่ามันจะหลุดลอยไปและปล่อยให้เขาเคว้งอยู่ในวัฏฏะเดิม ๆ อีกครั้ง
ผมกลัวช่วงเวลาเดียวกับเขา ผมจะทำให้ตัวเองเหนื่อยที่สุด อยู่ดึกที่สุด ทำอะไรก็ได้ ขอให้ได้ทำ ขอให้ไม่อยู่ว่างพอที่จะคิดเรื่องราวร้อยแปด เพื่อยามที่หัวถึงหมอนจะได้สลบไสลไปในทันที วิธีของผมอาจจะแตกต่าง แต่คงมีความหมายเดียวกัน ..ผมกำลังหนีกลางคืน
ผมยังเล่าไม่จบ โรคที่ผมเป็นส่งผลต่อชีวิตผมมากเหลือเกิน มันทำให้ผมหวั่นไหวง่าย เรื่องราวเพียงนิดที่กระทบ ก็จะทำให้อารมณ์ผมดิ่งลงในทันที มันทำให้ผมสำออย ทำตัวโง่เง่า ตอบสนองในทิศตรงกันข้าม หรือที่เรียกว่าประชดชีวิต สร้างเปลือกด้านชาขึ้นมาห่อหุ้มความอ่อนไหว
ยังไม่พอ มันบั่นทอนกำลังใจของผม เรื่องทั่ว ๆ ไป กิจวัตรประจำวันที่ชาวบ้านเขาทำกันได้ ผมต้องใช้ความพยายามและแรงจูงใจเป็นสี่ห้าเท่า แต่ละครั้งที่ผมจะต้องทำอะไรที่เรียกว่าความรับผิดชอบ ผมต้องสร้างความรู้สึกเป็นสุขที่สุดให้กับตนเอง สร้างความรู้สึกกำชัยเพื่อปลุกปลอบใจ เหมือนเป็นรางวัลที่จ่ายให้ล่วงหน้า ไม่อย่างนั้นผมก็คงนั่งกัดเล็บ มองเหม่อออกไปนอกหน้าต่าง หรือร้องไห้เป็นบ้าเป็นหลังโดยไม่มีเหตุอันควร
หลายคนว่าผมจิตใจอ่อนแอ ผมไม่อาจต้านทานความเย้ายวนที่จะนำผมไปสู่ความสุขชั่วคราว เหมือนขาดแคลนมันอย่างรุนแรง เสพย์ความสุขที่อาจจะกระชากผมลงไปสู่ความมืดดำของหล่มทุกข์มากขึ้นเรื่อย ๆ
มันเจ็บปวด เหมือนนักทำนายที่มองเห็นอนาคต รู้ว่าจะเกิดความวิบัติขึ้นในกาลข้างหน้า แต่ทำอะไรไม่ได้ นอกจากซุกตัวรอตรงมุมห้องให้ความฉิบหายเข้ากลืนกินสิ้นวิญญาณ
ผมเคยอยู่คนเดียวในโลกแห่งจินตนาการ อยู่ในความฝันประหลาดมหัศจรรย์อันตัดขาดจากโลกภายนอก ผมมีความสุข..อย่างน้อยก็คิดว่ามีความสุข แต่แล้วก็มีใครดึงผมออกมา เขาสะกิดผม เขาบอกว่าผมอยู่กับมันไม่ได้ตลอดไปหรอก ผมต้องเติบโต เรียนรู้ที่จะอยู่กับคนอื่นในโลกแห่งความเป็นจริง
ครั้งแรกมันเป็นแค่รูบนกำแพง ผมเห็นแต่ดวงตาเขาที่มองลอดจากรูนั้นเข้ามา เขาพยายามทุกวิถีทาง แต่รูนั้นไม่ได้ขยายกว้างขึ้นเลยแม้แต่น้อย ผมกลัว..กลัวจนตัวสั่น กลัวว่าเขาจะเข้ามาพบผมจริง ๆ พอ ๆ กับที่กลัวว่าเขาจะล้มเลิกความพยายาม
แต่แล้วผมก็ยื่นมือออกไป กำแพงเหมือนก่อจากมายา มันผุกร่อนเป็นผงดินให้ผมได้สัมผัสอากาศของโลกภายนอกเป็นครั้งแรก
ผมนึกเสียใจทุกครั้ง เมื่อหวนนึกถึงวินาทีนั้น ถ้าผมแข็งใจอีกนิด ผมคงมีความสุขชั่วนิรันดร์กาล..ดุจเทพนิยาย
ใครคนนั้นที่ทำร้ายผม บอกว่าชอบเวลาผมร้องไห้ เป็นคนเดียวกับที่ทำลายกำแพง เป็นคนที่ผมหลงใหล และอยากจะเกลียดแต่กลับชังไม่ลง
ผมออกเดินทาง ตามหาบางสิ่ง หรือใครบางคนที่มีเงาของเขา มันเป็นการผจญภัยที่ปวดร้าว มีเรื่องราวมากมายระหว่างทาง บาดลึกจนเหวอะหวะ มันสะกิดแผลเก่าที่ไม่อาจเยียวยา หรือสร้างรอยใหม่อันระทมทุกข์ยิ่งกว่าเดิม ผมก็ไม่แน่ใจ
คนที่มีเงาของเขาผ่านมาถึงสองคน ผมรีบคว้าเอาไว้เหมือนที่ใครบางคนชอบวิ่งตามแสงไฟ ผมบอกเขาทั้งคู่ว่ามันคือความรัก ไม่มีใครรู้ว่าเขาเป็นตัวแทนของสิ่งที่ผมไม่มีวันได้รับ คนแรกเป็นคนน่ารัก เขาดีต่อผมมาก เคยบอกว่ารักผม แต่สุดท้ายก็จากไป
ผมตีโพยตีพายจนเกินจริง ผมอาจจะรู้สึกเจ็บใจมากกว่าเสียใจ คงเพราะเงาไม่อาจทำร้ายได้เจ็บเท่าตัวจริง เริ่มต้นด้วยความเหงาก็ต้องจบด้วยความเหงา
ถ้าจะให้เล่าเป็นนิทาน ก็มีคนอยู่สองคน ทั้งคู่รู้สึกว่าตนไม่มีใคร อยู่มาวันหนึ่งก็มาเจอกัน พวกเขาสัญญาว่าจะมีความสุขจนกว่าฟ้าดินสิ้นสลาย แต่แล้วคนหนึ่งก็สะดุ้งตื่นจากความฝัน กลับไปยังสถานที่ของเขาในความเป็นจริง อีกคนร้องไห้เพราะยังงมงายในฝันอยู่ เขาคนนั้นเดินทางต่อไป เดินทางเพื่อเสาะหาสิ่งที่เป็นเพียงมายา
นิทานควรจะจบแต่เพียงแค่นี้ถ้าเขาไม่เจอคนที่สอง คนที่สองนี้มีเงาของคนที่อยู่ในใจเขาเสมอมาเช่นกัน เขาโกหกอีกครั้ง เขาบอกคนที่สองว่าเขาตกหลุมรัก และเรียกร้องความรักตอบแทนให้เท่าเทียม เขาเหงา อยากมีใครสักคน อยากผูกมัดใครไว้ข้างตัวด้วยคำว่ารักทั้ง ๆ ที่เขายังไม่เข้าใจคำคำนั้นอย่างถ่องแท้
ตัวเอกในเรื่องน่าชัง แต่ก็น่าสงสาร เขาไม่เคยรู้ว่าเขาต้องการอะไร หรืออาจจะเป็นที่ตัวผู้เล่านิทานเองก็ยังตัดสินใจไม่ได้ว่าจะให้ตัวเอกในเรื่องต้องการอะไร เขาอาจจะต้องออกเดินทางใหม่ซ้ำแล้วซ้ำเล่า หรือพบจุดจบ ณ สถานที่ใดที่หนึ่งในโลกแห่งจินตนาการ
ถ้าเป็นนิทาน ผมสามารถเขียนให้เขาพบที่พัก อาจจะเป็นโคนต้นไม้ ในลำธาร ริมป่าละเมาะ หรือกระทั่งก้นเหวสูงชัน ใครจะบอกได้เล่าว่าคนเขียนจะไม่มีปรารถนาหนึ่งเดียวกับตัวเอก เขาต้องการพักผ่อน
แต่เขาก็กลัว..นี่คือความจริง เขากลัวที่จะดำเนินชีวิตต่อไปพอ ๆ กับที่กลัวการสิ้นสุด ยังเหลือสิ่งที่เขาอยากทำ คนที่อยากพบ คำพูดที่อยากบอก
แต่ปรารถนาของมนุษย์ไม่มีวันสิ้นสุด เขารู้ตัวดีว่าไม่มีวันที่ความต้องการของตนจะหมดสิ้น อย่างไรก็ดี..หากว่าโอกาสผ่านมา เขาสาบานไว้ว่าจะไม่ปล่อยมันไป เพื่อจะได้ไม่ต้องหนีกลางคืนอีกต่อไป และได้พักผ่อน..ชั่วนิรันดร
แด่...คนที่สองในเรื่อง
หวังว่าจะได้รับการอภัย
จาก...คนแพ้กลางคืน
..
จากคุณ :
ปฤษณะ
- [
31 ต.ค. 49 15:53:13
]