ทักทายกันก่อน
สวัสดีค่ะคราวนี้ช้าอีกแล้วอะ บังเอิญวันก่อนมณีนาคาได้มีโอกาสคุยกับเพื่อนค่ะ เพื่อนเข้ามาอ่านเจอเรื่องสั้นของมณีนาคาพบว่าชื่อตัวละครในเรื่องสั้นที่ใช้นั้นเป็นชื่อจริงของทุกคนเลยค่ะ (แบบว่าลืมตัวน่ะ เขียนไปแล้วก็เรียกชื่อใช้ชื่อไปด้วยความเคยชิน) ก็เลยมีการคุยกันว่าขอให้เปลี่ยนชื่อของตัวละครน่าจะดีกว่าเพราะไม่รู้ว่าคนที่รู้จักกันอีกกี่คนที่เข้ามาอ่านบ้างเกรงว่าเดี๋ยวจะมีปัญหากัน มณีนาคาเองก็คิดว่าจริงและเห็นด้วยอย่างที่เพื่อนแนะนำมา ฉะนั้นตั้งแต่ตอนนี้ไปมณีนาคาขอใช้ชื่อตัวละครเป็นนามสมมติทั้งหมดนะคะ (อายจริง ๆ เกิดเรื่องแบบนี้ได้)
สำหรับเรื่องสั้นตอนนี้ยาวอีกแล้ว แต่ถึงแม้ว่าเนื้อเรื่องจะไม่หวือหวาขนาดตอนที่แล้วแต่ก็จะมีเรื่องราวแปลก ๆ เกิดขึ้นกันอย่างต่อเนื่องค่ะและเกือบจะตลอดเวลาของการดำเนินเรื่องเชียวล่ะค่ะ
คุณ : โก้ นั่นสิคะอยู่ ๆ ก็ต้องมากลายเป็นแม่หมอจำเป็นซะอย่างงั้น แหะ...แหะ... อันที่จริงน่ะกลัวนะ แต่โกรธมากกว่าค่ะ ขอบคุณค่ะที่เป็นห่วงเรื่องสุขภาพ แต่ก็ดีขึ้นมาบ้างแล้วค่ะ ตอนนี้เหลือเรื่องแผลที่ยังไม่หายสนิทกับอาการปวดท้องเป็นครั้งคราวบ้างนิดหน่อยค่ะ
คุณ : นัทตี้ ขอบคุณค่ะสำหรับความห่วงใยที่มีให้ ว่าแต่เจอผีเด็กนี่ยังน่าจะดีกว่าเจอผีผู้ใหญ่มั้งคะ แต่ไม่เจอซะก็จะดีกว่ามาก ๆ เลยค่ะ
คุณ : ร่มไม้ชายน้ำ ขอบคุณค่ะที่ส่งผ่านความห่วงใยมาให้ น่ารักจัง
คุณ : Kwan ขอบคุณสำหรับความห่วงใยนะคะ ตอนที่แล้วว่าโหดแล้วนะแต่ที่มณีนาคเจอน่ากลัวกว่านั้นก็ยังมีนะคะ
คุณ : safety_sake เป็นเรื่องธรรมดาไปแล้วค่ะยิ่งกลัวก็ยิ่งอยากรู้ยิ่งชอบฟังชอบอ่านประสบการณ์ขนหัวลุกจากคนอื่น ๆ เหมือนมณีนาคาเลยแถมขึ้นมาตรงที่ยิ่งกลัวก็ยิ่งเจอด้วยนี่สิ มันแย่ตรงนี้ค่ะ
คุณ : สัมผัสรักในใจเรา น่ากลัวค่ะถ้าเป็นตอนอยู่ในเหตุการณ์นะ แต่ถ้ามันผ่านมาแล้วบางทีมันก็กลายเป็นเรื่องขำ ๆ ไปได้เหมือนกันค่ะ ขอบคุณมากค่ะสำหรับความห่วงใยที่มีมาให้
คุณ : w_panda เป็นเรื่องธรรมดาค่ะ เพราะเทพถึงจะสูงกว่ามนุษย์แต่ก็ยังไม่ใช่ผู้หลุดพ้นจากกิเลสเรื่องเศร้าหมอง และเทพก็มีทั้งดีและไม่ดี ขึ้นอยู่กับอำนาจฝ่ายใดจะเหนือกว่ากัน
คุณ : ดาว..กลางวัน ขอบคุณค่ะ แหม...ความจริงมณีนาคาก็อยากจะเผ่นป่าราบเหมือนที่คุณดาว...กลางวันว่ามาจะแย่อยู่แล้วล่ะค่ะ แต่มันทำไม่ได้ติดเพราะมันเป็นเรื่องของคนใกล้ตัวแล้วแถมยังถูกขอให้เป็นผู้ช่วยเหลือด้วยนี่สิคะ เลยเผ่นไม่ได้
คุณ : ขุนเขา (ขุนเขาแมกไม้) ขอบคุณมากค่ะ ถ้าเป็นคงอื่นคงไม่รอดจริง ๆ อย่างที่คุณคิดล่ะค่ะ
คุณ : Scottie ขอบคุณมาก ๆ ค่ะ
คุณ : นางฟ้าสอบตก ขอบคุณสำหรับความห่วงใยที่มีมาให้ค่ะ แต่ไม่สบายคราวนี้แทบจะไม่ได้เจออะไรเลยค่ะ ถึงเจอก็เอามาเป็นประเด็นเปิดเรื่องสั้นให้เล่าสู่กันฟังไม่ได้เพราะไม่มีแก่นไม่มีสาระพอค่ะ ถ้าจะให้เขียนเล่าว่าเจออะไรยังไงที่ไหนก็คงเขียนได้ไม่ถึงหนึ่งหน้ากระดาษมั้งคะ กับบางเรื่องก็เป็นเรื่องที่แค่สงสัยเฉย ๆ แต่ไม่มีการพิสูจน์ค่ะ ผ่านแล้วผ่านเลยไปไม่ได้ล้วงลึกหรือติดตามต่อ
คุณ : ชานมผสมโกโก้ (พายุสีเงิน) ดีใจค่ะที่แวะเข้ามาอ่าน
คุณ : นู๋ชิ (HaiyeenA) ไม่ต้องแอบมาอ่านก็ได้ค่ะ มาอ่านได้เลยทุกเวลาไม่ว่ากันอยู่แล้ว และก็ขอบคุณมากนะคะสำหรับความห่วงใยที่มีให้
คุณ : แมวน้อยสีน้ำตาล ขอบคุณค่ะสำหรับน้ำใจและความห่วงใยที่มีให้ เป็นธรรมดาค่ะเรื่องของกิเลส เพราะเทพไม่ใช่ผู้หลุดพ้นแต่บารมีนั้นสูงกว่ามนุษย์ ส่วนเรื่องของแก้วเนี่ยจะเขียนเฉพาะตอนที่เจอเหตุการณ์ด้วยกันเท่านั้นแหละค่ะ (แต่ต้องเปลี่ยนชื่อตัวละครแล้วก็ลองเดาเอาเองนะคะว่าใครเป็นใคร) แต่เจ้านี่ก็ทำเอาพี่เกือบสิ้นชื่อไปเหมือนกันค่ะโชคดีที่มีคนมาช่วยทัน อดใจรอก่อนแล้วกันนะแล้วจะเขียนมาให้อ่านคงอีกไม่กี่ตอนแล้วค่ะ
ทักทายกันครบทุกคนแล้วนะคะ เรามาเข้าเรื่องกันเลยดีกว่า
+++++++++++++++++++++++++++++++++ โอม วิญญาณจากป่าช้าจงตื่นขึ้นมา +++++++++++++++++++
ตอน เข้าค่าย (2)
คราวนี้เป็นเรื่องเล่าขอการพบเห็นวิญญาณหรือสิ่งเร้นลับจากการไปเข้าค่ายเป็นครั้งที่ 2 แล้วนะคะ ผิดแต่เพียงแค่สถานที่เท่านั้น เนื่องมาจากการเข้าค่ายครั้งนี้เป็นการเข้าค่ายลูกเสือ เนตรนารี วิสามัญ (รุ่นใหญ่) ในสมัยที่เรียนพาณิชย์ ซึ่งทั้งที่จริงแล้วนี่ไม่ใช่ครั้งแรกของการไปเข้าค่ายในสถานที่แห่งนี้ด้วยซ้ำไป แต่ครั้งแรกที่ไปคงเป็นเพราะฉันได้เข้าพิธีบวงสรวงเจ้าที่ด้วยมั้งจึงไม่ได้เจอเหตุการณ์แปลก ๆ อะไรอย่างที่คนอื่น ๆ เขาเจอกัน และฉันเองก็เชื่อว่าคงจะมีใครเจอดีเข้าให้จริง ๆ เพราะตอนทำพิธีบวงสรวงนั้นฉันสัมผัสได้ถึงแรงอาถรรพ์ของสถานที่ก็รู้ทันทีแหละว่าที่แรงจริง แหม...ทั้งที่แอบดีใจไว้ลึก ๆ แล้วเชียวนะว่ามาที่นี่แล้วไม่เจออะไร ครั้งแรกไม่เจอครั้งต่อ ๆ ไปก็ต้องไม่เจอ แต่ที่ไหนได้ล่ะผิดคาดแฮะ
จำได้ว่าก่อนวันเข้าค่ายหนึ่งวันด้วยความที่อยากจะมาค้างคืนกับเพื่อน ๆ บ้างก็เลยลงทุนโกหกพ่อกับแม่ว่าต้องไปล่วงหน้าก่อนวันนึงเพื่อไปจัดเตรียมสถานที่และจัดการเรื่องฐานผจญภัย เพราะปกติพ่อกับแม่ไม่เคยปล่อยให้ไปค้างอ้างแรมที่บ้านเพื่อนเลยซักครั้ง ไม่ว่าจะไปไหนยังไงดึกแค่ไหนก็ต้องกลับบ้าน นี่ขนาดโตจนเรียนอยู่ชั้น ปวส. 1 แล้วนะ
เมื่อหลอกพ่อแม่ได้สำเร็จฉันก็จัดแจงขนสัมภาระต่าง ๆ ออกจากบ้าน เดินทางไปสบทบกับพรรคพวกที่บ้านของกิ่งซึ่งได้ย้ายเข้ามาอยู่ในสวนไม่ไกลจากวิทยาลัยฯ มากนัก
ทางเข้าบ้านกิ่งเป็นทางเดินคอนกรีตแคบ ๆ เล็ก ๆ มีรถวิ่งเข้าถึงได้แค่จักรยานกับมอเตอร์ไซค์เท่านั้น แล้วแถมเวลารถสวนกันต้องคอยหลบหลีกกันให้ดี ๆ เรียกว่าไม่ชำนาญจริง ๆ ก็คงได้ลงข้างท้องร่องแน่ ๆ
ส่วนใหญ่เวลาที่ฉันเข้าไปหากิ่งที่บ้านก็มักจะเดินเข้าไปมากกว่าที่จะนั่งรถเข้าไป (ก็มันหวาดเสียวนี่นา) ครั้งนี้ก็เหมือนกันฉันยังคงเลือกที่จะเดินเข้าไปเหมือนทุก ๆ ครั้ง และระหว่างทางที่เดินเข้าไปก็ดูเหมือนว่าจะเป็นบรรยากาศเดิม ๆ เหมือนเช่นทุก ๆ ครั้ง
บรรยากาศที่เต็มไปด้วยพลังแอบแฝงมากมายภายในสวนตลอดระยะทางของการเดินทาง มักมีบางอย่างวูบ ๆ วาบ ๆ อยู่รอบ ๆ เหมือนมีสายตาหลายต่อหลายคู่ที่คอยจับตามองฉันอยู่ทุกย่างก้าว แต่คล้าย ๆ ว่าเป็นการแอบมองลอบมองซะมากกว่า และถ้าเดินผ่านเข้าไปใกล้ ๆ พวกก็วิ่งหลบกันกระเจิง หรือไม่วิ่งหนีขึ้นไปหลบบนยอดมะพร้าวยอดตาลโน่นแน่ะ บ้างก็กระโดดหลบเข้าไปที่หลังศาลเก่า ๆ พุ ๆ ลักษณะคล้ายศาลเพียงตาบ้างแหละ มองแล้วก็นึกขำมากกว่านึกกลัวเพราะเริ่มจะชินกับพวกร่างโปร่งใส โปร่งมัวพวกนี้เข้าให้ซะแล้ว ไม่รู้ว่าจะกลัวอะไรกันนักหนาเหมือนกันสินะทั้งที่ความจริงแล้วฉันน่ะน่าจะเป็นฝ่ายที่กลัวพวกเขาเสียมากกว่านะเนี่ย (ที่ว่าชินน่ะก็ชินบรรยากาศแบบนี้แค่ช่วงเวลากลางวัน ๆ เท่านั้นนะ ถ้าช่วงโพล้เพล้จนค่ำมืดแล้วล่ะก็คงจะขำไม่ออก)
หลังจากที่ทุกคนเข้ามากันครบตามนัดหมายแล้วก็พากันขึ้นไปบนบ้านซึ่งจัดไว้สำหรับเป็นตำหนักเทพเพื่อจะขอเฝ้าเทพอัปสร ซึ่งปกติแล้วพวกเรามีโอกาสที่จะได้พบกับเทพอัปสรผ่านร่างของกิ่งอยู่บ่อย ๆ โดยไม่จำเป็นต้องอยู่ที่ตำหนักด้วยซ้ำ แถมตอนนี้แม่ของกิ่งยังเป็นร่างผ่านให้พระศิวะด้วยทำให้มีลูกศิษย์ลูกหาขึ้นตำหนักค่อนข้างมาก เมื่อเพื่อน ๆ ได้พูดคุยสนทนาธรรมกับเทพอัปสรจนเป็นที่พอใจและได้รับพรจากเทพอัปสรกันถ้วนหน้าแล้วก็ลงมาช่วยกันจัดเตรียมหุงหาอาหารมื้อเย็นกันอย่างสนุกสนาน
คืนนั้นฉันยอมรับว่านอนไม่ค่อยหลับเนื่องจากแปลกที่ด้วย แถมยังรู้สึกว่ามีบางอย่างแปลกปลอมมาออกันอยู่หน้ารั้วประตูบ้านกิ่งเยอะแยะมากมาย แม้จะลุกขึ้นมาทำสมาธิก็แล้วแผ่เมตตาก็แล้วนอนทำสมาธิก็แล้วกว่าจะข่มตาลงให้หลับได้ก็พ้นเที่ยงคืนไปแล้ว
ประมาณตีสี่พวกเราก็ทยอยกันตื่นขึ้นมาเพื่อเข้าอาบน้ำเตรียมตัวออกเดินทางไปขึ้นรถยังสถานที่นัดหมาย ขณะที่ฉันแต่งตัวเสร็จแล้วและกำลังสาระวนอยู่กับเส้นผมที่ยังเปียกปอนอยู่นั้น
มีต่อค่ะ
จากคุณ :
มณีนาคา
- [
8 พ.ย. 49 01:05:54
]