Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com | Torakhong.org | GameRoom


    ภาษาอังกฤษวันละคำ สองคำ

    บทที่ 13 ภาษาอังกฤษวันละคำ สองคำ

    A B C D E F G....ภาษาอังกฤษถือเป็นทักษะจำเป็นอีกด้านหนึ่ง
    ที่ควรส่งเสริมให้กับเด็กและเยาวชนชาวไทยรุ่นหลัง
    เห็นได้อย่างชัดเจนที่ปัจจุบัน คอมพิวเตอร์และอินเตอร์เน็ตเข้ามาเป็นสิ่งสำคัญ
    สำหรับการดำรงชีวิตในสังคมไทย เพื่อผันจากการเป็นประเทศกำลังพัฒนา
    ไปสู่การเป็นประเทศที่พัฒนาแล้ว

    ดิฉันเมื่อเข้ามาเรียนในโปรแกรมนี้ ได้พิสูจน์ความคิดแล้วว่า
    ภาษาอังกฤษ ควรได้รับการส่งเสริมอย่างจริงจังจากผู้ใหญ่ของประเทศ
    เมื่อดิฉันมีโอกาสเดินทางไปศึกษาถึงเมืองนอกเมืองนา
    ก็ต้องรีบไขว่คว้า ประสบการณ์ต่างๆ กลับมาให้มากที่สุด
    แล้วดิฉันก็พบว่าระบบการศึกษาของต่างประเทศ แหล่งข้อมูล
    สื่อการเรียนการสอนมีความก้าวล้ำนำสมัย น่าสนใจและง่ายต่อการเรียนรู้
    โดยเฉพาะวิชาวิทยาศาสตร์ เรื่องบางเรื่อง เกิดขึ้นกันระดับโมเลกุล
    ไม่มีทางศึกษาด้วยตาเปล่า ก็ได้เทคโนโลยีนี่แหละค่ะ ที่ช่วยให้เรื่องยากกลับเป็นเรื่องง่ายได้

    แต่ อนิจจัง แหล่งข้อมูลและสื่อต่างๆ เค้าทำขึ้นโดยใช้ภาษาอังกฤษ
    ไอ้เราเห็นก็อยากจะให้เด็กไทยของเราได้รู้ ได้เห็น ได้เรียนแบบนั้นบ้าง
    แต่จะทำอย่างไรดีล่ะ ถ้าให้เด็กนักเรียนของเราไม่รู้ภาษาอังกฤษ

    เห็นไหมคะว่า แรงขับด้านการศึกษา หรือแม้แต่การท่องเที่ยว
    บีบรัดให้ชาวไทยต้องหัด Speak Read Write listen
    (พูด อ่าน เขียน ฟัง) ภาษาอังกฤษมากขึ้น เหตุนี้
    กระบวนการเรียนการสอนในโรงเรียนของไทยจึงเปลี่ยนไป
    เริ่มเน้นด้านภาษาอังกฤษที่สอนโดยครูไทย หรือตอนนี้ในหลายโรงเรียน
    ลงทุนจ้างฝรั่งมาสอนซะเลย ที่เค้าเรียกกันว่าโรงเรียนอินเตอร์นั่นแหละค่ะ

    อย่าว่าแต่กระบวนการเรียนการสอนที่เปลี่ยนไปเลย
    แม้แต่กระบวนการดำรงชีวิตในสังคม ก็มีการปรับปรุง เปลี่ยนแปลง
    เมื่อเดือนแรกๆ ที่ดิฉันกลับถึงเมืองไทย เห็นว่าพี่แท็กซี่
    เดี๋ยวนี้มีม่านบังแดด ติดกระจก กิ๊บเก๋ เขียนไว้ว่า  
    I(รูปหัวใจ) Farang , I can speak English ซะด้วย

    ดิฉันก็ไม่รีรอที่จะบอกแกมสนใจใครรู้ว่า
    “พี่พูดภาษาอังกฤษด้วยเก่งจังค่ะ ไปเรียนที่ไหนมาคะ”
    คุณรู้ไหมคะ พี่แท็กซี่ตอบว่าอย่างไร ...คุณพี่บอกดิฉันว่า
    “โอยน้อง....ให้พี่พูดเองก็ไม่ค่อยได้หรอก รู้แต่ว่าฝรั่งเค้าจะไปไหนก็แค่นั้น...
    ถ้ามันพูดอะไรมาเกินกว่านั้น ก็กดเลย โทรศัพท์มือถือ
    เข้าศูนย์บริการของเครือข่ายเจ้าของค่ายที่ให้ม่านติดกระจกมา
    แล้วจะมีพนักงาน Speak ให้ แค่นี้เอง ไม่ต้องไปรงไปเรียนหรอก”
    แน่ะ เก๋ไก๋ ง่ายจริงแค่ปลายนิ้ว...ดิฉันก็อดจินตนาการไม่ได้ว่า
    ถ้าคุณพี่คนขับเกือบแบ็ตหมดขึ้นมาก็คงขับแท็กซี่หนีฝรั่งกันให้วุ่นวายเลยทีเดียว

    ส่วนเรื่องราวชีวิตครอบครัวของดิฉันและคุณสามีฝรั่ง
    หลังจากการเข้ามาลงหลักปักฐานที่เมืองไทย
    นอกจากจะนำความยุ่งยากให้กับคุณสามีในการฝึกฝนภาษาไทยแล้ว
    ยังนำความมึนงงให้หมู่มวลคนไทยที่อาศัยอยู่รายรอบตัวคุณสามีอีกไม่ใช่น้อย
    ไม่ว่าจะเป็นญาติพี่น้อง เพื่อนครูที่โรงเรียน พนักงานทำความสะอาด
    หรือแม้แต่คนค้าขายของใต้ถุนอพาทเมนท์ ล้วนแต่ต้อง speak English กันเป็นการใหญ่
    ซึ่งก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเป็นเพราะอะไร
    ในตึกที่ดิฉันอยู่ กว่าครึ่งของครัวเรือนชาวสวัสดีเพลสเป็นครอบครัวคนต่างชาติแท้
    หรือคนต่างชาติกับคนไทยทั้งสิ้น มีเพียงไม่กี่ห้องที่เป็นคนไทยแท้ดั้งเดิม
    ดังนั้น ทางเจ้าของต้องเฟ้นหาคนที่พูดภาษาอังกฤษถึงขั้นสื่อสารกันรู้เรื่องได้
    มาประจำอยู่ที่สำนักงานของอพาทเมนท์

    แต่ดูเหมือนเป็นเรื่องยากเกินไปที่จะฝึกหัด
    หรือหาพนักงานทำความสะอาด ช่างซ่อมบำรุง
    และพนักงาน รปภ ที่พูดภาษาอังกฤษได้..
    หลายครั้งทีเดียวที่ พี่เต้ย ช่างซ่อมบำรุง และพี่น้อยพนักงานทำความสะอาด
    โทรขึ้นมาให้ดิฉันช่วยแจ้งความจำนงในการนัดวันซ่อม
    หรือทำความสะอาดกับห้องต่างๆ ที่เป็นชาวต่างชาติในช่วงเวลา
    ที่ไม่มีใครอยู่ประจำในสำนักงานแล้ว
    ด้วยอาจเป็นเพราะดิฉันชอบพูดคุยกับพี่เต้ย และพี่น้อยบ่อยๆ จึงทำให้เราสนิทสนมกัน

    เรื่องราวขำๆ ก็เกิดขึ้นกับชีวิตประจำวันที่ได้เห็นคนไทยรอบๆ ตัวเรา
    หัดพูด หัดเขียนภาษาอังกฤษกันวันละคำ สองคำนั่นแหละค่ะ
    ทั้งนี้อาจเป็นเพราะพี่ดี้ (คุณสามีฝรั่ง) เค้ามีจิตวิญญาณของครูภาษาอังกฤษอย่างเต็มตัว
    แบบว่า เวลาเห็นป้ายภาษาอังกฤษที่เขียนโดยคนไทยทีไร
    จะชอบตรวจแก้ให้ทุกที ก็แหม คนไทยเราน่ะ
    ภาษาอังกฤษไม่ใช่ภาษา ป่าป๊า มาม๊า ของเรานี่คะ
    เขียนไปก็ต้องมีผิดกันบ้าง ดิฉันก็ แก้ตัวแทนทุกที
    แต่บางทีก็อดขำไม่ได้กับมุมมองจากสายตาน้ำข้าวคู่นั้น
    ดิฉันเลยต้องคัดเลือกบางเรื่องราวมาเล่าสู่กันฟังในบทนี้

    เย็นวันหนึ่งเราสองคนกลับจากทำงาน
    ซึ่งปกติ เวลาขึ้นไปบนชั้น 8 ที่เป็นห้องพักของเรา
    ดิฉันกับพี่ดี้จะชอบทอดสายตาออกไปข้างนอกผ่านกระจกของลิฟ
    เพื่อมองดูสายน้ำพุที่พวยพุ่งฉ่ำเย็นตกแต่งอยู่บนบริเวณชั้นสอง
    แต่วันนี้สายตาของเราถูกขัดขวางกลางคันด้วยป้ายกระดาษสีขาว
    ที่ทางสำนักงานนำมาติดบดบังทัศนียภาพ ดิฉันจึงเกิดความสงสัยว่า
    นี่ประกาศอะไร ก็เลยตัดสินใจอ่าน

    ป้ายนั้นมีอักษรภาษาไทยความยาวประมาณ 2 บรรทัด
    เนื่องจากเขียนด้วยตัวใหญ่ ใจความว่า
    “ทางสำนักงานมีบริการ ผักปลอดสารพิษ ขาย สนใจติดต่อได้ที่ชั้น 1”

    ถัดลงมามีการแปลเป็นภาษาอังกฤษอีก 2 บรรทัด
    ซึ่งดิฉันนึกในใจว่า ดีเหมือนกัน ฝรั่งเค้าจะได้เข้าใจ
    เค้าเรียกว่า บริการทุกเชื้อชาติประทับใจ
    รู้ว่าตึกนี้มีแต่ฝรั่งอยู่ ทำป้ายก็ทำทั้งไทยทั้งอังกฤษ
    รอบแรกดิฉันอ่านทั้งไทยทั้งเทศก็ไม่ฉุกคิดอะไร
    แต่เมื่อเห็นคุณสามีควักเอามือถือที่เพิ่งซื้อมาไม่นาน ถ่ายรูปไว้เป็นหลักฐาน
    ก็เริ่มรู้ว่าต้องมีอะไรทะเม่งๆ แน่ๆ
    จึงถาม “Why do you take the picture?” (ถ่ายรูปทำไมอ่ะ?)
    เค้ายิ้มขำๆ แล้วชี้ชวนสอนภาษาอังกฤษยามเย็นให้กับดิฉัน
    “Apartment has free-pesticide vegetable to sale”

    ถ้าอ่านแค่ free-pesticide vegetable ฝรั่งอ่านแล้วจะเข้าใจว่า
    “เป็นผักที่อุดมไปด้วยสารพิษให้คุณฟรีๆ” เหมือนประมาณว่า
    “เอ้า! เร่เข้ามา ทางสำนักงานมีผักที่อุดมสมบูรณ์ไปด้วยสารพิษ
    เอามาแจกกันฟรีๆ ใครคิดว่าค่าเช่ามันแพงเกินไป ก็ลงมานี่
    ติดต่อที่ชั้น 1 กินผักกันให้ตายไปข้าง” อะไรทำนองนั้น

    โถ คุณขา ดิฉันเองอ่านแล้วก็เฉยๆ ไม่รู้หรอกว่ามันผิดหลักไวยกรณ์
    นี่ถ้าไม่มีฝรั่งอยู่ด้วยทั้งวันละก็คงไม่ได้ฉุกคิดอะไร
    คุณสามีบอกดิฉันว่า นี่เธอ ไปบอกที่สำนักงานเค้าสิจะได้แก้ไข
    ดิฉันเองก็จนปัญญา จะไปบอกก็กลัวว่าเค้าจะหาว่า ยุ่งยาก วุ่นวาย
    ถูกไล่ออกจากอพาทเมนท์แล้วจะแย่ เลยปล่อยให้ผ่านเลยไป...
    แต่คุณสามีสิคะ มีหรือจะปล่อยไปง่ายๆ ขึ้นลิฟทีไรก็ถามทุกทีว่าดิฉันไปบอกหรือยัง
    จนในที่สุด...ดิฉันก็ไม่ได้บอก...แต่ทางอพาทเมนท์มาเอาป้ายออกไปเอง
    ไม่รู้ว่าคุณสามีไปแอบบอกเองหรือว่า มันหมดช่วงโปรโมชั่นแล้วก็ไม่สามารถทราบได้

    จริงๆแล้วตั้งแต่อยู่ด้วยกันมา ดิฉันเองก็พัฒนาทักษะด้านภาษาอังกฤษนะคะ
    ฟังได้ พูดได้ มากขึ้น แต่ไอ้ที่แก้ยาก แก้เย็นเห็นจะเป็น general problems
    ที่คุณสามีบอกว่า พบได้ทั่วไปกับเด็ก international คือพวกที่ไม่ได้ใช้ภาษาอังกฤษ
    เป็นภาษาหลัก นั่นคือ ปัญหา “S…sssss” หรือการออกเสียงตัว S
    สำหรับเติมท้ายคำนามเพื่อระบุว่าเป็นสิ่งของจำนวนมาก ที่เรียกว่า พหูพจน์
    คือเวลาพูดประโยค  I hurt my leg ดิฉันจะออกเสียงว่า
    “ไอ เฮิร์ท มาย เลค” (ลืมออกเสียง ซึ..ตบท้าย)

    ซึ่งคุณสามีจะต้องถามกวนๆ ว่า “Which one, Left or Right?”
    เป็นการทำตัวซื่อบื้อซื่อไข่ แหย่เรา ดิฉันจึงต้องแก้ไขด้วยตัวเองโดยการพูดซ้ำอีกทีว่า
    “ไอ เฮิร์ท มาย เลคซึซซซ.....” แบบโอเว่อร์ ๆ ทุกครั้ง
    ไม่รู้เป็นอะไร แก้ไม่หายสักที เคยแอบนั่งฟังเพื่อนๆ คนไทยด้วยกัน
    หลายทีแล้ว มันก็ไม่เคย ซึ...เหมือนกันเลย ไม่ใช่มีแต่เราคนเดียว
    แต่ในทางกลับกัน ฝรั่งทุกคนที่เป็นเพื่อนพี่ดี้ ทำไมมันมี ซึ...กันหมดเลยโดยอัตโนมัติ
    เซ็งจริง ไม่รู้เค้าฝึกกันยังไง ให้มีซึ....ในสัญชาติญาณ

    นอกจากตัว S แล้ว ยังมีการออกเสียงที่แตกต่างกันเห็นจะเป็นตัว V และ Th
    เจ้าตัว V เราคนไทยอ่านว่า “วี” แบบทำปากจู๋ก่อนการฉีกมุมปากออกทั้งสองข้าง
    เพื่อออกเสียง “วี” แต่ฝรั่งเค้าบอกว่าฟังไม่รู้เรื่อง
    ต้องออกเสียงเหมือนมี ฟ ฟัน อยู่ข้างหน้า
    คือเอาฟันหน้าด้านบนมาขบริมฝีปากล่างก่อนออกเสียง วี
    ดังนั้นเสียงที่ออกมาจะเหมือนกับ “ฟวี”

    ส่วนเจ้า Th เนี่ยดูเหมือนจะอาการหนัก
    คือจะต้องเอาปลายลิ้นแตะปลายฟันบนหน้าพร้อมกับริมฝีปากบนก่อน
    ออกเสียง “เธอะ” ให้ออกมา คือประมาณว่า ถ้าไม่เห็นลิ้นก่อนเนี่ย
    จะไม่มีทางเข้าใจว่ากำลังพูดคำว่าอะไร
    อันนี้จริงเลยนะคะ ขอบอก คือตอนไปอยู่ที่นู่น
    พวกเราเป็นเด็กไทยหน้าบาง พูดอะไรออกท่าทางก็ออกมากไม่ได้
    แล้วเป็นไงล่ะคะ ก็ต้องเป็นพวกกะเหรี่ยง พูดอะไรฝรั่งเค้าฟังไม่เข้าใจ
    ในที่สุดต้องยอมหน้าด้านหน้าทนออกสำเนียงภาษาแบบแถมปลายลิ้น
    พวกฝรั่งจึงยอมเข้าใจได้เป็นอย่างดี

    กลับมาที่เรื่องราวที่เกิดขึ้นในบ้านเมืองเราเกี่ยวกับการใช้ภาษาอังกฤษ
    วันนั้นดิฉันกับครอบครัวพาคุณสามี ไปรับประทานกันที่ห้างใกล้บ้าน
    ซึ่งตอนนี้เย็นๆ อากาศดี มีลานเบียร์หน้าห้าง
    ดิฉันจึงชี้ชวนให้คุณสามีดู จริงๆ จะให้เขาดูลานเบียร์
    แต่ก็อดขำไม่ได้ เอาอีกแล้วค่ะ
    ชักมือถือออกมาถ่ายรูปป้ายประกาศใหญ่ยักษ์หน้าห้างเขียนว่า
    I   (รูปหัวใจ)  Thank you  
    ซึ่งอันนี้ดิฉันยืนยันค่ะ ว่าไม่รู้เรื่องจริงๆ ไม่รู้จะอ่านว่าอะไร
    ไม่สามารถทำความเข้าใจได้สำหรับภาษาอังกฤษวันละคำวันนี้

    ไอ้เรื่องถ่ายรูปภาษาอังกฤษวันละคำในเมืองไทยของคุณสามีนั้น
    เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นประจำ เกิดขึ้นบ่อยๆ
    เพราะว่าเดี๋ยวนี้เราจะเห็นคำที่เป็นภาษาอังกฤษเยอะแยะเต็มบ้านเต็มเมือง
    สินค้าต่างๆ ของไทยนั้นจะมีชื่อยี่ห้อ หรือ brand เป็นภาษาอังกฤษ
    ที่เด็ดสุดเลยคงจะเป็น ดิคชันนารี อิเล็คทรอนิคส์ ส่งสำเนียง ออกเสียงให้ฟังได้
    เรารู้จักกันในนามของ “Talking dict”

    พี่ดี้อธิบายให้ดิฉันฟังว่า คำว่า dict นั้น ออกเสียงเหมือนกับ dick
    ซึ่งฝรั่งเค้าเรียกเป็นชื่อเล่นของ น้องจุ๊ดจู๋ ของคุณผู้ชายนั่นแหล่ะค่ะ
    โอมายก็อด! ดังนั้น Talking dict ก็คงแปลความหมายว่า “น้องจุ๊ดจู่ ช่างเจรจา”
    โอโห คิดกันไปได้เนอะคนเราชื่อดีมีตั้งมากมาย ไม่เอามาตั้งกัน..เอ๊ะ...
    หรือว่าไอ้คนคิดมากอย่างเราเนี่ย มันวิปริตนะ เดาไม่ออกจริงๆ

    เรื่องท้ายสุด สุดท้าย เป็นเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้นผ่านไปไม่นานมานี้
    เมื่อคราวที่คุณสามีเค้าป่วย ถึงกับเข้าโรงพยาบาลเลยนะคะ
    แต่พอออกจากโรงพยาบาลแล้วก็ต้องรีบกลับมาสอนตามปกติที่โรงเรียน
    และด้วยความน่ารัก ความเอาใจใส่ของทางโรงเรียน
    พี่ดี้ก็ได้รับบัตรอวยพรพร้อมของขวัญเป็นรังนกสกัดให้หายป่วยเร็วๆ
    ที่ถูกส่งมาจากอาจารย์ใหญ่ของโรงเรียน
    แกให้เป็นตัวแทนของทุกคนในโรงเรียนส่งความปรารถนาดีให้

    แต่ด้วยความที่แกก็อายุมากแล้วและพูดภาษาอังกฤษได้ไม่ค่อยเข้มแข็งมากนัก
    วันนั้นแกเจอพี่ดี้หน้าโรงเรียน แกเดินมากับเลขาพร้อมยิ้มให้อย่างอบอุ่น
    พี่ดี้ก็รีบเข้าไปยกมือไหว้ แล้วกล่าวคำว่า “Thank you for your gift and card”
    อาจารย์ใหญ่แกยิ้มๆ แล้วตอบกลับมาว่า “Oh! Your welcome Arjan Speedy
    .........Happy Birthday!!!”
    พี่ดี้ “….” และคุณเลขา “….” ถึงกับอึ้ง
    พูดไม่ออกบอกไม่ถูก ไม่ได้เตรียมตัวมาเผชิญหน้ากับสถานการณ์แบบนี้
    ต้องทำหน้ายิ้มๆ แล้วเดินจากไป แต่คุณขา กลับมาบ้านด้วยความขำขัน
    นำเรื่องมาเล่าให้ดิฉันฟัง
    แถมบอกอีกว่า ดีนะเนี่ย อาจารย์ใหญ่แกไม่ร้องเพลง Happy Birthday to you ให้
    ไม่งั้นล่ะก้อ ไม่รู้จะทำหน้ายังไงเลย หรือจะร่วมร้องด้วยกับที่หายป่วย
    เหมือนได้เกิดใหม่อีกทีจะดีไหม...

    สุดท้ายเราทั้งคู่ก็ยังไม่ได้ข้อสรุปว่า อาจารย์แกจำผิด
    หรือแกพูดผิดกันแน่ เป็นภาษาอังกฤษวันละคำสองคำ อีกเหตุการณ์ที่ค้างคาใจมาถึงปัจจุบัน
    ...เฮ้อ!! เหนื่อย ...ขอจบภาษาอังกฤษวันละคำสองคำไว้เพียงเท่านี้...สวัสดีค่ะ

    แก้ไขเมื่อ 19 พ.ย. 49 11:32:10

    แก้ไขเมื่อ 18 พ.ย. 49 14:07:48

    แก้ไขเมื่อ 18 พ.ย. 49 14:07:17

    จากคุณ : มิสซิสอาร์โนลด์ - [ 18 พ.ย. 49 14:06:28 ]

 
 


ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com | Torakhong.org | GameRoom