อากาศร้อนมากครับพักนี้
จนรู้สึกว่าตัวเองกำลังจะเพี้ยนชอบกล ฮ่ะๆ
พอดีเจองานเก่าๆๆเลยเอามาปรับปรุงคล้ายร้อน
ดังนั้นท่านที่อยู่ถนนมานานอาจคุ้นๆกับชื่อตัวละคร
ท่านที่ต้องการอ่านแนวเครียดๆกรุณาอย่าอ่านนะครับ
++++++++++++
อรุณรุ่ง
หมู่ตึก
.โต๊ะหิน ...
หญิงวัยกลางคน และ บุรุษหนุ่มอายุ 17 ขวบ
บุรุษหนุ่มหน้าตาสัตย์ซื่อสมถะไร้เดียงสาอย่างยิ่ง กระทั่งบางครั้งถึงกับคล้ายดูโง่งมอย่างยิ่ง ราวกับคนที่เพิ่งคลานออกมาจากครรภ์มารดา ความไร้เดียงสาบางครั้งคลับคล้ายคลับคลาโง่งม แต่ความจริงไม่คล้ายกันทั้งหมดทั้งมวล
หญิงวัยกลางคนใช้สายตาคล้ายมีม่านหมอกบดบัง จับจ้องบุรุษหนุ่มครึ่งค่อนคืนเหมือนสายตาที่มองคนใกล้ตาย
ความจริงลูกชายของนางมิใช่คนใกล้ตาย แต่ก็คล้ายเป็นคนปางตายไปแปดส่วนแล้ว
เนื่องเพราะลูกชายของนางกำลังจะออกจากบ้านเป็นครั้งแรกในชีวิต
ตั้งแต่เกิดมา นางมิเคยปล่อยให้ลูกชายห่างรัศมีเท้าเลย คนที่ไม่เคยออกจากบ้าน ถึงคราจะออกก็นับว่าใกล้เคียงกับคนตายอย่างยิ่ง
"ตุ่งตุ๊ง...(ชื่อลูกชายของนาง) ครั้งนี้เจ้ามิอาจไม่ไปแล้ว"
บุรุษหนุ่มก้มหน้า การออกจากบ้านครั้งแรกในชีวิตกลับเป็นเรื่องที่มิง่ายดายแล้ว ชีวิตที่ผ่านมามันคล้ายกบอยู่ในกะลา ไม่เคยออกผจญโลกเนื่องเพราะมารดาห่วงใยราวไข่ในหิน แต่มิว่าประการใด จะช้าจะเร็ว คนต้องรู้จักก้าวเท้าออกจากบ้าน กระทั่งแมวยังรู้จักออกเที่ยวนอกบ้าน ไหนเลยคนไม่บังอาจออกนอกบ้านได้
"ใช่แล้ว บุตรมิอาจไม่ไป"
มันก้มหน้ากล่าวสีหน้าท่าทางหมกมุ่นจนเคร่งเครียด
หญิงวัยกลางคนถอนใจดังป้าด จ้องมองออกไปไกลแสนไกล ทิวฟ้าแมกไม้สายลมที่มีวิหคโผบินจากรวงรังตัดฟากฟ้าเวิ้งว้าง ยามอรุณรุ่งไฉนกลับสร้างบรรยากาศ ที่ชวนให้หดหู่สะทกสะท้อนใจปานนั้น
"หากมิใช่บิดาเจ้าเจ็บป่วยหนัก หากมิใช่เราต้องอยู่ดูแลบิดาเจ้า หากมิใช่เจ้าเป็นบุตรชายคนเดียว หากมิใช่บ้านเราไม่มีใครอีกแล้ว ประกันว่าครั้งนี้เจ้าไม่ต้องไปแล้ว"
ตุ่งตุ๊งขบกรามกรอด เรื่องราวของมันที่กำลังจะกระทำยิ่งใหญ่หนักหน่วงกดถาโถมจนไหล่แทบโค้งงอ แต่มิว่าอย่างไรมันก็ถูกสอนให้เป็นลูกผู้ชาย ไหนเลยจะหลั่งน้ำตาท้อแท้ได้
"มารดาท่าน ป่านนี้ท่านควรบอกได้แล้วว่าบิดาเป็นโรคอะไร ถึงกับให้ข้าออกเดินทางไปหาตัวยาไกลแสนไกลเยี่ยงนี้"
ม่านตาหญิงกลางคนหม่นสลัวลงเมื่อได้ยินคำถาม มิทราบจะตอบประการใด โรคร้ายบางชนิดเพียงเอ่ยชื่อก็แทบไข้ขึ้นแล้ว โรคร้ายบางประการเพียงนึกถึงหัวใจก็หล่นวูบลงชั่วกัลป์
บุรุษหนุ่มเอ่ยถามอีกอย่างร้อนรน
"ข้าไปครั้งนี้มิทราบว่าจะมีโอกาสกลับมาหรือไม่ กระทั่งเกิดตกตายระหว่างทางก็มิทราบสาเหตุต้นตอ ดังนั้นข้าควรรู้เหตุผลต้นตอ เอ....หรือบิดาเป็นโรคเอดส์"
นางสะดุ้งเฮือก ตวาดอย่างขุ่นเคือง
"ผายลม..โรคชนิดนั้นมีที่ใดกัน มารดาเกิดมายังไม่เคยได้ยินโรคแบบนั้น...บิดาเจ้าเป็นโรคที่แทบไม่มีทางรักษาแล้ว...เขาเป็นโรค..."
เสียงนางกลืนหายไปในลำคอ กล้ำกลืนร้องร่ำไห้
"ท่านรีบบอกเถิด.ข้าเตรียมใจไว้รับฟังแล้ว"
"เขาเป็นโรค..."
"หรือบิดาท่านเป็นโรคผู้หญิง" บุรูษหนุ่มเดา
"ผายลมครั้งที่สอง...บิดาเจ้าเป็นผู้ชาย ไหนเลยจะกลับกลายเป็นอิสตรีได้ เหลวไหล ...โรคผู้หญิงไหนเลยเคยมี...ท่านเป็นโรค..."
"หรือว่าท่านเป็นโรคไข้หวัดนก"
"ผายลมครั้งที่สาม โรคนี้ไหนเคยมีในโลก อย่าได้กล่าวเปะปะเหลวไหล"
"เช่นนั้นท่านควรบอกมา...มิเช่นนั้น ท่านคงผายลมต่อไปอีกหลายพันครั้งมิยอมหยุดหย่อนแน่
"......."
ใบหน้านางบิดเบี้ยวเปลี่่ยนรูป คล้ายเผชิญหน้ากับวิญญาณเจ้าหนี้ก็มิปาน
ในที่สุดนางเค้นเสียงออกมาอย่างลำบากยากเย็นว่า
"บิดาเจ้า .....เป็นโรคสำออย...!!!!!"
"อ๊ากซซซซ...."
ต่อให้เตรียมใจรับฟัง บุรษหนุ่มยังแผดร้องออกมาโหยหวน ปานควายถูกเชือดอย่างแตกตื่นจิตใจแทบโบยบินจากร่าง นกกาแถวนั้นแตกตื่นบินเวียนว่อน กิ่งไม้ใบไม้สบัดไกวไหวเอนราวพายุกรรโชก
ควรทราบว่าโรคสำออยนี้เป็นโรครุนแรงร้ายกาจน่ากลัวยิ่งกว่าโรคติดต่อใดๆ
หากท่านเป็นโรคท้องร่วงอย่างน้อยต้องมีพาหะ หากท่านปวดศีรษะย่อมมีสาเหตุ หากท่านเป็นโรคใดๆย่อมมีที่มาที่ไป แต่โรคสำออยคล้ายหาสาเหตุมิได้ หาต้นตอไม่ได้
เป็นได้ทุกเพศทุกวัยทุกยุคทุกสมัย
เป็นโรคที่ใครรับฟังแล้วแทบอยากปิดหูปิดตาเตลิดไปไกลแสนไกล
ผู้เป็นมารดาเหม่อมองไกลแสนไกล เอ่ยเสียงอย่างแผ่วเบาแหบเครือ
"มีทางเดียวที่จะรักษาได้ ซินแสปากซอยบอกว่าจะต้องใช้"ปลาร้าพันปี" มาผสมตัวยารักษา"
ท่านรู้จักปลาร้าหรือไม่...
บางคนคิดว่ามันเป็นสัตว์ในตำนาน ในเทพนิยายของแอนเดอร์สัน บางคนคิดว่ามันเป็นสัตว์วิเศษอาศัยอยู่ในป่าหิมพานต์หรือเชิงเขาไกลลาศ บางคนคิดว่ามันเป็นสัตว์ประหลาดในทะเลสาบล็อคเน็สส์
ในโลกนี้ไม่มีเพียง บัวหิมะพันปี ยังมีปลาร้าพันปี...
ปลาร้าค้างปีจัดว่าวิเศษเลิศเลอแล้ว ดังนั้นปลาร้าพันปีจะมีสรรพคุณปานใดก็แทบมิต้องบรรยายแล้ว
.........
บุรุษหนุ่มถูกเลี้ยงดูอย่างดี ชีวิตนี้อยู่แต่ในบ้าน เรียนหนังสือที่บ้าน โลกของมันคือบ้าน มารดามันห่วงใยจนมิอาจให้ลูกคลาดสายตาแต่วันนี้เพื่อบิดา บุรุษหนุ่มไร้เดียงสาต้องออกเผชิญโลกที่โหดร้ายแล้ว
แต่มันมิอาจไม่ไป
โรคสำออยของบิดามันหากแพร่งพรายไปถึงหูผู้อื่นหากตระกูลของมันไม่ล่มสลายลงก็น่าประหลาดใจแล้ว มีเพียงซินแสคนเดียวที่รู้เรื่อง...แต่ชีวิตของมันก็ไม่ปลอดภัยแล้ว
ดังนั้น ตุ่งตุ๊งจึงออกออกด้นด้นเดินทางเสาะหาปลาร้าพันปี
บุรุษหนุ่มก้มคารวะจรดพื้นกล่าว
"ถนอมตัวด้วย บุตรขอลา"
"ไปสู่ที่ชอบๆเถิดเจ้า"
"เอ้ย..." ข้าไม่ได้ไปตายไฉนท่านพูดแบบนั้น" ตุ่งต๊งหน้าซีดราวปลาตาย
นางฝืนยิ้มบอก
"มารดาเจ้าแค่ล้อเล่นเท่านั้น เจ้าไปได้แล้ว"
บุรูษหนุ่มมองมารดามันครู่หนึ่ง ตัดใจลุกขึ้น เหลียวมองหมู่ตึกเป็นครั้งสุดท้ายก่อนหันหน้าออกสู่โลกภายนอกอันเลือนลางในม่านมองยามเช้า ชะตากรรมประเภทใดกันที่ยื่นมือรอคอยมันอยู่ในโลกกว้างไกล
"หยุดก่อน"
มารดามันร่ำเรียกอีกครั้ง บุรุษหนุ่มชะงักหันมามอง
"ทำไมเจ้าไม่มีเงาหัว"
บุรุษหนุ่มสะดุ้งสุดร่าง...ร้องสุดเสียง ปานจะร่ำไห้
"ท่านไฉนพูดเข่นนี้"
"แฮะๆ...เราล้อเจ้าเล่น"
บุรุษหนุ่มจับจ้องมองมารดามันอย่างมิไว้วางใจ ค่อยๆถอยหลังทีละก้าว จนออกหน้าหมู่ตึกจึงหันหลังออก..
"หยุดก่อน"
มารดามันร้องเรียกอีก
มาดาเห็นเท้าเจ้าไม่ติดดิน หน้าก็ไร้สีเลือด
มาดาอย่าล้อเล่นแบบนี้
บุรุษหนุ่มเอ่ยเสียงแหบพร่าราวใจจะขาด ค่อยๆล่าถอยออกไปอย่างระมัดระวัง
หยุดก่อน
มารดามันร้องเรียกอีก
ไม่อยู่แล้วโว๊ย....
บุรุษหนุ่มสะดุ้งสุดร่างปานถูกเตะใส่สิบเท้าพร้อมกัน มันแผดร้องสุดเสียงก่อนออกวิ่งมิคิดชีวิตไม่เหลียวหลังจนหายลับไปกับตา หากอ้อยอิ่งอยู่ต่อมันคงประสาทตายเพราะมิอาจทนทานต่อการล้อเล่นของมารดามันได้ ทิ้งให้นางขมวดคิ้วนิ่วหน้าอย่างไม่สบอารมณ์เพราะยังมีคำล้อเล่นอีกหลายคำที่ยังไม่มีโอกาสเอ่ยปากออกมา
.......
คาคบไม้หน้าหมู่ตึก
ลูกนกตัวหนึ่งหัดบินโผออกจากรัง ร่วงหล่นลงบนพื้นดิน
อสรพิษตัวหนึ่งคล้ายดั่งหลุดออกมาจากหนังแม่เบี้ย มิทราบว่ารอคอยตั้งแต่เมื่อไร พุ่งเข้างับเจ้านกน้อยกินกลืนเข้าไปอย่างโอชะ
ชะตากรรมของบุรุษหนุ่มกตัญญูจะเฉกเช่นลูกนกหรือไม่.....
................
ตอนที่ 2
ความจริงตุ่งตุ๊ง เป็นบุรุษหนุ่มปราดเปรื่องหล่อเหลาสง่างาม เพียงแต่มันอ่อนต่อโลกอย่างยิ่ง
แต่นี่ไม่อาจตำหนิมัน ที่ควรตำหนิ...อาจเป็นครอบครัวของมันซึ่งนับจากเป็นทารกกระทั่งเติบใหญ่ไม่เคยปล่อยมันออกสู่โลกภายนอกเลย
เนื่องเพราะครอบครัวของมันเห็นว่าโลกภายนอกเลวร้ายยิ่ง อันตรายยิ่ง
จนลืมคิดไปว่าถ้าไม่รู้จักความเลวร้ายจะซาบซึ้งกับความดีงามได้อย่างไร ถ้าไม่รู้จักกับความมืด..จะรู้จักแสงสว่างได้อย่างไร
ถ้าไม่รู้จักความเจ็บปวดสูญเสีย จะซาบซึ้งกับความสุขและสมหวังได้อย่างไร
บิดาของตุ่งตุ๊งเป็นโรคร้าย
โรคที่ไม่มีโอสถขนานใดรักษาได้ นอกจากปลาร้าพันปี สุดขอบฟ้า
โรคร้ายที่ว่าคือโรคสำออย
.ที่พอได้ยินชื่อผู้คนต่างตัวสั่นพรั่นพรึงสุดสยดสยอง
ตุ่งตุ๊งจึงต้องออกเดินทางสู่ยุทธภพ
บรุษหนุ่มปราดเปรื่องแต่ไร้เดียงสาต่อโลกจะเป็นเช่นไร
มันจะถูกล่อลวงไปในทางไม่ดีหรือไม่
..จะได้ปลาร้าพันปีกลับมาอย่างไร
++++
ตะวันคล้อยต่ำลงจรดทิวเขา ต่ำลงมาคือลำธารและสะพานเล็กๆ
ความจริงนี้เป็นภาพสวยงามยิ่ง ภาพที่สวยซึ้งตรึงอารมณ์กวีแทบกระโจนเข้าหาสีและพูกัน
น่าเสียดายที่ตุ่งตุ๊งไม่มีอารมณ์ชื่นชมเลยสักนิด เป็นเพราะไม่เพียงที่ดวงตะวันตกลง เรี่ยวแรงของมัน หัวใจของมันล้วนตกลงเช่นกัน
.ตะวันจรดทิวเขา เข่าของมันก็อ่อนล้าแทบตกลงจรดดิน อาหารที่เตรียมมาถูกเขมือบหมดสิ้นตั้งแต่เที่ยงวันแล้ว
แต่มันไม่หลงทางเด็ดขาด เพราะมันไม่ทราบว่าจะไปทางใด จึงไม่มีทางให้หลง คนที่กระทั่งตนเองยังไม่ทราบจะไปทิศทางใดจึงไม่จัดว่าเป็นคนหลงทางแน่นอน
นึกถึงค่ำคืนฟ้ามืดกลางป่าใหญ่ คนที่ไม่เคยออกสู่โลกภายนอกเช่นมันนับว่าเลวร้ายยิ่งแล้ว มารดาของมันพร่าสอนว่าในป่าเต็มไปด้วยภูตผีปีศาจ และสัตว์ร้าย คอยจ้องจับกินเป็นอาหาร นางพรายที่ดักฉุดบุรุษไปย่ำยี ผู้คนเลวร้ายแอบคอยดักอยู่ในเงามืด เพียงนึกหัวใจก็สั่นไหว
ตัดใจเดินข้ามสะพานน้อย
ความจริงมันเดินขึ้นสะพาน แต่ตอนนี้หัวใจคล้ายร่วงหล่นลงในลำธาร เพราะกลางสะพานพลันปรากฏเงาร่างของสัตว์ร้ายยืนแยกเขี้ยวจังก้ากลางตะวันเขี้ยวขาววาววับในเสียงคำรณสยบขวัญ
"อุ้ยตายแล้ว
แม่จ๋า
"
มันอุทานอย่างสุภาพเรียบร้อย เซกลับหลัง
.ขาพันกันล้มลง
มันมิใช่สตรีเหล็ก แต่เป็นผลจากการอบรมพร่ำสอนของมารดาให้มันเป็นกุลบุรุษดีงาม ไม่ว่าจะแตกตื่นอย่างไรจะต้องรักษามารยาทและความเรียบร้อยไม่ให้ขัดตาไว้ตลอด
พริบตานั้นสะพานน้อยคล้ายเป็นสะพานยาวไม่มีที่สิ้นสุดจากการปรากฏตัวของสัตว์ร้ายจากแดนสนธยา
ตอนนี้อย่าว่าแต่จะข้ามไปเลย ประคองตัวให้พ้นจากการเป็นอาหารมื้อค่ำของพยัคฆ์ร้ายได้ก็นับว่าบุญแล้ว
"ชิ้วๆๆ
.ไปๆๆ
ชิ้วๆๆ"
บุรุษหนุ่มทำเสียงไล่ เนื่องเพระอยู่บ้านเคยใช้วิธีนี้ไล่แม่ไก่และลูกไก่จนกระเจิดกระเจิงขวัญหนีดีฟ่อมาแล้ว แต่ครั้งนี้เสียดายว่าสัตว์ประหลาดฟังภาษาคนไม่รู้เรื่อง มันยิ่งแสยะเขี้ยวขาวน้ำลายหยดตามมุมปากตั้งท่าราวจะกระโจนเข้าใส่
ยามจวนตัวมันพลันนึกถึงคำพูดของมารดา
"สัตว์ร้ายทั้งปวงล้วนกลัวนัยน์ตามนุษย์ ยามจวนตัวให้เจ้าจ้องมองตามันอย่ากระพริบ มันจะไม่กล้าทำอันตรายเจ้าเด็ดขาด"
สบตากัน
มันไม่มีโอกาสใคร่ครวญ สองตาของตุ่งตุ๊งจับจ้องอยู่นัยน์ตาดุร้ายของพยัคฆ์ร้ายที่แสยะเชี้ยวข่มขวัญอยู่เบื้องหน้า ตาประสานตาแน่วนิ่ง
สัตว์ร้ายมีท่าทีงงงันวูบหนึ่ง เกิดมายังไม่มีมนุษย์ตนใดมองหน้าแบบนี้
แต่แล้วพลันอ้าปากคำรามถีบเท้ากระโจนสุดตัวใส่บุรุษหนุ่ม
สัตว์ตัวนี้จำได้ว่าปู่ของมันเคยสอนว่าอย่าไปหลงกลพวกมนุษย์ มนุษย์ที่ใช้วิธีนี้คือมนุษย์จนตรอก ถึงได้ใช้วิธีปัญญาอ่อน มนุษย์ที่จนตรอกคือมนุษย์ที่เต็มไปด้วยความกลัว คนที่เต็มไปด้วยความหวาดกลัวย่อมไม่น่ากลัว
คนที่ไม่น่ากลัวย่อมเล่นงานได้
ดังนั้นมันจงลงเท้า
เขี้ยวขาว กรงเล็บ
. ผ่าดวงตะวันดวงกลมโตแดงฉานลงมาแล้ว
ตุ่งตุ๊งคาดไม่ถึงเด็ดขาดว่าคำสอนของมารดาจะไร้ประสิทธิภาพจนป่านนี้ เพราะคาดไม่ถึงจึงไม่ทันนึกวิธีตั้งรับ ดังนั้นได้แต่นั่งปากอ้าตาค้าง รอรับมหันตภ้ยร้ายแรง
ในเสียงดังฉาด
ศีรษะตุ่งตุ๊งขาดกระเด็นโลหิตฉีดพุ่งเป็นไฟพะเนียงประทุ
+++++
จากคุณ :
GTW
- [
19 พ.ย. 49 19:12:25
]