วันที่มา เราดูคล้ายพร้อมใจกันไม่บอกกับใคร ว่าฉันต้องผละจากเมืองไทย มาผจญภัยใหญ่หลวงที่นี่ แม้ไม่อยากเลยสักนิด แต่ฉันก็ต้องมา
แม่คงกล้ำกลืนความวิตกไว้เต็มที่ แม้ไม่เหนี่ยวรั้งยึดยื้อแต่รักของแม่เป็นอย่างไร มากมายแค่ไหน
....ฉันรู้ดี...
พ่อต่างหากที่เงียบ...นิ่ง...เฉยอยู่ตั้งแต่แรก และจนวันนี้ยังไม่มีเสียงพูดอะไรจากพ่อสักคำ หนังสือสักตัวจากลายมือของพ่อก็ยังไม่เคยได้เห็น
พ่อไม่เคยหนีหายไปไหนจากความเป็นผู้นำครอบครัว แต่พ่อยืนอยู่คล้ายไม่มีตัวตน...มานาน
จนฉันเกือบลืมไปด้วยซ้ำว่า พ่อ สำคัญอย่างไร
เรา คือฉันและแม่ นั่งรถแท็กซี่มาสนามบิน เราต่างหลุดเข้าไปอยู่ในห้วงความคิดของตนเอง ต่างๆ นานาที่จะเกิดขึ้นข้างหน้า ไม่ว่ากับฉันทางนี้ หรือกับพ่อแม่ทางเมืองไทย คงหนักหนาพอกัน
ความรังเกียจอาจก่อให้เกิดเพียงแค่เสียงติฉินนินทา แต่ความอิจฉาริษยาสามารถก่อการทำลายล้าง
ก็ใครๆ ต่างกังขา น้ำหน้าอย่างครอบครัวฉันน่ะหรือ จะมีโอกาสส่งลูกไปเรียนเมืองนอก หรืออย่างดี เอาอย่างที่พอมีปัญญาขายนาขายควายเป็นค่าตั๋วเครื่องบิน ก็คงไปได้แค่เมืองนาของเมืองนอก คือบ้านนอกของเมืองนอก ไปขายแรงงานต่างวัวต่างควาย
แน่นอน! บางคนต้องหยามหยันดูแคลน
บ้านนี้มันส่งลูกไปขายตัว
ที่สนามบิน ฉันเร่งตัวเองให้รีบเข้าสู่ส่วนเฉพาะผู้โดยสาร สีหน้าแม่เผือดไปเล็กน้อย น้ำตาที่ปริ่มคลอสองหน่วยตา หลั่งเป็นสายทันทีที่ฉันกราบลงแทบอก
ไม่มีเสียงสะอื้นแม้เพียงสักน้อยนิด
แม่ปาดน้ำตาทิ้ง และกลืนส่วนที่จะเอ่อท้นออกมาอีกเอาไว้ในอก
แล้วยื่นพระเครื่ององค์ขนาดเหรียญห้าบาทให้องค์หนึ่ง
พระของพ่อ...หลวงพ่อขำ...รุ่นเมตตา
เหรียญใหม่ของพระใหม่ ที่พ่อเป็นศิษย์รุ่นแรก
เป็นเหรียญพระเหรียญแรกและเหรียญเดียว ที่พ่อคล้องไว้กับตัวไม่เคยห่าง
เหรียญโลหะที่เคยคล้องห่วงโยงกับสายสร้อย ถูกเปลี่ยนเป็นโยงกับแหนบเงินอันเล็ก สำหรับเหน็บติดกระเป๋าเสื้อหรือคอเสื้อได้สะดวก
แม่บอกว่า
ไม่รู้พ่อไปเปลี่ยนเป็นแบบเหน็บตั้งแต่ตอนไหน เมื่อเช้าก่อนออกจากบ้านก็ยื่นให้ บอกว่าให้ฉันเอาไว้คุ้มตัว
ฉันรับมาจบที่หน้าผาก หากไม่ได้สวดอาราธนา หรืออธิษฐานอะไร
ก็ดูเถิด แค่ให้พรลูกสักคำก่อนออกจากบ้าน พ่อยังไม่ยอมทำ
วาบหนึ่งของความรู้สึก ซึ่งควรจะเกิดขึ้นตั้งแต่ตอนนั้นคือ
พ่อคงก็รักฉันเหลือเกิน
จึงถูกกลืนหายไปกับจินตนาการถึงอนาคตอันกดดันและหม่นหมอง
จากวันนั้นถึงวันนี้ ทุกสิ่งที่ผ่าน ทุกเรื่องราวที่เข้ามากระทบกับชีวิต ที่แทบจะเรียกได้ว่า ตัวคนเดียว ในอีกซีกโลกทางนี้
ฉันประจักษ์ชัดแล้วว่า
มันอึดอัดอัดอั้นยิ่งกว่าความกดดัน มันมัวซัวริบหรี่ยิ่งกว่าความหม่นหมอง
ทั้งชีวิตที่ต้องผูกติดไว้กับถ้อยคำที่ว่า
อย่าท้อ!...สู้ต่อไป...พิสูจน์ให้ใครๆ เห็นว่าเราก็ทำได้
มันหนักหนาราวกับต้องแบกโลกเอาไว้ทั้งโลก!
การอยู่คนเดียว หมายถึงการต้องคิดต้องตัดสินใจทุกเรื่องราวด้วยตัวคนเดียว
และต้องพร้อมยอมรับผลการตัดสินใจนั้นด้วยตัวคนเดียวเช่นกัน
หาก...เรื่องที่ตัดสินใจกระทำลงไปถูกต้อง ฉันก็ยิ้มและภูมิใจในตัวเองบ้างเป็นธรรมดา
แต่...เมื่อใดก็ตามที่สิ่งที่ตัดสินใจกระทำลงไปเกิดผิดพลาด
การยิ้มรับความผิดพลาดหรือเก็บเอาข้อผิดพลาดไว้เป็นบทเรียน มันกระทำได้แสนยาก
ใครที่ไม่เคยจากบ้านมา ถึงถิ่นที่ต่างภาษา ต่างวัฒนธรรม จะไม่มีวันรู้สึก!
ที่นี่...ในวันนี้ ขณะที่คนรอบข้าง ใครก็ตามเกิดปัญหาคับข้องหมองใจ อยากมีที่ระบาย อยากได้คำปรึกษา เขาเหล่านั้นสามารถ กลับบ้าน กลับไปหาครอบครัวได้ทุกเมื่อ
ใครว่าครอบครัวฝรั่งไม่อบอุ่น
ภาพความห่างเหิน ตัวใครตัวมัน ไม่ใส่ใจซึ่งกันและกัน
เป็นเพียงภาพที่ เรา ถ่ายทอดเรื่องของ เขา ให้คนระหว่าง เราด้วยกัน ฟังเพียงเท่านั้น
แท้ที่จริง ความห่วงใย ความใส่ใจเอื้ออาทรแก่กันนั้น เต็ม อย่างบริบูรณ์
ความห่างเหิน ที่เราระบายสภาพให้เขา แท้จริงนั่นคือ
ความรัก ความเอาใจใส่ที่ถูกถ่ายทอดแก่กันของฝรั่ง พวกเขากระทำพร้อมกับการให้เกียรติในความคิดและการตัดสินใจของกันและกัน พวกเขาเคารพในวุฒิภาวะและภาวะของความเป็นมนุษย์ ซึ่งมีความเท่าเทียมกันทุกคน ต่อการลิขิต-ตัดสิน-เลือกเฟ้น เส้นทางเดินชีวิตของตัวเอง
ฉันเฝ้ามองภาพความอบอุ่นอาทรเหล่านี้ ด้วยหัวใจอันแห้งแล้ง
พวกเขาอาจดูโดดเดี่ยว ไม่ต้องขึ้นกับใครในการเลือกใช้ชีวิต
แต่เมื่อใดก็ตามที่พวกเขาต้องการใครสักคนเป็นเพื่อนปรับทุกข์
บ้าน ครอบครัวของพวกเขาพร้อมอ้าแขนรับด้วยความเต็มใจเสมอ
ที่นี่ทุกครั้งที่ฉันอยากมีใครสักคนช่วยปลอบประโลม ปรับทุกข์
ฉันต้องกลับมาอยู่กับตัวเอง
กลับมาอยู่กับกระดาษเขียนจดหมาย สมุดจดบันทึก...ของแม่
กลับมาอยู่กับเหรียญหลวงปู่ขำรุ่นเมตตา...ของพ่อ
มีอะไรเล่าที่จะช่วยกระซิบปลอบโยนหัวใจฉันยามทุกข์...ท้อ...หมดกำลังใจ
นอกจากลมหายใจอุ่นๆ ของฉันตัวเอง
ฉันเขียนจดหมายถึงแม่-พ่อหลายฉบับ
ไม่ทราบเพราะเหตุไรจึงไม่มีการตอบกลับ
และอีกนาน กว่าแม่จะสามารถต่อสายคุยกันทางโทรศัพท์ได้
แน่นอน พ่อเป็นเหมือนเพียงภาพเงาเลือนราง ที่ทั้งรู้ว่ายังขยับเขยื้อนเคลื่อนไหว สุขภาพกาย-ใจยังแข็งแรง แต่ไม่เคยส่งเสียงซักไซ้ไต่ถามสารทุกข์สุขดิบของลูกคนนี้
แม่เคยแก้ต่างให้พ่อต่อกรณีนี้ว่า
พ่อเขาเชื่อใจลูก ว่าลูกจะไม่ทำให้พ่อเสียใจหรือผิดหวัง
ด้วยอารมณ์น้อยใจต่ออะไรหลายอย่างตอนนั้น ฉันเคยย้อนกลับไปว่า
พ่อก็ไม่เคยบอกหรอกว่า ตั้งความหวังอะไรไว้กับลูกคนนี้
พักหลัง เมื่อฉันสังเกตได้ว่า แม่กังวลกับสภาพจิตใจของฉันไม่น้อย การพูดคุยกันทางโทรศัพท์ในครั้งถัดๆ มา ฉันจึงปรับน้ำเสียงให้ท่านรู้สึกเหมือนว่า ฉันอยู่ได้-สบายดี ไม่ต้องเป็นห่วง
เหรียญพระของพ่อยังวางอยู่ตรงที่เดิมตั้งแต่เริ่มเข้าพักที่นี่ ฉันโยงสายไหมพรมสามสี่สายระหว่างเสาหัวเตียงทั้งสอง ใช้ไม้หนีบผ้าบ้างลวดเหน็บกระดาษบ้าง ติดห้อย ประสบการณ์ และ ความทรงจำ ไว้ในรูปแบบต่างๆ ตารางรถโดยสาร ตารางเส้นทางรถไฟ รถไฟฟ้า บัตรเข้าชมงานเข้าชมสถานที่จัดแสดงต่างๆ โปสการ์ด ชุดดวงตราไปรษณียากรตามวาระ กระทั่งกระดาษแข็งสำหรับรองแก้ว
ท่ามกลางทั้งหมด
ตรงส่วนที่มองเห็นง่ายที่สุด
มี กำลังใจ สองสิ่ง เฝ้ามองตอบสายตาฉันอยู่เงียบๆ
หนึ่งคือ ภาพถ่ายคู่กันของฉันกับแม่
อีกหนึ่งคือ เหรียญพระรุ่นเมตตาของพ่อ
กับสายตาแม่ในภาพที่มองมา บางครั้งฉันไม่กล้าสบสายตา ด้วยรู้สึกว่าบางสิ่งที่กระทำลงไป หากแม่อยู่ใกล้ๆ แม่อาจคัดค้านหัวชนฝา
ทุกครั้งที่ฉันรู้สึกอย่างนั้น ฉันจะเบนสายตามาทางเหรียญพระของพ่อ สงบจิตใจ สารภาพ-ขอโทษ และ ให้สัญญา ได้อย่างสบายใจ เพราะนึกไปได้ว่า หากฉันไป สารภาพ ขอโทษ หรือให้สัญญาอะไรต่อหน้าท่าน พ่อก็จะนิ่งอยู่เหมือนเหรียญพระเหรียญนี้ นิ่ง...สงบ ส่งผ่านความเมตตาเฉพาะด้วยแววตาและหัวใจ
กับสภาพแวดล้อมของที่นี่ กับภาพครอบครัวของที่นี่ มีสิ่งหนึ่งที่ทำให้ฉันรู้สึกประหลาดใจ
ตลอดมา พ่อปฏิบัติกับฉันเหมือนกับ พ่อ ของคนที่นี่ปฏิบัติต่อลูก
คือรักและเอาใจใส่เท่าที่ควร เท่าที่จะทำให้ลูกยืนอยู่ได้โดยลำพังเมื่อไม่มีท่าน ให้เกียรติในความคิดและการตัดสินใจของฉัน เคารพต่อการลิขิต-ตัดสิน-เลือกเฟ้น เส้นทางเดินชีวิตของตัวฉันเอง
รักนะ...แต่ไม่แสดงออก
เป็นคำนิยามที่มอบให้กับพ่อ หลังจากที่ฉันผจญกับอะไรต่อมิอะไรของที่นี่มากมาย หลังจากที่ฉันค้นพบแล้วว่า คนคู่เดียวที่ติดตามหัวใจฉันไปในทุกหนทุกแห่งคือ พ่อและแม่
ถึงวันนี้ ฉันส่งยิ้มให้ หลวงพ่อขำ รุ่นเมตตา เป็นประจำ
และอดคิดไม่ได้ว่า สิ่งที่สะท้อนกลับมาคือ กำลังใจมหาศาล
ที่ช่วย เติมเต็ม ความ พร่อง ที่เกิดขึ้นระหว่างวัน
ช่วยให้ทุกวันนี้ของฉันมี ต้นทุน เต็มหัวใจ สำหรับการออกไปจับจ่าย ประสบการณ์ชีวิต
ถึงวันนี้ ฉันเลิกคิดอยากให้พ่อเป็นเหมือนใคร เลิกคิดอยากให้พ่อเป็นพ่ออย่างที่ฉันต้องการ
เพราะถึงพ่อของฉันจะเป็นอย่างไรหรือจะไม่เหมือนใครๆ
แต่ท่านก็คือพ่อของฉัน และก็จะต้องเป็นพ่อของฉันตลอดไป
ในเมื่อพ่อเลือกที่จะเป็นพ่อแบบ รักนะ...แต่ไม่แสดงออก อย่างนี้ แล้วฉันจะดิ้นรนให้ท่านแสดงความรักออกมาทำไม
ในเมื่อฉันสัมผัสได้แล้วว่าในความนิ่งเฉยนั้น ท่านน่าจะรัก-ห่วงใยแค่ไหน ก็ไม่ต้องสงสัยหรือหาคำตอบแล้วว่า ท่านตั้งความหวังอะไรไว้กับฉัน
ในเมื่อฉันรู้แล้วว่า ควรจะวางตัวเองเอาไว้อย่างไรในการเลือกทางเดินชีวิต ความหวังของพ่อต่อตัวฉันก็คงสัมฤทธิ์ผลสมบูรณ์แล้ว
อยากกลับไปกอดพ่อให้ชื่นหัวใจ
ชนิกา วิศุทธิกานต์
December 2006
Wollongong NSW.,
AUSTRALIA
(หลังจากจากบ้านมาครบสามปี)
แก้ไขเมื่อ 19 พ.ย. 49 21:05:25
แก้ไขเมื่อ 19 พ.ย. 49 21:04:03
แก้ไขเมื่อ 19 พ.ย. 49 20:58:38
จากคุณ :
SONG982
- [
19 พ.ย. 49 20:54:23
]