เครียดจังค่า
เลยเขียนเรื่องสั้นมาดับความเครียดเสียหน่อย
เป็นเรื่องราวที่ใสๆ ไม่เศร้า (ไม่เศร้าน้า โรสขี้เกียจแต่งเรื่องเศร้า เพราะตัวเองก็เศร้าพออยู่แล้ว 555+)
มี 2 ตอนจบนะคะ ^^
* % * % * % *
สายน้ำ ความรัก และคนสำคัญของหัวใจ
ตอนที่ 1
ร้านคอมพิวเตอร์ซึ่งเป็นทาวน์เฮาส์เล็กๆสองชั้นที่ตั้งอยู่ตรงหัวมุม หากจะเดินจากบ้านของเธอไปก็ใช้เวลาไม่นานก็จริง แต่เพื่อให้เร็วยิ่งกว่ามะลิจึงใช้จักรยานคู่ชีพปั่นไปยังที่นั่นแทน
มะลิ ... สาวน้อยวัยสิบแปดปีบนยานพาหนะสองล้อมองเห็นบ้านหลังสีขาว หลังคาสีฟ้าสดใส มีดอกกุหลาบสีชมพูและแดงปลูกยาวตลอดแนวยาวของรั้วไม้ และเมื่อสาวเจ้าปั่นมาถึงทางเข้าหน้าร้านซึ่งเจ้าของร้านมีไอเดียเก๋ ทำเป็นสะพานไม้หลอกๆทอดสู่ตัวร้าน ตู้รับจดหมายไม้แบบปักดินสีแดงที่อยู่ข้างๆประตูร้านถูกเพนท์ตัวอักษรสีขาวว่า Prince and Princess
Internet cafe
คนอ่านป้ายนั้นอดที่จะทะ:-)ๆกับที่มาของชื่อร้านที่นายเจ้าของร้านเคยบอกเอาไว้ไม่ได้
สำหรับผม ลูกค้าก็เหมือนเจ้าหญิงและเจ้าชายและครับ ... หนูลิไม่เคยได้ยินเหรอ ลูกค้าคือราชา แต่ว่าลูกค้าของผมน่ะมีแต่เด็กๆเป็นส่วนใหญ่ ก็เลยกลายเป็นลูกของราชาแทนไงล่ะ ฮ่าๆๆ
นายเจ้าของร้านเขาว่าเอาไว้อย่างนี้ล่ะนะ ...
มะลิเผลอถอนหายใจเซ็งๆกับความบ้าของเจ้าของร้าน ทั้งเหตุผลบ้าๆ และสรรพนามที่เขาชอบเรียกเธอ หนูลิ แม้เธอจะโวยใส่ไปหลายที เขาก็ยังไม่ยอมเลิกเรียกสักที ... ก่อนที่จะจอดจักรยานไว้ที่ริมรั้วดอกกุหลาบ และพาตัวเองเข้าไปในร้านตรงหน้า
ภายในร้านอินเตอร์เน็ตนั้นมีลักษณะโปร่ง และสบายตาด้วยผนังบ้านสีขาว คอมพิวเตอร์จำนวนสิบสองเครื่องก็ไม่ได้วางเรียงๆไปเป็นแถวๆน่าเบื่ออย่างร้านอื่นๆ หากมีการเปลี่ยนรูปทรงของตัวโต๊ะวาง ทั้งแบบเหลี่ยม และแบบกลม รวมถึงบรรยากาศที่ออกแนวอบอุ่นเหมือนบ้านมากกว่าร้านอินเตอร์เน็ตธรรมดา ซึ่งนอกจากจะบริการอินเตอร์เน็ตแล้ว ก็ยังมีรับปรึกษาปัญหาคอมพิวเตอร์และมีพวกเครื่องดื่มบริการผู้เข้ามาใช้บริการด้วย
มะลิกวาดสายตาไปทั่วร้าน ในเวลานี้รอบๆร้านดูโล่งๆ มีลูกค้าอยู่แค่สามสี่คนเท่านั้น ก่อนที่เห็นหลังของคนบางคนที่ก้มๆเงยๆอยู่ตรงเคาทน์เตอร์เก็บเงิน มะลิดูแล้วรู้ทันทีว่าจะต้องเป็นเจ้าของร้านแน่ๆจึงไม่รอช้าที่จะเข้าไปเรียกเพื่อที่จะตามน้องชายตนกลับบ้านเสียที
พี่วสุ สาวน้อยเรียกขึ้น ทำให้คนที่ก้มอยู่หลังเคาทน์เตอร์สีฟ้าสะดุ้งจนหัวกระแทกเข้ากับตัวโต๊ะอย่างแรง
ครับ โอ๊ย! อูยยย ...
คนตัวสูงยกมือขึ้นกุมหัวตรงที่กระแทกโดน ขยับลุกยืนเต็มความสูงร้อยแปดสิบห้าเซนติเมตร หญิงสาวเงยมองเขา เห็นดวงตาสีดำเข้มมีน้ำเจิ่งนองอยู่ด้านใน ไม่รวมกับปากที่ร้องโอดโอยเบาๆก็หลุดขำออกมา
ท่าทางคงจะเจ็บน่าดู ... เธอนึกเห็นใจเขาไม่น้อยเลย
ทำเอาคนโดนหัวเราะใส่หน้ามุ่ย เบ้ปาก ขมวดคิ้วหนาเข้าหากัน ตัดพ้อร่างเล็กอย่างน่าสงสาร
โธ่ ตัวเองทำให้คนอื่นเขาตกใจจนเจ็บตัวแท้ๆ แทนที่จะโอ๋ มาหัวเราะเยาะผมเสียอีกแหนะ เด็กอะไรไม่น่ารักเอาซะเลย
มะลิหยุดหัวเราะทันทีที่ได้ยินเขาว่าเธอว่าเด็ก ไม่รวมถึงความรู้สึกผิดและเห็นใจเมื่อครู่ด้วย
มาหาว่าเธอเป็นเด็ก แถมยังไม่น่ารักอีก ... โธ่ ก็เด็กกว่าเขาแค่หกปีเองล่ะน่า!!
ใครเป็นเด็กกันยะ เดี๋ยวเถอะ เดี๋ยวได้เจ็บตัวอีกหรอก!
สาวน้อยทำซ่า ยกกำปั้นขึ้นมาเหมือนกับจะขู่ให้คนตัวใหญ่กว่ากลัว คนมองเลยได้แต่ส่ายหน้า หัวเขายังเจ็บไม่หาย ไม่อยากจะหาเรื่องให้ตัวเองเจ็บเพิ่มอีกหรอก
ไม่ใช่ร่างกายหรอกนะที่เขาหวั่น ... เป็นหัวใจของเขาต่างหากเล่า
มะพร้าวอยู่ไหน สาวน้อยลดกำปั้นลงพร้อมถามหาเจ้าตัวต้นเหตุที่ทำให้เธอต้องมาที่ร้านแห่งนี้
ออกไปเมื่อกี้นี้เอง ผมวานให้มะพร้าวช่วยไปซื้อของให้นิดหน่อย วสุตอบ มือหนาเทน้ำส้มซึ่งเขาคั้นเองกับมือลงใส่แก้วใบใส และยื่นให้มะลิ
มะลิรับมาดื่มตามมารยาท และด้วยเธอเองก็ไม่อยู่นาน อยู่กับคนตรงหน้าทีไรเธอมักจะรู้สึกแปลกๆทุกที
งั้นฝากบอกมะพร้าวด้วยนะว่าแม่ให้มาตามไปกินข้าว เดี๋ยวลิต้องกลับไปอ่านหนังสือต่อ
จริงสิ หนูลิจะเอนทรานซ์แล้วสินะ แล้วอยากจะเข้าคณะอะไรหรือครับ คนถามนึกขึ้นได้ว่ามะลิเป็นเด็กมัธยมปลายปีสุดท้ายแล้ว คิดๆแล้วเวลาก็ผ่านมาเร็วจริงๆ ก็วันที่มะลิวิ่งมาบอกเขาได้ดีว่าเธอสามารถสอบติดโรงเรียนมัธยมปลายชื่อดังที่เธออยากเข้าได้นั้นดูเหมือนจะเพิ่งผ่านไปเอง ...
สิบสามปีแล้วหรือนี่ที่เขารู้จักกับมะลิ เร็วจริงๆ
อยากรู้ไปทำไมล่ะ อยู่ๆสาวน้อยก็รู้สึกเขินๆที่ถูกถาม ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม ... กับอีแค่เขาสนใจเรื่องของเธอแค่นี้เอง
อ้าว แล้วผมอยากรู้ไม่ได้หรือครับ วสุนิ่วหน้า ก่อนที่จะพูดต่อ น้ำเสียงเต็มเปี่ยมด้วยความมั่นใจในตัวเอง จะว่าไป ตอนผมเอนท์ก็เคยเอนท์ติดหมอด้วยนะครับ ไม่ได้อยากจะคุย
มะลิฟังแล้วเลิกคิ้วสูง กับคนดูบ้าๆบอๆอย่างนายวสุที่วันๆอยู่กับคอมพิวเตอร์ และวันดีคืนดีก็ชอบขุดเอาดอกไม้ใส่กระถางไปฝากตามบ้านคุณปู่คุณย่านี่นะเคยเอนทรานซ์ติดคณะแพทยศาสตร์ด้วย ... ท่าทางไม่ให้เลยแฮะ
แต่ว่าสอบสัมภาษณ์ไม่ผ่านอะครับ
หากคำพูดต่อมาทำเอาคนที่กำลังอึ้งๆอยู่ถึงกับจะคะมำไปข้างหน้า
เสียใจมากเลยล่ะ ดันตอบอะไรไปไม่รู้เลยต้องไปเรียนอย่างอื่นแทน คนพูดทำท่าซับน้ำตา โดยไม่ได้เห็นสีหน้าเอือมระอาคนของคนฟัง
มะลิถอนหายใจอย่างหมดแรง เธอไม่น่าจะไปเชื่ออะไรหมอนี่ให้มากนักเล้ยย ดูท่าก็ไม่ให้อยู่แล้วว่าจะเรียนหมอได้ แถมถ้าเอนท์ติดมีหรือจะมาเปิดร้านคอมพ์แบบนี้
คนอย่างพี่ ถ้าเป็นหมอนี่คนไข้คนน่าสงสารแย่ มะลิว่า
ท่าทางน่าจะเป็นคนไข้ให้คนอื่นรักษามากกว่านะคนแบบนี้เนี่ย
แล้วหนูลิอยากเป็นอะไรหรือครับ เล่าให้ผมฟังมั่งสิ คนถามทำหน้าตาอยากรู้อยากเห็นเหมือนเด็กเล็กๆที่รอคุณพ่อคุณแม่เล่านิทานให้ฟังอย่างไรอย่างนั้น
และมะลิก็ผิดเองที่ดันมักจะใจอ่อนกับแววตาแบบนี้ของพวกเด็กๆ ...
ลิอยากเป็นหมอ ... ทำไม ตลกล่ะสิ ตลกนักก็หัวเราะออกมาเลยสิ! สาวน้อยหันไปแง้วๆใส่ชายหนุ่มที่กำลังตั้งใจฟังอยู่ คงเป็นเพราะเขาเงียบไปก่อนที่จะระบายรอยยิ้มอ่อนโยนออกมา เธอจึงแว้ดใส่เขาไปแบบนี้
ไม่นี่ครับ มันไม่เห็นน่าตลกตรงไหนเลยนี่นา หนูลิจะต้องเป็นคุณหมอที่ดีได้แน่นอนเลยล่ะ ผมเชื่อว่าอย่างนั้น
ไม่รู้ทำไมเหมือนกันที่เธอจะต้องเขินหนักขนาดนี้กับการพูดถึงสิ่งที่เธออยากจะเป็นให้เขาฟังด้วย
ก็ที่ตั้งใจเล่าเรียน พยายามมาจนถึงวันนี้ก็เพราะว่าเธออยากจะเป็นหมอ อยากจะช่วยเหลือคนอื่นๆดั่งเช่นที่เธอเคยได้รับการช่วยเหลือชีวิตมาแล้วในครั้งหนึ่งสมัยเด็กๆ
ว่าแต่ทำไมหรือครับ ... ทำไมหนูลิถึงอยากเป็นคุณหมอล่ะ วสุถามต่อ มะลิเลยนึกถึงเรื่องราวสมัยเด็กขึ้นมาจนได้ ความรู้สึกหวาดกลัวกับการจมน้ำนั้นเธอจำไม่ได้ก็จริง คุณแม่บอกเธอว่าเธอช็อคจนทำให้ลืมไปเกือบหมด
ตอนลิอายุสิบสอง ลิเคยจมน้ำน่ะค่ะ ... ถ้ามะลิไม่ได้คนคนนั้นช่วยเอาไว้ ลิอาจจะตายไปแล้วก็ได้ ... ก็เลยคิดว่าถ้าลิช่วยคนอื่นได้บ้างก็คงดี อีกอย่างลิก็ยังไม่เคยได้บอกขอบคุณผู้มีพระคุณคนนั้นเลย การช่วยชีวิตคนอื่นก็เลยเป็นสิ่งเดียวที่ลิอาจจะทำเพื่อเป็นการตอบแทนบุญคุณของเขาคนนั้นได้
คนเล่ารู้สึกอบอุ่นใจทุกคราที่นึกถึงแววตาของชายคนนั้นในความทรงจำแสนเลือนราง เขามองเธออย่างเป็นห่วง เสียงเบาๆที่เธอได้ยินนั้นพยายามปลุกเธอให้ได้สติ แต่เธอจำไม่ได้จริงๆว่าเขาเป็นใคร และถามใครก็ไม่มีใครรู้เลยสักคน ... ถ้าเป็นไปได้ ถ้าปาฏิหาริย์มีจริง ก็ขอให้เธอได้พานพบกับเขาอีกครั้ง เพื่อที่เธอจะได้ขอบคุณเขาด้วยปากของเธอเองสักครั้ง
งั้นหรือครับ สีหน้าและแววตาของวสุดูนิ่งผิดปกติ ก่อนที่จะอมยิ้มให้กับอดีตบางอย่างที่ฝังลึกในหัวใจเขาจนยากที่จะลืมได้ลง หากสาวน้อยก็หาได้สัมผัสถึงความปวดร้าวที่ชายหนุ่มมี
ใช่ ... เพราะฉะนั้นต่อจากนี้ไป พี่จะต้องไล่ให้มะพร้าวกลับไปกินข้าวเที่ยงที่บ้าน และอย่าให้กลับบ้านหลังหกโมงล่ะ ไม่งั้นแม่จะให้ลิมาตาม แค่นี้ลิก็อ่านหนังสือไม่ทันอยู่แล้ว น้ำเสียงที่ฟังดูอ่อนโยนจึงแปรเปลี่ยนเป็นห้วนห้าว แสนรั้น และเอาแต่ใจ ตามสไตล์หนูมะลิที่ชายหนุ่มรู้จักดี
คร้าบ ... คร้าบ ชายหนุ่มรับคำอย่างว่าง่าย ที่ไม่มีการกล้าเกี่ยงงอนแต่อย่างใด
+ มีต่อนะคะ ++
จากคุณ :
iNt_GaL
- [
20 พ.ย. 49 05:46:11
]