พ่อ
ผมโกรธพ่อมาก เมื่อตอนเป็นเด็ก เวลาไปมีเรื่องกับเด็กใกล้บ้านกัน ซึ่งทะเลาะกันตามประสาเด็ก สิ่งที่ผมจะต้องได้รับก็คือ โดนทำโทษก่อนโดยไม่มีการไต่สวนใด ๆ ทั้งสิ้นต่อหน้าเจ้าทุกข์หรือพ่อแม่ของเจ้าทุกข์ที่มาร้องเรียนในทันที พร้อมกับปากที่พร่ำขอโทษแทนลูกชาย และรับปากว่าจะไม่ให้ลูกทำเช่นนี้อีก
เมื่อเจ้าทุกข์ทั้งหลายกลับไปแล้ว พ่อก็บอกว่า ที่ต้องทำเช่นนั้นเพราะว่ามันเป็นเรื่องของสังคมคนบ้านใกล้เรือนเคียงกัน ต้องถนอมน้ำใจกันไว้ก่อน คนของเรา ๆ กลับมาพูดกันเองได้ แต่คนของเขา ทำให้เขาพอใจไว้ก่อน ก็นับได้ว่าหมดไปเรื่องหนึ่งแล้ว
เมื่อเติบโตขึ้นมา ได้รับการศึกษามากขึ้น ๆ ได้รู้จักโลกย์มากขึ้น จึงได้เข้าใจว่า การกระทำเช่นนั้นเป็นเรื่องของรัฐศาสตร์ เป็นศิลปะในการครองใจคน และได้พบเห็นพ่อกับเพื่อน ๆ ที่คบหากัน เป็นเรื่องของมิตรแท้ เพื่อนแท้ ที่มีแต่ความจริงใจให้ต่อกัน ยิ่งเข้าใจมากขึ้นในแง่ของการมีมนุษยสัมพันธ์ที่ดีต่อคนทุกผู้ทุกนามที่เรา คบหาด้วย
เพื่อนคนไหน ญาติคนไหน เดือนร้อน หรือต้องการความช่วยเหลือ ไม่ว่าในเรื่องใด ๆ พ่อจะช่วยและทุ่มเทหมดทั้งแรงกายและแรงใจ
เมื่อเราเป็นเด็ก บ้านเราไม่มีรถ สิ่งที่ดีที่สุดในยุคนั้นก็คือจักรยาน เวลามีงานวัด พ่อจะพาเราทั้ง 3 คนพี่น้อง ซ้อนจักรยานไปด้วยกัน อ๊อดกับโสภาจะนั่งอยู่ที่คานด้านหน้า ผมนั่งตระแกรงหลัง เมื่อก่อนนี้คนที่อยู่ในกอง (ฐานทัพ) จักรยานต้องลงจูง เมื่อเวลาผ่านบ๊อกยาม น้อง ๆ หลับกันหมด พ่อขี่จักรยานพ่วงกันมาผ่านบ๊อกยามโดยไม่ลงจูง แต่ก็ใช้การทักทายปราศรัยพร้อมกับขออนุญาตผ่าน
ที่บ้านแม่ขายกับข้าวแรกเริ่มจากการหาบขาย พวกเรากินกับข้าวจากผักปลาที่เหลือจากการขาย พ่อเป็นคนทำกับข้าวแทนแม่ซึ่งเหน็ดเหนื่อยมาก กับการหาบของขาย พวกเรากินกับข้าวฝีมือพ่อมาโดยตลอด จนกระทั่งชีวิตในครอบครัวเริ่มดีขึ้นจากการค้าขาย ประจวบกับในระยะนั้นอเมริกันได้เข้ามาตั้งฐานทัพ ในเมืองไทย พ่อก็ลงทุนซื้อรถมาสด้า 8 แรงมาคันหนึ่งขับรถรับส่ง เพื่อนบ้านและคนที่ทำงานที่สนามบิน โดยตื่นตั้งแต่ตี 4 ไปส่ง และกลับมารับอีก 2 เที่ยว จนกระทั่ง 8 โมงเช้าก็ไปทำงานประจำเป็นปกติ เย็น 4 โมงกว่า ๆ ก็รีบกลับมาอาบน้ำและไปรับคนงานผลัดต่อไป จนกระทั่งถึงเที่ยงคืนทุกวัน ระยะนั้นรถยนต์มีน้อย ก็เป็นโอกาสของครอบครัวเราที่จะสร้างฐานะได้อย่างรวดเร็ว พ่อดาวน์รถคันแรกด้วยเงินน้ำพักน้ำแรงของแม่ร่วมกับเงินที่พ่อเก็บสะสม จำนวน 6,000 บาท และต้องผ่อนส่งรถเดือนละ 600 บาทเป็นเวลา 3 ปี ปรากฏว่ารถคันแรกของเราใช้เวลาเพียงปีเดียวก็ผ่อนหมด เมื่อพ่อเห็นหนทางเช่นนั้นก็ ชักชวนพี่น้องของพ่อ ทั้งอาสิน อาหนาน ให้มาช่วยพ่อทำงาน พี่ยุ่งลูกของป้าหริพี่สาวพ่อ ก็ให้มาเป็นกระเป๋ารถ และออกรถเพิ่มอีกหลายคัน รถคันแรกนั้น นำมาต่อหลังคาเสริมท้าย ดัดแปลงเป็นรถขายกับข้าว ให้หลาน ๆ ของพ่อเป็นคนขับพาแม่ออกไปขายกับข้าว ด้วยความที่บ้านเรามีรถหลายคัน ทำให้แม่กับผมสามารถขับรถได้กันเอง แม่ก็ขับไปขายของเอง ผมเลิกเรียนแล้วก็ไปเป็นกระเป๋ารถเมล์กับพี่ยุ่งบ้าง ไปขายเรียงเบอร์หน้าสนามบินบ้าง ไปรับแลกเงินดอลล่าบ้าง แม่จะเตรียมเงินฉบับละ 20 บาทไว้ปึกใหญ่ และนำเงินดอลล์ที่และมานั้นไปแลกกลับที่ร้านเนรมิตทุกวัน ได้กำไรดอลล์ละสองสลึง ก็นับว่ามากโขอยู่ในสมัยนั้น
พ่อกับแม่ทำงานด้วยความขยันขันแข็งอยู่ตลอดเวลา เราจึงสร้างฐานะให้กับครอบครัวอย่างมั่นคง (ขนาดผมแอบขโมยเงินวันละหลาย ๆ บาทนะเนี่ย) พี่น้องลูกหลานของพ่อกี่คน ๆ พ่อรับมาอุปการะหมด น้าตี๊ ยายติ๋ว (พ.จ.อ.หญิงพจนา อีเจียม (ขอโทษเมื่อก่อนเรียกกันอย่างนี้) พี่ยุ่ง (เรือเอกขนิษฐ์ บุบผาวงศ์) อาปอง พี่สมใจ น้าอ่อน อาชาญ อารวม(นาวาตรีสำรวม พลคิด)มาอยู่บ้านเรากันหมด ทำให้เมื่อโต ๆ กันแล้วผมจะรู้จักญาติของพ่อกับแม่ที่บ้านท่าเรือแกลงทุกคน พ่อต้องซื้อข้าวสารครั้งละเป็นกระสอบ ๆ หน้าผลไม้พ่อต้องซื้อครั้งละเป็นเข่ง ๆ ถึงจะพอกินกันในบ้าน ยายต้องทำอาหารครั้งละมาก ๆ ขนมส้มสูกลูกไม้มีกินกันบริบูรณ์ บางวันป้ามะลิหาบขนมมาขายช่วงเย็น ๆ หลังอาหาร พวกเราก็ถือจานถ้วยกันคนละใบนั่งเรียงแถวกันหน้าสลอนซื้อขนมยายมะลิกิน ยายก็เอาไม้มาไล่ตีเอาเพราะทำขนมไว้ให้เป็นหม้อ ๆ แล้วไม่กินกัน
เมื่ออเมริกันได้ถอนฐานทัพกลับไป งานการต่างๆ ก็เริ่มเบาลง และเรายังมีรถเหลืออยู่ พ่อก็นำรถมารับส่งคนในกองมาตลาด โดยมีอาหนานขับรถให้ พี่ยุ่งเป็นกระเป๋า จนเมื่อกาลเวลาผ่านไป ผมห่างจากบ้านไปหลายปี โดยต้องไปเรียนหนังสือที่จังหวัดเชียงใหม่ ความเป็นไปในช่วงนี้ของผมกับพ่อห่างกันพอสมควร
ในหน้าที่การงานประจำนั้น พ่อได้รับการเลื่อนยศ ตามวิทยฐานะ จนกระทั่งเมื่อได้เป็นนายทหาร เราต้องย้ายบ้านไปอยู่ที่บ้านพักสรรพาวุธ และเมื่อครอบครัวเราพร้อม พ่อก็เริ่มปลูกบ้านที่ทิวสน เมื่อบ้านเสร็จการเดินทางไปทำงานของพ่อก็ไกลมากขึ้น ประกอบกับแม่ที่ยังขายกับข้าวอยู่คนไม่พอช่วย พี่ยุ่งก็ต้องไปเป็นทหาร นายต๋อย(เรือเอกบำรุง บุบผาวงศ์)น้องของพี่ยุ่ง ซึ่งพ่อให้มาเรียนหนังสือต่อที่โรงเรียนสัตหีบ ก็ยังเด็กเกินไปที่จะช่วยงานได้ ผมก็ยังไปเรียนหนังสือที่เชียงใหม่ พ่อก็ตัดสินใจลาออกจากราชการ มาช่วยแม่ค้าขาย
พ่อเป็นผู้ที่มีมนุษยสัมพันธ์ดี แม่ค้าในตลาดบางคนที่หาที่ส่งของในวันนั้นยังไม่ได้ หรือแม่สั่งไว้เพียงว่าให้เอาผักนั้น ปลานี้มาแค่ 5 โล 10 โลก็พอ แต่ถ้าแม่ค้าบอกว่าลุงช่วยซื้อหน่อย ทุกคนจะไม่เคยได้รับคำปฏิเสธจากพ่อ จะช่วยซื้อมาหมดตามที่ขอให้ช่วยทุกอย่าง แล้วก็มาพยายามขายเอาเอง บางทีก็ทำให้ต้องมามีปากเสียงกับแม่ก็บ่อยไป โดยที่เหล่าบรรดาแม่ค้าที่ของให้ช่วยนั้นไม่เคยรู้เรื่องเช่นนี้ และพ่อก็ยังทำอยู่เช่นนี้ตลอดเวลา โดยเพียงบอกกับแม่ว่า ก็สงสารมัน ลูกมันยังเล็กอยู่
หลานของพ่อที่เอามาอุปการะก็ส่งเสียให้ได้เล่าเรียนหนังสือ ฝากให้ทำงานกันทุกคน คนที่เอาถ่านได้ดิบได้ดีกันไปหมด และพ่อมักมาเล่าเรื่องต่าง ๆ เหล่านี้ให้ผมได้ฟังอยู่เสมอ แค่ลูกหลานมาเยี่ยมเอาของมาฝากให้ พ่อก็คุยไปได้เป็นอาทิตย์ ๆ อย่างภาคภูมิใจ
พ่อชอบกลับไปบ้านเดิมที่ท่าเรือแกลง ไปนั่งคุยกับคนเก่า ๆ ที่เคยรู้จัก คุยกับญาติพี่น้อง ตั้งแต่บ้านปากทางกระเฉดจนถึงวัดท่าเรือแกลง บางทีก็ไปนั่งคุยกับเพื่อน ๆ อย่างอาเต๋า อาโกฮง ลุงสมพงษ์ หรือหลวงน้าสมพงษ์ที่วัดชากลูกหญ้าอยู่เสมอ ไปเยี่ยมลุงสิทธิ์พี่ชายคนโต บุกไปถึงในป่าไกลลึกในจังหวัดตราดที่อาสินน้องชายพ่อไปบุกเบิกทำพลอยอยู่ที่นั่น ไปแวะเยี่ยมป้าหริที่บ้านกระเฉด หรือเมื่อยามที่พี่เขยพ่อของพี่ยุ่งป่วย ก็เอาเป็นธุระดูแล พามาเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลสิริกิติ์ เพื่อนของพ่อชื่ออาจวบที่ไปบุกเบิกทำนากุ้งพ่อก็แวะไปดูแล สอบถามความเป็นอยู่ อานิเทศเพื่อนรุ่นน้องของพ่อที่มีนากุ้งอยู่ที่เมืองจันท์ พ่อก็เที่ยวพาอาจารย์ผลไปแวะเยียนเยียนมิได้ขาด
เมื่อผมประสพกับปัญหา ต้องขับรถบรรทุกที่เรามีอยู่ เดินทางไปรับงานที่ปักษ์ใต้ พ่อก็ไปนั่งเป็นเพี่อนบนรถสิบล้อบรรทุกน้ำที่ผมขับรับจ้างอยู่ที่สุราษฏร์ธานี ไม่มีบ้านพัก กินข้าวอาบน้ำกันที่ปั๊มน้ำมัน นอนพักด้วยกันที่ใต้ท้องรถบรรทุก จนเห็นว่าผมอยู่ตัวดีแล้วจึงได้เดินทางกลับ โสภาน้องสาวคนรองจากผมมีลูกคนแรก คือนายต๊อบและมีภาระต้องทำงานไม่มีเวลาดูแล พ่อก็เอาหลานมาเลี้ยง และจดทะเบียนรับให้เป็นบุตรบุญธรรม เหมือนเป็นลูกชายคนสุดท้อง อ๊อดมีลูกที่ยังเล็กอยู่ก็เอามาเลี้ยงดูให้ยามเมื่ออ๊อดต้องไปทำงาน เวลาไปที่บ้านสวนของเราที่ กม.10 พืชผักทั้งหลายที่พ่อปลูกไว้ออกดอกออกผล พ่อก็นำมาแจกจ่ายให้กับเพื่อนบ้าน
เมื่อพ่อต้องไปร่วมงานของชมรมทหารนอกราชการ ก็สนุกสนานกับอยู่เพื่อน ๆ ในคราวเดียวกัน จนใคร ๆ ที่ได้พบได้เห็นก็จะไม่เคยเห็นหน้าที่ปราศจากรอยยิ้มของพ่อสักครั้งเดียว
พ่อมีกิจวัตรประจำที่สำคัญ คือจะต้องไปวัดทุกวันพระไม่เคยขาด ยกเว้นเมื่อยามต้องล้มหมอนนอนเสื่อเท่านั้น ถือศีลกินเพลนอนที่วัด ได้พบปะพูดคุยกับเพื่อนอุบาสกอุบาสิกาที่มารักษาอุโบสถศีลด้วยกัน จนเป็นผู้นำในการสวดมนต์ของเหล่าอุบาสกอุบาสิกาของวัดสัตหีบ
ถ้าพ่อมีนัดกับหมอที่โรงพยาบาลสิริกิติ์ ก็จะต้องเตรียมหาของติดไม้ติดมือไปฝากหมอบ้าง ฝากพยาบาล ฝากคนเข็นเตียง ฝากแม่บ้านที่ทำความสะอาด อยู่บ่อย ๆ จนกระทั่งแม้หมอไม่ได้นัด ก็จะไปเดินเล่นแวะทักทายผู้คนที่รู้จักอยู่ในโรงพยาบาล จนผมเคยล้อพ่อว่า พ่อไปโรงพยาบาลสิริกิติ์ก็เหมือนไปห้างแมคโครโลตัสนั่นแหละ หมอปุ๊กกี้ หมอชุติมา
งานสังคมของชมรมต่างทั้งลูกเสือชาวบ้าน งานของชมรมสหกรณ์การเกษตรที่พ่อเป็นสมาชิกอยู่ งานของชมรมทหารนอกราชการ พ่อก็มักจะไปร่วมงานอยู่เสมอ แม้หลัง ๆ นี้จะห่างเหินไปบ้างก็ถ้าเพราะต้องเดินทางไกล พ่อก็ขอตัวไม่ไปบ้าง ด้วยติดภาระต้องเลี้ยงหลานสาวคนเล็ก
หลายครั้งเมื่อพ่อกลับมาจากงานสังคมต่าง ๆ เราคุยกันถึงเรื่องความเดือดร้อนของลูกหลานของเพื่อน ๆ ที่ถึงแก่กรรมไปก่อนหน้านี้ เกี่ยวกับเรื่องหลักฐานเอกสารต่าง ๆ นานาที่ต้องจัดเตรียม พ่อบอกว่าของพ่อไม่ต้องห่วงพ่อเตรียมให้หมดแล้ว แล้วพ่อก็พาลูกหลานไปดู เห็นพ่อเตรียมซองเอกสารไว้เป็นซองสีน้ำตาลขนาดใหญ่ 4-5 ซอง เขียนไว้หน้าซองเสร็จสรรพว่า ซองนี้ต้องส่งเรื่องไปที่ไหน ๆ แล้วเราก็นั่งหัวเราะพูดคุยกัน เช่น งานศพพ่อต้องมีขนมปรากริมไข่เต่านะ เพราะว่าพ่อของพ่อชอบกิน
ตอนเย็นวันก่อนที่พ่อจะสิ้นลม พ่อได้เตรียมตัวที่จะไปวัด ไปถือศีลในเช้าวันรุ่งขึ้น ได้จัดเตรียมอาหารหวานคาวพร้อมที่จะปรุงในตอนเช้าก่อนไป เย็นค่ำลงหลังจากที่ได้รับประทานอาหารเสร็จแล้วพ่อขึ้นไปสวดมนต์อยู่นานมาก ตราบจนเช้าเวลาประมาณ 5 นาฬิกา ซึ่งเป็นปกติที่พ่อจะต้องตื่นมาทำกับข้าว พ่อก็ไม่ลุกขึ้นมา จนใกล้จะสว่างเต็มที่ แม่เห็นว่าผิดปกติก็เลยให้น้องน้ำขึ้นไปเรียก เรียกอยู่นานพ่อก็ไม่ขานจนอ๊อดกับสุทัศน์ขึ้นไปตามและตัดสินใจพังประตูเข้าไป ถึงได้เห็นว่าพ่อได้นอนหลับอย่างสนิท เรียกไม่ลุกก็ตัดสินใจโทรหาผม เพื่อให้พาพ่อไปส่งยังโรงพยาบาล ด้วยความหวังที่เลือนรางเต็มที ผมแบกร่างของพ่อซึ่งดูเหมือนกับคนนอนหลับสนิทไปขึ้นรถและนำส่งโรงพยาบาลในทันที ที่ห้องฉุกเฉินผมเห็นหมอและเหล่าพยาบาลทั้งหลายได้ช่วยกันยื้อชีวิตพ่อ จนในที่สุดหมอได้ออกมากล่าวแสดงความเสียใจกับเรา ซึ่งเราก็ได้รู้ว่าพ่อได้จากเราไปอย่างไม่มีวันกลับเสียแล้ว
ในชั่วชีวิตของพ่อ พ่อไม่ยอมทำให้ใครเดือดร้อนในเรื่องที่เกี่ยวกับตัวพ่อได้เลย แม้กระทั่งวันที่จากพวกเราไป ก็ไม่ให้ลูกหลานหรือใคร ๆ ต้องมาดูแลพะเน้าพะนอในยามเจ็บป่วย พ่อได้จากพวกเราไปอย่างสงบ ซึ่งหลาย ๆ คนที่ได้ฟังต่างก็พากันกล่าวเหมือนนัดกันว่า คุณสันต์นี่มีบุญนะ ไปสบายจริง ๆ ผมก็คิดเช่นนั้น เหมือนกัน
ต่อแต่นี้ไป พวกเราจะไม่ยินเสียงหัวเราะของพ่ออีก ไม่ได้เห็นหน้าที่มีรอยเปื้อนยิ้มอยู่เสมอของพ่อ ไม่ได้ฟังเสียงปลอบใจ และให้กำลังใจของพ่อ ไม่มีใครเอาธุระในบางเรื่องของเราได้เหมือนกับพ่อของเราอีก แต่เมื่อวันเวลานี้มาถึงแล้ว ก็ต้องคิดว่า พ่อยังอยู่ เพียงแต่อยู่ในใจของเราเท่านั้น
ในนามของครอบครัวสายสกุล เพ็ชรฉ่ำ และญาติโกโหติกาที่ใกล้ชิดทั้งหมด ต่างก็ปลาบปลื้มใจเป็นอย่างมาก ที่เห็นท่านที่พ่อเคารพนับถือ พวกที่เคารพนับถือพ่อ มาเคารพศพพ่อกันอย่างเนืองแน่นทุกวัน ต้องกราบขอบพระคุณทุกท่านเป็นอย่างสูง ณ โอกาสนี้ด้วย กรรมใดใดของพ่อของพวกเราที่มีต่อพวกท่านทั้งหลาย ขอให้ท่านทั้งหลายได้โปรดอโหสิกรรมนั้น ๆ ด้วยเถิด.
ขอกราบขอบพระคุณทุกท่าน
จากใจของพวกเรา
แม่ตุ้น ชานล โสภา อ๊อด และลูกหลาน เหล่าเขยสะใภ้ทุกคน
แก้ไขเมื่อ 21 พ.ย. 49 20:55:58
จากคุณ :
สิงห์ทอง
- [
20 พ.ย. 49 21:15:48
]