เมื่อวันที่ฉันได้รักเธอ 
ฉันตื่นมาในเช้าของวันที่มีเสียงฟ้าร้องคำราม มองไปนอกหน้าต่างมืดครึ้มด้วยเมฆฝนสีดำ อากาศเย็นๆ ตอนเช้าของวันฝนใกล้ตกแบบนี้ มันทำให้หัวใจที่กำลังจมอยู่ในความเหงาเศร้ายิ่งเจ็บร้าวขึ้นไปอีก และฉันก็มิอาจห้ามภาพความทรงจำเก่าๆ ไม่ให้ปรากฏขึ้นในหัวใจได้ ทั้งที่ฉันควรจะทิ้งมันไปตั้งแต่เมื่อคืนนี้ตอนที่ร้องไห้ฟูมฟายราวกับคนบ้าคลั่ง
ไม่สิ...ฉันสมควรทิ้งมันไปนานแล้ว ตั้งแต่ตอนที่รู้ว่า...เขาไม่ใช่ของฉัน
ทุกเช้าของวันที่ผ่านมาแม้มันจะไม่สดชื่นอะไรมากมาย แต่การได้มีใครสักคนอยู่ในห้วงความคิดถึงยามลืมตานั้น มันก็สร้างความอบอุ่นเล็กๆ ให้หัวใจ...แล้วถ้าเช้านี้เรากลับต้องบอกตัวเองว่าให้สลัดความคิดถึงที่เคยมีทิ้งไปมันจะเป็นอย่างไร เพราะถ้าทิ้งความคิดถึงก็เท่ากับต้องทิ้งความอบอุ่นนั้นด้วย แล้วใครจะรับประกันล่ะว่าความเย็นของอากาศเช้านี้จะไม่เข้ามาทำร้ายหัวใจ...
สองปีที่ผ่านมาฉันไม่รู้เลยว่าทำได้ยังไง...ไม่รู้ว่าฉันเก็บความรู้สึกผิดที่แสนทรมานนั้นเป็นความลับได้อย่างไรตั้งนาน...
พี่เก้า เป็นรุ่นพี่ของฉันที่คณะ และเพราะห้องพักของฉันกับพี่เก้าอยู่ติดกันเราสองคนจึงสนิทกันมาก มากขนาดพาไปรู้จักทางบ้านที่อยู่ต่างจังหวัดเพื่อรับเป็นพี่เป็นน้องกัน...วันหนึ่งพี่เก้าได้พาใครบางคนมารู้จักกับฉัน เพราะวันนั้นเรานัดจะไปข้างนอกกัน แต่อยู่ดีๆ พี่เก้าก็เดินมาบอกด้วยท่าทีอายๆ ว่าขอพาใครไปด้วยอีกคน ฉันก็ตอบตกลงไปเพราะไม่เห็นว่าจะมีปัญหาอะไร...ใช่ วันนั้นฉันมองไม่เห็นปัญหาเลยจริงๆ
คนที่พี่เก้าพามารู้จักในวันนั้นเขาชื่อ พี่นภ และถึงแม้คำแนะนำของพี่เก้าจะบอกว่าพี่นภเป็น เพื่อน แต่สายตากับแก้มสีเรื่อของเธอก็บอกฉันได้เป็นอย่างดีว่า เธอไม่ได้รู้สึกกับเขาแค่นั้น ส่วนฝ่ายพี่นภจะคิดอย่างไรฉันไม่รู้ เพราะสีหน้าแววตาเขาว่างเปล่าไม่บ่งบอกความรู้สึกใด มีเพียงรอยยิ้มบางๆ ส่งมาเท่านั้น
ถ้าวันนั้นฉันรู้จุดจบของเรื่องนี้ ฉันขอเลือกนั่งเหงาอยู่ในห้องแทนการออกไปกับทั้งสองคน...แต่เพราะฉันไม่รู้ วันนั้นเลยเป็นจุดเริ่มต้นของเรื่องราว...
หลังจากวันที่ เรา ได้รู้จักกัน พี่นภก็เริ่มติดต่อมาหาฉันโดยการโทรเข้ามือถือ ตอนนั้นฉันแปลกใจและตกใจมาก พอถามว่าใครเป็นคนให้เบอร์ฉันไป เขาก็ไม่ยอมบอกไม่ว่าจะคาดคั้นเท่าไหร่ บอกเพียงว่าเขาโทรมาคุยด้วยเฉยๆ ไม่มีอะไร ฉันไม่ต้องคิดมาก...คุณว่าฉันโง่ไหมที่วันนั้นฉันไม่คิดมากตามที่เขาบอก
หากเมื่อวันเวลาผ่านไปเขาก็ยังโทรมาทุกวัน จนฉันเริ่มคิดมากขึ้นและไม่ต้องการให้เขาโทรมาอีก ฉันเลยบอกกับเขาออกไปตรงๆ เขาเงียบไปนานกว่าจะเอ่ยตอบกลับมาในสิ่งที่ฉันไม่คาดคิด
พี่ชอบแก้ม
คราวนี้เป็นฝ่ายฉันบ้างที่เงียบไป เขาเองก็อดทนรอโดยไม่พูดไม่ถามอะไรเลยสักคำ ฉันทั้งอึ้งทั้งสับสนแต่ในที่สุดฉันก็รู้ว่า...ฉันไม่ควรทำร้ายใคร
อย่าทำแบบนี้เลยค่ะ พี่เก้าเค้ารักพี่มาก ฉันบอกออกไปด้วยความมั่นใจ เพราะหลังจากวันที่พี่เก้าพาพี่นภมาแนะนำ เธอก็บอกเล่าความรู้สึกให้ฉันฟังอย่างไม่ปิดบัง และถึงแม้ฉันจะรู้ว่าพี่นภไม่ได้ชอบพี่เก้ามากไปกว่าความเป็นเพื่อน แต่ฉันก็รู้ตัวว่าไม่สมควรอย่างยิ่งที่จะไปทำร้ายจิตใจของพี่เก้า
แต่พี่ไม่ได้รักเก้า
งั้นพี่ก็ควรจะเริ่มรักได้แล้วล่ะค่ะ ฉันตอบไปเพียงเท่านั้นก็กดวางสายแล้วปิดเครื่องไป ความรู้สึกหลังจากวางสายจากเขา มันเหมือนโลกกำลังหมุนอย่างรวดเร็ว รู้สึกว่าสมองกำลังสับสนไปหมด หากนั่นก็ไม่แปลกเท่ากับที่หัวใจฉันรู้สึกเจ็บแปลบอย่างประหลาด...
...ฉันไม่มีวันทำร้ายพี่เก้าเด็ดขาด...บอกตัวเองอย่างหนักแน่น
คิดว่าพูดไปแบบนั้นแล้วทุกอย่างคงจบ พี่นภคงไม่มายุ่งกับฉันอีก จนกระทั่งวันหนึ่งตอนฉันเดินออกจากมหาลัยคนเดียว พี่นภมาดักรอฉันอยู่ด้านหน้า เขามาขอให้ฉันไปกินข้าวกับเขาเพื่อจะคุยอะไรด้วย แต่ฉันปฏิเสธไปและพยายามเลี่ยงหนี กลัวว่าใครจะมาเห็นเข้าแล้วพี่เก้าจะรู้
ทว่าเขาไม่ยอมแพ้...
ถ้าแก้มไม่ไปกับพี่ พี่จะตามแก้มไปถึงคอนโด ฉันชะงักฝีเท้าที่กำลังเดินหนีเขา และหันกลับไปเห็นว่าแววตาเขาไม่ได้ล้อเล่นหรือต้องการเอาชนะ หากมันดูจริงจังชัดเจนว่าเขาจะทำอย่างที่พูดแน่ถ้าฉันไม่ไปกับเขา
วันนั้นเขาพูดอะไรต่อมิอะไรมากมายให้ฉันฟัง รวมใจความแล้วคือยังไงเขาก็จะไม่ยอมเลิกราไปจากฉัน ถ้าฉันไม่บอกเขาว่า ฉันไม่ได้ชอบเขา หรือบอกว่าให้เขาออกไปจากชีวิตฉันโดยไม่ต้องมาให้เห็นหน้าอีก
อะไรก็ตามที่อยู่ในส่วนลึกของฉัน ฉันไม่เคยค้นหาคำตอบให้ตัวเอง เพราะฉันกลัวเหลือเกิน กลัวจะเจอความจริงที่ไม่อยากเจอ...ถ้าวันนั้นแววตาเขาไม่ดูเจ็บร้าวขนาดนั้น ไม่สะท้านไปถึงหัวใจส่วนลึกของฉัน ฉันก็คงพูดออกไปอย่างที่เขาบอก แต่เพราะเขามีเพียงความมุ่งมั่นจริงใจให้ฉันเห็นฉันจึงตอบเพียง
แก้มคงทำร้ายพี่เก้าไม่ได้หรอกค่ะ
ฉันคงไม่เถียงหรอกว่าคนเรานั้นเห็นแก่ตัวทุกคน เพราะฉันเองก็เห็นแก่ตัว ที่ฉันตอบแบบนั้นส่วนหนึ่งฉันไม่อยากทำร้ายพี่เก้าจริงๆ แต่ก็ไม่อาจทำร้ายคนที่มีสายตาเจ็บปวดตรงหน้าได้เช่นกัน หากเหนือสิ่งอื่นใด เพราะฉันเห็นแก่ตัว...ถ้าฉันตอบไปอย่างที่เขาบอก เขาคงไม่มายุ่งกับฉันอีก และทุกอย่างคงจบเพียงเท่านั้น แต่อย่างที่บอกฉันก็แค่มนุษย์ธรรมดาคนหนึ่งที่เห็นแก่ตัวเป็น ฉันจึงไม่อาจปฏิเสธหัวใจตัวเองอย่างที่ควรจะทำ
ไม่อยากเชื่อเลยว่าในหนึ่งวันจะเป็นได้ทั้งวันดีและวันร้ายในวันเดียวกัน...แต่ฉันก็ต้องเชื่อ เพราะหลังจากนั้น พี่นภยังคงใช้วิธีการเดิมๆ เพื่อนัดฉันออกไปข้างนอก เขายืนยันหนักแน่นว่าถ้าฉันหนีเขา เขาจะเดินเข้าไปบอกพี่เก้าถึงความรู้สึกทั้งหมดที่มีให้ฉัน ใครจะคิดอย่างไรฉันไม่รู้ รู้แต่ว่าฉันยอมออกไปกับเขา เพราะฉันกลัว กลัวกับการที่พี่เก้าจะรู้เรื่องนี้ พยายามบอกตัวเองว่า อีกไม่กี่เดือนทั้งพี่เก้าและพี่นภก็จะเรียนจบแล้ว...
และวันนั้น...ทุกอย่างคงจบลงโดยไม่มีใครต้องเสียใจ
หากพอใกล้วันนั้นเข้ามาจริงๆ ฉันกลับไม่แน่ใจ...หลายครั้งที่ (แอบ) ออกไปกับพี่นภ ฉันมีแต่ความรู้สึกผิด และทรมาน แต่ฉันก็ยอมรับกับตัวเองโดยไม่บอกให้เขารู้ว่า...ฉันรู้สึกดีทุกเวลาที่อยู่ใกล้เขา
ความผูกพันระหว่างเราดำเนินไปเงียบๆ โดยมีกระจกใสกางกั้นอยู่ตรงกลาง กระจกแห่งความรู้สึกผิด...พี่นภเป็นคนอ่อนโยน สุภาพ เขาไม่เคยล่วงเกินฉันเลย เอาใจใส่เสมอ และอีกหลายอย่างที่ทำให้ฉันไม่อาจปฏิเสธได้ว่าเขา รัก ฉันจริง แล้วฉันล่ะรักเขาหรือเปล่า...เขาเคยถามฉัน แต่ไม่เคยได้คำตอบ คำตอบที่ฉันตอบตัวเองไปนานแล้ว
ฉันไม่รู้หรอกว่าระหว่างเรามันเกิดจุดผิดพลาดตรงไหน...ตรงที่เราเจอกันช้าไป ตรงที่เราเห็นแก่ตัวมากเกิน หรือผิดตั้งแต่ต้น ตั้งแต่การได้พบกันของเรา...ฉันรู้แต่ว่าตอนจบมันคงไม่สวยงาม
ที่สุดแล้วของทุกเรื่องราว ทุกความรู้สึก...เมื่อฉันต้องเลือก ระหว่างความรักของตัวเอง ความรักของเขา และความรักที่ฉันมีต่อพี่เก้า กับความยุติธรรม...ฉันเลือก ความยุติธรรม
นอกหน้าต่างเม็ดฝนเริ่มโปรยปรายลงมาบางเบา ฉันเช็ดน้ำตาออกจากหางตา แล้วลุกขึ้นจากเตียงนอน ฉันต้องอาบน้ำแต่งตัวเพื่อไปเข้าร่วมพิธีสำคัญ...หยุดยืนมองหน้าตัวเองในกระจกเงา แม้ความรู้สึกเจ็บปวดจะยังรุกรานโหมกระหน่ำในหัวใจ ฉันก็ต้องปิดบังมันไว้ เก็บกดมันให้ลึกที่สุดในหัวใจ เพราะฉันเลือกแล้วที่จะให้ทุกอย่างเป็นไปแบบนี้ ฉันก็ต้องทำให้ดีที่สุด ต้องยิ้มให้ได้ ยิ้มด้วยความจริงใจและยินดี
...เพราะวันนี้ฉันต้องแสดงความยินดีในงานแต่งงานของพี่นภกับพี่เก้า...
มันคงเป็นความผิดอย่างมหันต์ ถ้าเราตัดสินใจแต่งงานกับใครคนหนึ่งเพียงเพราะใครอีกคนหนึ่งไม่รักเรา และมันคงเป็นความผิดบาปอย่างที่สุด ที่เราต้องดึงใครคนนั้นเข้ามาอยู่กับเราทั้งชีวิต โดยที่เราไม่สามารถให้ความรักเขาได้...ทั้งที่เขารักเราจนหมดใจ
ผมก้มมองชุด เจ้าบ่าว ที่ตัวเองสวมอยู่ มันดูสง่างามน่ามอง และทุกสายตาที่มองมามีเพียงความชื่นชมยินดีให้เห็น ดูภายนอกแล้วผมเหมือนเจ้าบ่าวทุกอย่าง ทว่าภายในผมรู้ดีว่าผมไม่มีคุณสมบัติของความเป็นเจ้าบ่าวเลยสักนิด...แม้ตอนนี้ผมจะยืนจับมือเจ้าสาวของตัวเองอยู่ก็ตาม
ผมเหม่อมองออกไปด้านหน้างานแต่งของตัวเอง...มองหาใครที่จารึกอยู่ในหัวใจ แต่ไม่เคยได้สัมผัส ไม่เคยได้จับมืออย่างที่ผมกำลังจับมือเจ้าสาวตัวเองในตอนนี้ อ้อ ไม่สิ ผมได้สัมผัสมือเธอครั้งหนึ่ง ครั้งสุดท้าย ของเรื่องราวระหว่างเรา สัมผัสแห่งการจากลา...ชั่วชีวิต
คืนนั้นเป็นคืนงานเลี้ยงรับปริญญาของผมกับเพื่อนๆ แน่นอนตอนนั้นมี เก้า เจ้าสาวของผมรวมอยู่ด้วย คืนนั้นเราเลี้ยงกันจนเลยเที่ยงคืนก็แยกย้ายกันกลับ ผมไปส่งเก้าที่คอนโดฯ เพราะเธอยังไม่ย้ายกลับบ้านที่ต่างจังหวัด หลังจากเก้าขึ้นห้องไปเรียบร้อยแล้ว ผมก็โทรหาใครบางคนที่อ้างว่าไม่สบายจึงไปร่วมงานเลี้ยงไม่ได้
ผมยังคงใช้วิธีเดิมๆ ในการบังคับเธอให้ลงมาหา วิธีที่แสนจะงี่เง่าและคนเป็นลูกผู้ชายเขาไม่น่าจะทำกัน หากผมก็ยอมทำเพราะผมคิดว่าในแววตาเธอมันมีอะไรบางอย่างซ่อนอยู่ อะไรที่ทำให้ผมคิดว่าผมไม่ได้ รักเธอข้างเดียว หากนั่นล่ะถึงจะเห็นอย่างนั้น แต่ถ้าเธอไม่ยอมรับผมก็ไม่อาจมั่นใจได้ เธอก่อกำแพงกระจกขึ้นสูงท่วมหัวจนผมไม่อาจฝ่าไปแตะต้อง หัวใจ เธอ ทำได้เพียงมองและใช้วิธีการบ้าๆ ดึงเธอมาอยู่ใกล้ๆ
แต่คืนนี้ล่ะ...คืนนี้ผมจะทลายกำแพงนั้นให้แตกออก ผมจะพูดกับเธอทุกสิ่ง และถ้าเพียงเธอบอกมาคำเดียวว่าเธอใจตรงกับผม ผมจะใช้วิธีบ้าๆ นี่เป็นครั้งสุดท้าย...เพราะผมจะบอกเก้าจริงๆ ว่า ผมรักแก้ม
เธอเดินลงมาหาผมอย่างระแวดระวัง เพียงได้เห็นหน้าเธอ แม้จะบูดบึ้งด้วยไม่สบอารมณ์ แต่แค่นั้นผมก็ยิ้มออก แค่ได้เห็นเธอหลังกำแพงกระจก ผมก็รู้สึกเหมือนหัวใจได้รดน้ำชุ่มฉ่ำไปทั้งใจ
ผมพาเธอกลับไปร้านเดิมที่เราเลี้ยงฉลองกันก่อนหน้านี้...ที่นั่นเพื่อนๆ ทุกคนยังรอผมอยู่ ก่อนหน้านี้เราเพียง เล่นละคร แยกย้ายกันกลับเท่านั้น...แก้มหันมามองหน้าผมงงๆ เมื่อเห็นว่าทุกคนนั่งกันพร้อมหน้า มิหนำซ้ำทุกสายตายังหันมาจับจ้องเธอด้วยรอยยิ้ม ผมเลื่อนเก้าอี้ให้เธอนั่งลงข้างๆ ขวัญ เพื่อนสนิทของเก้า ส่วนผมเดินเลี่ยงไปนั่งฝั่งตรงข้ามกับเธอ
ดูเธอจะงงและแปลกใจมากกับสภาพรอบกาย กับรอยยิ้มและสายตาของทุกคน เพราะหลายคนในที่นี้เป็นเพื่อนสนิทของเก้า...
ไม่ต้องตกใจหรอกจ้ะแก้ม พวกพี่เข้าใจทุกอย่างดี และคืนนี้พวกพี่แค่อยากชวนแก้มมาคุยด้วยเท่านั้น ขวัญเอื้อมมือไปจับแขนเธอ แล้วพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน ผมนั่งส่งยิ้มให้เธอ หากภายในใจนั้นกำลังลุ้นกับเรื่องที่จะพูดกันในอีกไม่กี่นาทีข้างหน้า
เอาล่ะเพื่อไม่ให้เสียเวลา พี่ว่าเราเข้าเรื่องกันดีกว่า พี่พงศ์ซีเนียร์ของคณะผมที่แก้มเองก็รู้จักดีพูดขึ้น ในขณะที่แก้มยังทำหน้างงอยู่ วันนี้พวกเราอยากให้แก้มเปิดใจ เราทุกคนรู้ทุกความเป็นไปของแก้มกับนภ พี่พงศ์หันไปยิ้มบางๆ ให้เธอ แก้มเบิกตาโต เธอคงไม่คิดว่าจะมีคนอื่นๆ รู้เรื่อง เรา มากขนาดนี้ หากเพียงไม่กี่นาทีเธอก็ปรับสีหน้าเรียบเฉยจนผมชักใจไม่ดี
Next>>
จากคุณ :
LonelySeason
- [
24 พ.ย. 49 20:40:58
]