ครั้งหนึ่งในความทรงจำ ตอน 1
พิทักษ์ โสภณ
วันนี้ผมไปดูหนังกลางแปลงที่วัดนะครับแม่
ลูกชายวัย 13 ปีกล่าวกะมารดาท่ามกลางตะเกียงน้ำมันแสงที่ค่อนข้างริบหรี่ หลังกินอาหารค่ำเสร็จก็เลย 3 ทุ่มไปแล้ว
อย่าไปเลยลูกวันนี้แม่ก็เหนื่อยมาก หาบขนมขายมาทั้งวัน แม่อยากพักผ่อน ลูกก็ควรพักผ่อน พรุ่งนี้จะได้ตื่นแต่เช้า จะได้มีแรงช่วยกันทำขนมขายพรุ่งนี้ เงินเราก็ไม่ค่อยจะมี ขนมก็ขายไม่ค่อยได้ นี่ก็ว่าจะเก็บเงินไว้ซื้อข้าวสาร
ผู้เป็นมารดากล่าวพลาง ยกขันน้ำขึ้นดื่มอย่างช้า ๆ พร้อมกับหวนนึกถึงฐานะในปัจจุบันที่ค่อนข้างลำบาก บ้านที่อยู่ก็ค่อนข้างเล็ก มีสภาพเก่าซอมซ่อ อยู่กันสองคนแม่ลูก หลังจากที่นางเลิกกับสามีเมื่อลูกชายมีอายุได้ 4 ขวบ
ไม่เป็นไรแม่ ผมไม่ต้องใช้เงินหรอก จะเดินไป ไม่ต้องเสียเงินอยู่แล้ว น่ะแม่ นะนะ ให้ไปนะ
ลูกชายกล่าวพลางลุกขึ้นเก็บจานไปล้างอย่างรวดเร็วอย่างทำเวลา เพราะจิตใจในขณะนี้จดจ่ออยู่กับหนังกลางแปลงที่วัด ที่คาดว่าน่าจะได้เวลาฉายแล้ว อีกหมู่บ้านหนึ่ง ที่ห่างออกไปไกลพอสมควร
เฮ้อ
มารดามองลูกชายแล้วถอนใจด้วยความอ่อนใจ นึกเป็นห่วงที่ลูกชายที่ชอบดูหนังเป็นชีวิตจิตใจ และหลายครั้งมักจะแอบหนีไปดูหนังที่หมู่บ้านไกล ๆ บ่อยครั้ง และถ้ารู้ว่ามีหนังกลางแปลงที่ไหน ก็จะไปให้ได้โดยไม่สนใจคำห้ามปรามของมารดา
ลูกจะไปยังไงละ ตอนนี้ก็ดึกแล้ว แม่ไม่ไปด้วยนะ รู้สึกเหนื่อย ถนนหนทางตอนกลางคืนก็ค่อนข้างน่ากลัว ไปคนเดียวระวังผีหลอกล่ะ
มารดาพูดเชิงขู่กึ่งล้อ เพื่อให้ลูกชายคนเดียวที่นางรักและห่วงที่สุดในชีวิต ให้เกิดความกลัวจะได้ไม่ไป
ผมไม่กลัวหรอกแม่ ผีมาสิดีจะได้ขอหวยซะเลย ฮิฮิ แม่อยากได้เลขเด็ดไม่ใช่หรือ
ลูกชายกล่าวตอบมารดาด้วยความคึกคะนองที่เกิดขึ้นในชั่วขณะ
ในความเป็นจริงแล้วการซื้อหวยเป็นความฝันของคนจน และเป็นที่นิยม จนเห็นการซื้อหวยเป็นเรื่องธรรมดาของชีวิตประจำวันไป ดังที่คำกล่าวเล่นกันเสมอ ๆว่า คนจนเล่นหวย คนรวยเล่นหุ้น
ให้มันจริงเถอะ กลัวแต่จะวิ่งเป็นหมาหางจุกตูดมากกว่า ไม่ทันได้ขอหวย
ผู้เป็นมารดากล่าวล้อด้วยความหมั่นไส้ในคำพูดของบุตรชาย
โฮ่งๆๆๆ บรื้อๆ ๆ ๆ ๆ
ฉับพลันปรากฏเสียงหมาหอนเสียงระงมรับกันเป็นทอด ๆ มาจากถนนทิศทางของบ้านใกล้เคียง ส่งเสียงเห่าหอนรับกันเป็นทอด ๆ พร้อมกันนั้นเหมือนมีเงาคนเดินตะคุม ๆ ผ่านถนนหน้าบ้านที่ค่อนข้างอยู่ใกล้ถนนไป
ไม่ต้องกลัวแล้วแม่ นั่น ๆ มีคนเดินที่ถนน น่าจะเป็นคนเดินไปดูหนัง ฮิๆๆ โชคดีของผม
ลูกชายกล่าวด้วยความดีใจในความโชคดีของตนเอง ว่าวันนี้ต้องได้ดูหนังแน่ ๆ หรือจะโชคร้ายไม่มีใครรู้ได้
ผมไปนะแม่
เด็กชายรีบพูดพร้อมกับวิ่งฝ่าความมืดไปที่ถนนอย่างรวดเร็ว เพื่อไม่ให้มารดาห้ามทัน หลังจากได้ตั้งใจไว้ว่าหลังกินข้าวเสร็จแล้ว ยังไงวันนี้ต้องไปดูหนังให้ได้
เออไอ้ลูกคนนี้มันดื้อจริง ๆ อย่าไปนะ เพี้ยงขอให้เจอดีเถอะ จะได้เข็ด หายดื้อบ้าง
ผู้เป็นแม่ร้องตามหลังลูกชายของนางที่วิ่งไปไกลแล้ว
Xxxxxxxxx
วันนี้เป็นคืนเดือนมืด
ในท่ามกลางความมืดสลัวที่พอเห็นทางเดินราง ๆ นั้น ท่ามกลางบรรยากาศข้างทางที่ค่อนข้างเงียบสงัด บ้านเรือนข้างทางมีบางส่วนที่ไปดูหนัง ที่ไม่ได้ไปก็ดับไฟนอนกันแล้ว
ทางที่เดินไปนั้น เป็นทางที่เชื่อมระหว่างหมู่บ้านที่ค่อนข้างห่างกันมาก มีบ้านตั้งอยู่ห่าง ๆ ซึ่งเป็นลักษณะตามปกติของหมู่บ้านในชนบท เมื่อ 20 กว่าปีที่แล้ว
ความเจริญทางด้านวัตถุยังไปไม่ถึง ไม่มีไฟฟ้า และสภาพถนนสายหลักที่โรยลูกรังที่ไม่ค่อยจะมีลูกรัง หรืออาจจะกล่าวได้ว่าเป็นวิญญาณของลูกรังซะมากกว่า ซึ่งตอนนี้มีแต่ดินฝุ่นแดง สลับกับดินทราย เนื่องจากขาดการเหลียวแล จากทางการ หรืองบประมาณไม่พอก็ตาม ทำให้มีสภาพเป็นหลุมเป็นบ่อ
ความบันเทิงที่พอจะหาได้ง่ายในสมัยนั้นก็คือ หนังกลางแปลงล้อมผ้าที่ฉายตามวัดนั่นเอง ซึ่งมีอยู่เป็นประจำ สำหรับคนไทยแล้ว
วัดเป็นศูนย์รวมทุกสิ่งมาตั้งแต่สมัยโบราณกาล ทั้งเป็นที่พึ่งทางด้านจิตใจ ทางกาย ในยามชาวบ้านประสพกับความทุกข์ในด้านต่าง ๆ และเป็นที่พึ่งทางด้านความบันเทิง เมื่อยามที่ต้องการแสวงหาความสนุกสนานเพลิดเพลินในบางครั้ง วัดก็เป็นที่ตอบสนองได้เช่นเดียวกัน วัดจึงเป็นสถานที่สำหรับแสวงหาที่พึ่งทางใจและกาย และเป็นสถานที่แสวงหาความบันเทิงของชาวบ้านในขณะเดียวกัน
xxxxxxxxxxx
ผู้ที่เดินอยู่เบื้องหน้าเด็กชายนั้น ในความรู้สึกของเด็กชายนั้นดูเหมือนว่า เดินเร็วพอสมควร แต่เงียบกริบ ไม่มีเสียงใดๆ ทั้งสิ้น ทั้ง ๆ ที่บรรยากาศในตอนนี้เงียบสงัด
ลักษณะการเดินของคนข้างหน้ามองเห็นเป็นเพียงเงาดำ ๆ ลิบ ๆ ข้างหน้าเท่านั้น ในใจของเด็กชายในขณะนี้รู้สึกว่าแปลก ๆ อย่างไรชอบกล แต่ก็นึกในใจว่าต้องรีบตามไปให้ทันคนข้างหน้าให้ได้ จะได้มีเพื่อนร่วมเดินเพื่อลดบรรยากาศที่น่ากลัวในขณะนี้
เนื่องจากว่าตอนที่เขาวิ่งออกมาจากบ้านนั้นรีบวิ่งมาอย่างรวดเร็ว เพื่อไม่ให้มารดาห้ามทัน จึงไม่ได้หยิบไฟฉายติดตัวมาด้วย การมาครั้งนี้มีเพียงเสื้อ กางเกงที่ขาดปุปะ และรองเท้าฟองน้ำเก่า ๆ คู่หนึ่งเท่านั้น ที่ติดตัวมา
ในขณะนี้สายตาของเขาจับจ้องเพียงเงาดำมืดเบื้องหน้าเท่านั้น
โอ้ย
เสียงเด็กชายร้องตกใจเสียงหลง เนื่องจากรู้สึกเท้าวูปลงไป เหมือนกับว่าตกวูปลงไปในที่ไหนสักแห่ง อีกทั้งรู้สึกคล้ายๆ เหมือนว่ามีใครฉุดดึง
จึงเหลือบมองฝ่าความมืดไปที่เท้าที่พอมองเห็นราง ๆ ก็พบว่า
ถนนมันสูง ๆ ต่ำ ๆ ไฟฉายก็ไม่มี เลยเดินไปในบริเวณที่เป็นหลุม ดีที่เป็นหน้าแล้งไม่มีน้ำ
เด็กชายนึกในใจ หลังจากได้ก้มมองดูที่ทางในแสงมืดสลัว ได้พบว่าตนเองตกลงไปในบริเวณที่เป็นหลุมของถนน จึงรู้สึกเบาใจ
เฮ้ย
ร้องขึ้นอีกครั้ง หลังจากเงยหน้าขึ้นจ้องมองฝ่าความมืด พบว่าผู้ที่ตนกำลังพยายามตามให้ทันนั้นหายไปเสียแล้ว
จึงพยายามตั้งใจมองเพ่งฝ่าความมืดไปอีกครั้ง
หายไปไหนแล้ว
เด็กชายรำพึงในใจ พร้อมกับเดินตามไปอย่างเร่งรีบ พร้อมกับมองไปรอบ ๆ ซึ่งมีแต่ความมืด พร้อมกับนึกในใจว่า
หวังว่าจะไม่มีอะไรโผล่มาตอนนี้นะ ไม่น่าดื้อรั้นไม่ฟังแม่เล้ย จะกลับบ้านไม่ได้แล้ว นี่ก็เดินมาเกินครึ่งทางแล้ว
เด็กชายนึกในใจ หลังจากพบว่าการที่ตนดื้อ ไม่ฟังคำห้ามปรามของมารดาในวันนี้ เป็นความผิดพลาดอย่างใหญ่หลวงจนแทบจะไม่ให้อภัยในความผิดของตนเอง
ในขณะที่ลังเลในใจอยู่ชั่วขณะที่กำลังเดินนั้น เมื่อพ้นทางโค้ง ซึ่งโค้งไปมาตามปกติ ของทางซึ่งเป็นทางเกวียนเก่า รู้สึกว่าเหมือนเห็นคนเดินลิบ ๆ ข้างหน้าไม่ห่างนัก ด้วยความกลัวว่าจะเดินตามไม่ทัน จึงร้องตะโกนไป
รอด้วย
เงียบไม่มีเสียงตอบจากผู้ที่เดินข้างหน้า และสังเกตดูความเร็วในการเดินยังสม่ำเสมอ ซ้ำยังทิ้งระยะห่างเหมือนในทีแรก จึงพยายามวิ่งตามอย่างรวดเร็ว แต่ให้ตายเถอะ แม้จะพยายามวิ่งตามด้วยความเร็วเท่าไร เหมือนว่าคนข้างหน้าจะยังคงรักษาระยะความห่างเท่าเดิม ด้วยระยะที่ไม่ห่างมากนัก ดูไม่ออกว่าคนข้างหน้าเดินหรือวิ่งกันแน่ ไม่มีเสียงฝีเท้า ไม่เสียงตอบรับ แต่มีความเร็วของการเดินที่สม่ำเสมอ
ทำไมถึงไม่รอนะ ยิ่งเดินไม่ทันอยู่ด้วย
เด็กชายนึกในใจ และพยายามเร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้นอีก แต่ดูเหมือนความเร็วในการเดินนั้นเหมือนจะไร้ความหมาย จึงผ่อนฝีเท้าลง ทันใดนั้นก็พบว่าคนข้างหน้าก็รักษาระยะความห่างไว้เท่าเดิม
น่าจะมีอะไรผิดปกติ
เด็กชายนึกอยู่ในใจ
คนข้างหน้าเป็นใคร ทำไม? ทำไม? ถึงมาเดินนำหน้าอยู่ในขณะนี้ ทั้งยังไม่ยอมรอ ไม่ยอมให้เดินตามทัน
โปรดติดตามตอน 2 จบ
จากคุณ :
thampitak 33
- [
26 พ.ย. 49 20:02:59
]