Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com | Torakhong.org | GameRoom


    --การอยู่กับคนที่เรารัก---

    เย็นวันนี้ ท้องฟ้าสีส้มมีแดดอ่อนๆ ผมมาอยู่สะพานข้ามแม่น้ำระหว่างทางกลับบ้าน
    ผมเป็นนักเรียนม.สี่กลับบ้านตอนสี่โมง สะพานแห่งนี้ผมตั้งชื่อมันเล่นๆว่าสะพานแมว
    เพราะเวลาที่ผมมาที่นี่ทีไร ผมมักเจอแมวสองสามตัวเดินเล่นกันไปมาอยู่บนนี้เป็นประจำ
    ถ้ามีอะไรต้องคิด หรือมีเรื่องกลุ้มใจอะไร ผมจะมาอยู่ที่นี่ บนสะพามข้ามแม่น้ำนี่แหละ
    เสียงครื่นน้ำที่เกิดจากเรือสันจรไปมา ผมคิดว่าฟังแล้วมันเพลินหูดีเหมือนกัน
    กลิ่นของน้ำที่นี่ผมคิดว่ามันคล้ายๆกับน้ำฝน มากกว่าที่จะเป็นน้ำจากแม่น้ำทั่วไป
    ว่าง่ายๆคือมันเป็นกลิ่นธรรมชาติที่ไม่หอมเหมือนน้ำหอม และไม่เหม็นถึงขั้นน้ำเน่า
    ดมแล้วเพลินดีผมคิดแบบนั้นนะ
    ผมสูดหายใจเอากลิ่นแม่น้ำเข้าไปจนเต็มปอด ผมชื่อบาสเพราะพี่ผมชื่อบอล
    ผมจึงต้องชื่อไปโดยปริยายพ่อแม่มักจะตั้งชื่อให้พี่น้องมีความสัมพันธ์กัน
    แม้ว่าชื่อนั้นจะฟังดูไม่ค่อยเพราะสักเท่าไหร่ก็ตาม วันนี่ผมมาอยู่นี่
    เพราะมีเรื่องให้ครุ้นคิดเหมือนเคย ผมอยู่ชมรมหนังสั้นของโรงเรียน
    รุ่นพี่บอกว่าต้องส่งบทหนังในสัปดาห์หน้า ในกลุ่มผม
    ผมรับหน้าที่เขียนบทซึ่งผมคิดว่าคงไม่ยากอะไร ซึ่งก็ไม่ยากอะไรจริงๆนั้นแหละ
    ผมมีที่ที่ใว้สำหรับยืนใช้ความคิด ผมมายืนที่นี่มองดูผู้คนไม่นานก็จะมีความคิดแวบเข้ามาในหัว
    หลังจากที่ยืนเท่าคางอยู่นาน ผมยังคิดอะไรไม่ออกแล้วก็เริ่มรู้สึกเมื่อยขาจึงออกเดินเล่นแถวนั้นดู
    ผมเดินไปตามทางเท้าของสะพานแมว รถวิ่งไปมาบางตา ไม่มีใครอยู่แถวนี่เลย
    คนส่วนมากที่ผมมองดูจะอยู่บนเรือข้ามฟาก สะพานแมวเป็นสะพานใหญ่และยาว
    ผมเดินไปตามทางเท้าเรื่อยๆ
    ผมเห็นผู้หญิงคนหนึ่งยืนอยู่ริมสะพานอยู่ไกลๆ
    เห็นท่าทีเธอยกมือเชิดที่หน้าอยู่บ่อยครั้ง ผมเดินต่อไปไกล้ๆ
    จนเมื่อไกล้พอ พอที่ผมจะเห็นเธอ ทีแรกก็ไม่แน่ใจ และผมก็ไม่อยากจะเข้าข้างตัวเองซะด้วย
    ผมเธอจำได้ดีผู้หญิงที่ยืนเชิดคราบน้ำตาที่ใหลรินลงมาอย่างไม่รู้จักหยุดนั้นคือเพื่อนสมัยเด็กของผมเอง
    แต่เธอมาทำอะไรที่นี่ละ ทำไมเธอถึงร้องไหเสียใจ
    ท้องฟ้าสีส้มคงจะไม่ว่าอะไรนะถ้าผมจะเข้าไปหาเธอ


    ปุกปิกเป็นผู้หญิงที่น่ารักมากๆ เธอเป็นผู้หญิงที่สวยที่สุดในสายตาของผมเลยก็ว่าได้
    ผมเจอเธอครั้งแรกตอนป.หนึ่ง เธอถูกย้ายมานั้งข้างผมเพราะสายตาเธอไม่ค่อยดี
    ผมเป็นคนตัวเล็กก็นั้งหน้าอยู่ก่อนแล้วด้วย เราสนิทสนมกับในเวลาไม่นาน
    ผมชอบทำให้เธอหัวเราะ เพราะเสียงหัวเราะคือความสุขผมคิดแบบนั้นนะ
    พอชั้นป.สองเรายังอยู่ห้องเดียวกันอยู่ แต่ไม่ค่อยได้คุยกัน
    ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม พอเราไม่ได้นั้งข้างกันแล้วเราก็ไม่ได้คุยกัน
    ตอนชั่วโมงพักเด็กผู้ชายก็มักจะไปทำอะไรแบบเด็กผู้ชาย มักจะไม่ได้ไปเกี่ยวข้องกับเด็กผู้หญิง
    ใครที่ไปเล่นกับเด็กผู้หญิง ส่วนใหญ่จะถูกมองว่าจะตุ๊ด ซึ่งตัวผมรับไม่ได้
    เราสองคนจึงเริ่มห่างเหินกันตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
    เราห่างเหินกันชนิดไม่คุยกันเลยมาตั้งแต่ตอนป.สาม มีน้อยครั้งที่จะทักทายกันบ้าง
    จนถึงตอนป.สี่เราไม่ได้อยู่ห้องเดียวกัน แล้วเธอก็มีแฟนคนแรก
    เขามีชื่อว่ากล้องเป็นคนตลกมีอารมณ์ขัน แต่สำหรับผม หมอนี่มันมุกฝืดมากกว่า
    ไม่รู้ต้องใช้จารบีอีกกี่ขวดกว่าจะแก้ความฝืดของไอ้หมอนี่ได้
    ผมกับปุกปิกไม่ได้คุยกันอีกเลย ผมรู้สึกชอบเธอ
    เธอเป็นรักครั้งแรก หลังจากจบป.หกผมย้ายโรงเรียน เธอก็เช่นกัน
    เราเคยพบกันในวันคืนสู่เหย้า เธอมาเพียงครั้งเดียวแต่ก็ไม่ได้คุยกัน ผมมางานคืนสู่เหย้าแทบทุกปี
    เพื่อหวังว่าบางทีอาจได้เจอ ไม่ก็ไม่เป็นแบบนั้น ผมไม่ได้เจอเธออีกเลย
    ในใจผมบางครั้งก็นึกถึงเธอขึ้นมาเฉยๆ เธอเป็นผู้หญิงที่ทำให้ผมรู้สึกดี
    ผมประทับใจในตัวเธอจนเดี๋ยวนี่ก็ยังไม่ลืมเธอ แม้จะไม่ได้คุยกันเลยก็ตาม
    เธอเป็นเหมือนภาพอดีตที่อบอวนไปด้วยกลิ่นไอของความคิดถึง


    เธอมาที่สะพานแมวนี้ทำไมกัน ผมถามตัวเอง ฆ่าตัวตายรึเปล่า
    ทำท่าจะโดดอีกต่างหาก คนเราก่อนที่จะฆ่าตัวตายก็จะต้องดื่นด่ำกับความเศร้าทุกข์โศกเสียจนหนำใจก่อน
    ให้ตายเถอะตอนนี่เธอกำลังทำแบบนั้นอยู่นี่หว่า จะทำไงดีละเนี่ย เข้าไปหาเธอ รึว่าเดินผ่านไปเฉยๆ
    ไม่ได้หรอก ถ้าผมปล่อยเธอไป ผมต้องเสียใจไปตลอดชีวิตแน่
    “ปุกปิบมาทำอะไรที่นี่น่ะ”
    เธอหันมามอง เหมือนอึ่งที่ได้พบผมโดยบังเอิญ
    เธออยู่ในชุดนักเรียนกระโปรงดำ เสื่อดูเข้ารูปกระโปรงไม่ยาวจนเกินไป
    เธอแต่งตัวแบบนี้มาตั้งแต่ตอนประถมผมยังจำได้ดี ตอนนี้เธอไม่ได้ใส่แว่นตาแล้ว คงใส่คอนแทรกเลนส์แทน
    “เราบาสไง จำไม่ได้เหรอ”ผมลองแยบถามกลัวเธอจะจำไม่ได้
    “จำได้สิ จำได้”เธอพยักหน้าตอบขณะยังเชิดน้ำตาอยู่
    “แล้วมาที่นี่ได้ไงเนี่ย”
    “ฉันจะมาฆ่าตัวตายน่ะ”
    “...”ผมอื่งผง่ะไปพักหนึ่งแล้วถามขึ้น“ทำไมละ”
    เธอถอนหายใจขณะมองดูเรือที่แล่นไหลไปตามสายน้ำอย่างเอื่อยเฉื่อย“ฉันท้อง”
    ผมอึ่งไปอีกครั้ง ใจหายวาบ“จะโดดจริงๆเหรอ”
    “ใช่”เธอพูดเสียงหนักแน่นไม่ลังเลใจ
    แต่แล้วเธอก็สะอื้นไหออกมาอีก“ฉันอยากตายเต็มทีแล้ว อย่าห้ามฉันเลยนะขอร้อง”
    ผมรู้สึกลำบากใจอย่างที่สุด แต่แล้วผมก็ตัดสินใจ“อย่าไปเลยนะ”ผมกุมมือเธอไว้ขณะพูด
    เธอส่ายหน้า“ไปจากที่นี่ซะ แล้วทำเป็นไม่รู้จักกัน”
    “ถ้าฉันโง่ ก็คงทำแบบนั้น”
    “อย่าหาเรื่องยุ่งยากใส่ตัวเลย ฉันเห็นเธอชอบเอาธุระคนอื่นมาเป็นเรื่องของเธอประจำ”
    จริงอย่างที่เธอบอก แต่ที่ทำแบบนั้น ผมอยากทำเองนี่นา
    ไม่มีใครบังคับสักหน่อย ผมกุมมือเธอที่วางอยู่บนราวจับสะพานใว้แน่น
    “ปล่อยฉันไปเถอะ ฉันหายไปเฉยๆจะดีซะกว่าสำหรับพ่อแม่ฉัน
    เข้าใจมั้ย ฉันในตอนนี่ไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว เธอเข้าใจฉันมั้ย”เธอพูดเสียงดังขณะมองมาที่ผม
    ความเศร้าเสียใจของเธอถูกส่งผ่านมาถึงผมด้วย
    “ฉันชอบเธอนะ ฉันไม่ยอมให้คนที่ฉันชอบมาตายไปต่อหน้าต่อตาฉันหรอก”
    “เธอยังไม่เข้าใจอีกเหรอ”เธอว่าขณะสะบัดมือเธอออกจากมือผม
    เธอจ้องมองผมราวกับว่าผมทำความผิดร้ายแรงมา
    “เข้าใจสิ ฉันถึงกำลังจะช่วยเธออยู่นี่ไง”
    “ช่วยฉันเหรอ เธอปล่อยฉันไปจะช่วยฉันได้มากกว่ามารั้งฉันเอาไว้แบบนี้”
    “ฉันจะทำทุกอย่างขอแค่ให้เธออยู่ต่อไป นะ ฉันขอร้อง”
    เธอหันกลับมามองหน้าผมแล้วเงียบลง
    “อย่าโดดเลยนะ ฉันจะช่วยเธอเอง ยังไงก็ได้บอกมาได้เลย”
    ปุกปิกกลืนน้ำลายลงคอจากนั้นจึงตั้งต้นเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดให้ผมฟัง
    เธอบอกผมว่าผู้ชายที่เป็นพ่อของเด็กในท้องเธอทิ้งเธอไป เธอไม่อยากทำแท้ง
    เธออยากเก็บเด็กในท้องใว้โดยไม่ให้พ่อแม่ของเธอรู้
    “งั้นขอเบอร์โทรเธอหน่อยสิ ถ้าฉันคิดวิธีช่วยเธอออกแล้ว ฉันจะติดต่อไป”ผมรู้สึกแปลกๆยังไงก็ไม่รู้
    คล้ายกับว่าผมกำลังจะจีบเธอยังไงยังงั้น ทั้งที่สถานการ์ณตอนนี่ มันไม่น่าจะมาคิดเรื่องแบบนี้เอาเสียเลย
    เธอบอกเบอร์โทรมาให้ผมแล้วมองออกไปตามแม่น้ำต่อ เธอทำใบหน้าเศร้าสร้อยแล้วเอ่ยขึ้น
    “ที่ฉันต้องการคืออยากเก็บเด็กคนนี้ใว้โดยไม่ให้พ่อแม่ฉันรู้”
    “เธอกลับบ้านไปก่อนนะ แล้วอย่าทำอะไรให้ผิดสังเกตุ
    ถ้าพ่อแม่ของเธอถามอะไร ให้ปิดบังใว้ก่อน เข้าใจนะ”ปุกปิกรับปาก เราคุยกันอีกพักใหญ่จนเธอรู้สึกดีขึ้นแล้วจึงกลับไป
    ผมยังอยู่บนสะพาน แมวสองสามตัวคลอเคลียเล่นกันอยู่แถวนั้น ท้องฟ้าตอนนี้กลายเป็นสีส้มเข้ม
    ผมค่อยๆเดินกลับบ้าน ระหว่างผมคิดหาวิธีช่วยเธอ ผมรู้สึกดีที่ได้คุยกับเธออีก
    แต่เรื่องที่ได้รู้มาจากเธอกลับทำให้ผมรู้เป็นห่วงเธออย่างบอกไม่ถูก



    เวลาผ่านเลยไปสองเดือนอย่างรวดเร็ว ปุกปิกหนีออกจากบ้านตามแผน
    พี่บอลของผมจัดการเรื่องทุกอย่างให้ ท้องเธอโตขึ้นจนสามารถสังเกตุเห็นได้
    ตอนนี่ก็มาอาศัยอยู่ที่บ้านของผมเอง พ่อแม่ไม่ว่าอะไร
    แรกๆก็สงสัยอยู่บ้าง พวกเขาคิดว่าผมเป็นคนทำเธอท้อง แต่ผมบอกไปว่าเขาเดือดร้อน
    พ่อแม่ผมเป็นคนใจดี ได้ยินแบบนั้นจึงไม่ว่าอะไร
    “พี่ฉัน เขาบอกว่าอีกกี่เดือนถึงจะคลอดเหรอ”
    “อีกเดือนหนึ่งน่ะ”
    “ดื่มอะไรหน่อยมั้ยเดี๋ยวฉันไปเอามาให้”หลังจากนั้นเป็นต้นมา
    ผมตั้งต้นดูแลเธอเป็นอย่างดี เพราะผมชอบเธออยู่แล้ว แล้วเธอก็ตั้งท้องอยู่
    ไปไหนไม่ได้ หลายๆครั้งผมถามเธอว่าอยากได้อะไรมั้ย เธอมักจะเกรงใจแล้วบอกปัดไปเสมอ เธอมักคิดอะไรเงียบๆคนเดียว
    จนถึงวันที่สิบห้าที่เราอยู่ด้วยกัน ผมถามคำถามที่อยากรู้มาตลอด ผมไม่อยากบีบคั้นอะไรเธอ
    แต่ผมก็อยากรู้ ว่าคำตอบจะเป็นอย่างที่ผมคิดใว้มั้ย
    “นิ บาส ถ้าฉันคลอดเด็กออกมาแล้ว เธอช่วยเลี้ยงเขาใว้ก่อนได้มั้ย”
    “ได้สิ”ผมน่ะ แกว่งตีนหาเสี่ยนไปแล้ว
    เรื่องรับเลี่ยงเด็กเอาไว้ ผมเตรียมใจมาก่อนแล้วละ“ฉันถามอย่างสิ พ่อของเด็กน่ะเป็นใครเหรอ”
    “เธอไม่รู้จักเขาหรอก”ได้ยินเธอพูดแค่นี่ก็รับรู้ได้แล้วว่าเธอพยายามจะปกป้องเขาอยู่
    “เธอยังรักเขาอยู่เหรอ”
    เธอเงียบไม่พูดสิ่งใด เธอถอนหายใจแล้วมองออกไปนอกหน้าต่าง
    สีหน้าของเธอดูไม่มีความสุขเอาเสียเลย ผมตระหนักได้แล้วนึกย้อนกลับไป
    ตลอดเวลาที่เธออยู่ที่นี่ ดูเธอไม่เคยมีความสุขสักนิด ที่ผมช่วยเธอใว้ก็เพราะผมชอบเธอคนนี่
    และผมก็อยากให้คนที่ผมชอบมีความสุข


    สองวันต่อมาผมนึกวิธีจัดการทุกอย่างออก ผมโทรไปหาปุกปิบในเย็นวันศุกร์ ปุกปิกรับสาย เสียงรอบด้านดังอื่ออึง
    “นี่บาสพูดนะ อยู่ไหนเนี่ย เสียงดังชะมัดเลย”ผมโทรคุยกับเธอจากตู้โทรศัพน์สาธารณะของโรงเรียน
    “อยู่บนรถเมย์ บาสนึกวิธีออกแล้วเหรอ”
    “อืม แต่ก็ไม่แน่ใจว่าจะใช้ได้รึเปล่าน่ะ ก็เลยอยากจะโทรมาปรึกษาก่อน”
    “แล้วยังไงเหรอ วิธีน่ะ”
    “ในช่วงที่เธอไกล้คลอดน่ะ ให้เธอหนีออกจากบ้านแล้วก็มาคลาดลูก แค่นั้นแหละ”
    “มันจะได้ผลเหรอ”
    “ได้สิ”
    “แล้วจะทำคลอดที่ไหนละ”
    “ก็ที่โรงพยาบาลไง พี่ชายฉันรับผิดชอบให้เอง”
    “พี่ชายของบาสเหรอ”
    “ใช้ เขาเป็นหมอน่ะ โชคดีหน่อยนะ”

    แก้ไขเมื่อ 28 พ.ย. 49 20:31:19

    จากคุณ : smallAuToJ - [ 27 พ.ย. 49 22:13:42 ]

 
 


ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com | Torakhong.org | GameRoom