เมื่อคืนนั่งดูรายการย้อนรอย ทางไอทีวี พิธีกรรายการ พาไปดูหิ่งห้อยที่อำเภออัมพวา จังหวัดสมุทรสงคราม ซึ่งชาวบ้านที่อำเภออัมพวา ทำเป็นรีสอร์ทให้นักท่องเที่ยวเข้ามาชมความงามของธรรมชาติ โดยเฉพาะการไปดูหิ่งห้อยยามค่ำคืน
สายตาของผมจ้องมองที่จอโทรทัศน์อย่างไม่ละสายตา แต่จินตนาการของผมกลับย้อนคืนไปสู่วันเวลาแห่งวัยเยาว์
วัยเยาว์ที่แวดล้อมไปด้วยต้นไม้ใบหญ้า บ้านแต่ละหลังของหมู่บ้านเกิดของผมในวัยเยาว์ แม้บ้านแต่ละหลังอยู่ไม่ห่างกัน แต่มีต้นไม้นานาพันธ์ขึ้นอยู่ทั่วไป ขณะนั้นที่หมู่บ้านยังไม่มีไฟฟ้า ยามค่ำคืนที่คืนเดือนมืดจึงมือสนิท และยามค่ำคืนที่เป็นคืนเดือนเพ็ญ ดวงจันทร์จึงแจ่มกระจ่าง
ทุกค่ำคืน ผมจะนั่งมองหิ่งห้อยที่บินไปมารอบๆบริเวณบ้าน บางคืนหิ่งห้อยบินพลัดหลงเข้ามาที่บ้านผมจะจับมันมาใส่ในขวดแก้วใส เอากระดาษมาอุดปิดฝาขวดไว้ เคลื่อนไหวไปมาอยู่ในขวด และกระพริบแสงที่งดงามของมันอยู่ตลอดเวลา แล้วผมก็นึกขึ้นมาได้ หากปิดปากขวดอย่างนี้มันคงตายแน่ จึงหาด้วยเย็บผ้าของแม่มาพันไปทั่วบริเวณปากขวด เพื่อให้มีช่องอากาศหายใจ
แม่เตือนว่าอย่าเอาไปนอนใกล้ๆ เพราะกลัวมันจะเข้าหูหรือไม่ก็มีแมลงเล็กๆชนิดใดชนิดหนึ่งมาเข้าหู ผมต่อลองกับแม่ขอตั้งไว้บนหิ้งกระจก ซึ่งบ้านสมัยนั้นจะทำเป็นหิ้งกระจกที่ยกสูงระดับใบหน้าของแม่พอดี บนหิ้งกระจกจะมีแป้ง หวีสำ และของใช้สำหรับแต่งตัวอื่นๆวางไว้ ผมวางไว้บนริมของหิ้งกระจก เมื่อนอนจึงสามารถมองเห็นแสงกระพริบของหิ่งห้อย จนกระทั่งหลับใหล
บางคืนผมหลบสายตาแม่ลงไปวิ่งไล่จับหิ่งห้อยมาได้เกือบสิบตัว ที่ต้องหลบแม่ก็เพราะว่า กลางคืนแม่ห้ามลงจากบ้าน กลัวจะถูกงูกัด
แต่เมื่อผมหลบจับหิ่งห้อย แล้วแม่เห็นผมถือขวดที่มีหิ่งห้อยอยู่ภายในขวดแก้วใส แม่ก็จะตำหนิที่ฝืนคำสั่ง แต่ก็ไม่ดุ เพียงแค่เตือนว่าอย่าให้มันหลุดออกมา มันอาจเข้าหู เป็นอันตราย และไม่ลือที่จะย้ำว่า รุ่งเช้าให้รียปล่อยมันไป เพราะสงสารมัน มันจะได้กลับไปสู่อิสรภาพของมันดังเดิม
ฤดูหนาว เป็นบรรยากาศที่ผมมักจะจับหิ่งห้อยมาใส่ขวด เพราะมันเป็นบรรยากาศที่ผมรู้สึกไปเองว่า มีความสุขที่สุดที่ได้เห็นหิ่งห้อยในฤดูนี้
ถ้าหากย้อนเวลาได้
ผมอยากจะกลับไปอยู่ในห้วงเวลานั้นอีกสักครั้ง
ความรู้สึกของผมมาสะดุดลงตรงที่พิธีกรรายการสัมภาษณ์นักท่องเที่ยว เป็นผู้หญิงสาว เธอบอกว่าชอบแสงหิ่งห้อยมาก เหมือนกับแสงไฟกระพริบบนต้นคริสต์มาส และผู้หญิงสาวอีกคนหนึ่งก็เปรียบเทียบเช่นเดียวกัน
ผมฝันในวัยเด็กของผมก็พลันหยุดชะงักลง เพราะเธอทั้งสองคงเป็นชาวพุทธอย่างไม่ต้องสงสัย ซึ่งถ้าหากเธอเป็นคริสต์ ก็ต้องเป็นคาทอลิก ไม่ใช่คริสต์เตรียนอย่างแน่นอน เพราะคริสต์เตรียนจะไม่มีพิธีกรรม นับถือแต่เพียงพระโลหิตและพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระผู้เป็นเจ้า อธิษฐานหรือสื่อสารต่อพระผู้เป็นเจ้าโดยตรง แต่กลับเปรียบเทียบกับไฟของต้นคริสต์มาส
ถ้าหากเธอทั้งสองเปรียบเทียบกับเปลวเทียนของพุทธศาสนิกชนที่กำลังจุดเทียนเวียนรอบพระอุโบสถ ซึ่งเปลวเทียนจะวับแวมตามกระแสลม แม้ว่ามันจะไม่เหมือเสียทีเดียวนัก แต่ก็คงจะให้ความรู้สึกที่ดีกว่า
แต่หากจะกล่าวไปแล้ว อาจจะเกี่ยวเนื่องกับประสบการณ์ในชีวิต เพราะสิ่งแวดล้อมของเธอทั้งสองอยู่ที่กรุงเทพฯ มีอารยะธรรมหลากหลายที่เธอทั้งสัมผัสตั้งแต่วัยเยาว์ ไม่ได้อยู่ท่ามกลางสิ่งแวดล้อมที่ฮ่อมล้อมไปด้วยต้นไม้ใบหญ้า และมีวัดที่เป็นศูนย์รวมจิตใจเพียงแห่งเดียวของหมู่บ้านเหมือนกับชีวิตของผมในวัยเยาว์
ประสบการณ์ในวัยเด็กที่ต่างกัน ประสบการณ์และจินตนาการจึงแตกต่างกัน
การซึมซัมความงามก็น่าจะแตกต่างกัน
แก่นแท้ของความเป็นคนไทยในการแสดงออก ในการใช้ชีวิตในสังคมย่อมแตกต่างกันออกไป
โลกเปลี่ยนไปแล้ว
ความคิดและจินตนาการก็แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
แม้ว่าเราจะเห็นหิ่งห้อยเช่นเดียวกัน
เกรียงไกร หัวบุญศาล
เวลา 00.00 น. ๓ พฤศจิกายน ๒๕๔๙
แก้ไขเมื่อ 04 ธ.ค. 49 10:42:07
แก้ไขเมื่อ 04 ธ.ค. 49 10:41:46
จากคุณ :
huaboonsan
- [
4 ธ.ค. 49 10:41:19
]