นานเท่าไรแล้วก็ไม่รู้ที่ฉันไม่เคยหันกลับไปมองว่า ความสัมพันธ์แย่ ๆ ระหว่าพ่อกับลูกสาวอย่างฉันนั้น แย่ลงไปเรื่อย ๆ จนถึงขั้นวิกฤต และฉันเองก็ไม่เคยให้ความสนใจว่า ฉันจะต้องกลับไปกู้วิกฤตการณ์ระหว่างฉันกับพ่อ ให้ดีขึ้น
ระยะเวลามันอาจจะเนิ่นนานเท่ากับระยะเวลาที่ฉันหันหลังออกจากบ้านมา และนั่นคือสิ่งที่แม่ฉันเคยเรียกว่า อาการหัวแข็งกำเริบ
แม่หรือใคร ๆ ที่รู้จักฉันกับพ่อเป็นอย่างดีมักจะพูดเสมอว่า เรามีนิสัยที่ถอดกันออกมายังกะแกะโคลนนิ่งเชียวล่ะ
แทนที่ลูกสาวเพียงคนเดียวจะถอดแบบแม่ออกมา แต่ก็เปล่า ฉันดันทะลึ่งถอดแบบนิสัยของพ่อออกมาทั้งหมด รวมถึงหน้าตาที่เหมือนพ่อมากกว่าเหมือนแม่ แต่พวกพี่ชายอีกสามคนของฉัน หน้าตาดันไปคล้ายแม่เกือบจะทุกคน
เคยได้ยินใครสักคนบอกว่า ลูกสาวเหมือนพ่อจะไม่ตกยาก ส่วนลูกชายเหมือนแม่จะดี อันนี้ฉันไม่ยืนยันนะ เพราะตั้งแต่ฉันจำความได้ ฉันมักขัดแย้งกับพ่อเสมอมา และในทุกเรื่องเสียด้วย ไม่ว่าฉันจะบอกว่ามันดีแค่ไหน พ่อมักจะหาที่มันแย่ขึ้นมาติจนได้
เรียกว่า เราไม่สามารถคุยกันดี ๆ ได้เกินสองวินาที เป็นอันต้องตะโกนใส่กันเสียทุกครั้ง แม่คเยบอกว่า ที่ฉันและพ่อเป็นอย่างนี้ เป็นเพราะเราเหมือนกันจนเกินไป ดื้อรั้น หัวแข็ง ถ้าหัวไปชนกำแพงเลือดไม่ไหลเป็นไม่เคยท้อ เคยถอย
มีครั้งหนึ่ง ฉันอยากเรียน เขียนแก้วมาก พอไปบอกพ่อ พ่อมองแล้วบอกฉันว่า ถ้าเทอมนี้ฉันทำเกรดได้ สามกับสี่ทุกวิชา พ่อจะให้เรียน
แต่พอถึงเวลานั้นจริง ๆ ฉันทำเกรดได้อย่างที่พ่อหวัง สุดท้ายฉันก็ไม่เคยได้ไปเรียนในสิ่งที่ฉันรอคอยสักนิด
อีกบางครั้ง ที่ฉันอยากออกไปเที่ยวกับเพื่อน ๆ บ้างหลังเลิกเรียน แต่กลับกลายเป็นว่า ทุกสี่โมงเย็นฉันต้องกลับถึงบ้าน เลยไปได้นิดหน่อย แต่ถ้าเลยไปกว่าสี่โมงสิบห้านาที ฉันจะถูกซักฟอกจนขาวยิ่งกว่าผ้าแช่ไอเตอร์เสียอีก
ส่วนเรื่องแฟนนั้นไม่ต้องเอามาพูดถึง แค่เพื่อนผู้ชายโทรศัพท์มาหาที่บ้าน พ่อที่นั่งดูทีวีอยู่มักจะเปิดทีวีให้เสียงพุ่งขึ้นสูงสุดเสมอ จนฉันทนไม่ได้ต้องวางโทรศัพท์ไปเอง นั่นเป็นสิ่งที่ทำให้พวกพี่ชายฉันรื่นเริงบันเทิงใจเป็นที่สุด และพวกเขามักจะช่วยพ่อดูแลฉันอย่างใกล้ชิดสนิทแนบยิ่งกว่าปาท่องโก๋
ครั้งพอเริ่มเข้ามหาวิทยาลัย ฉันนึกว่าฉันคงพ้นจากการก่อกวนและกักขังของพ่อ แล้ว แต่ก็เปล่า พ่อยังคงมีอิทธิพลต่อฉันในทุกแง่ แม้ว่าฉันจะแอบดื้อดึงอย่างเงียบ ๆ แต่ก็ไม่เคยเอาชนะพ่อได้สักครั้ง พ่อมันมีวิธีที่จะชนะฉันอยู่เสมอ เหมือนคำพูดที่ว่า
คนแก่อาบน้ำร้อนมาก่อน มันรู้ทันเด็กเสมอ
คณะศิลปกรรม คือคณะที่ฉันใฝ่ฝันอยากเข้าไปเรียน แต่นั่นคือคณะที่พ่อไม่ต้องการให้ฉันได้เข้าไปเรียนด้วยเหตุผลของพ่อที่บอกว่า จบออกมาแล้วจะทำมาหากินอะไรได้ เท่าที่ฉันจำได้ นั่นเป็นครั้งแรกที่เราทะเลาะกันรุนแรง เรื่องที่ฉันต้องการขีดเส้นทางเดินเอง แต่พ่อไม่มีวันยอม
ฉันจำใจต้องลงเรียนคณะบัญชีตามเส้นที่พ่อขีดมา โดยมีแม่เป็นคนเกลี้ยกล่อมอยู่นาน และนั่น มันจึงเป็นเหมือนเหตุแห่งความแตกร้าวระหว่างฉันกับพ่อ ที่ค่อย ๆ เพิ่มขึ้นตามวันเวลา
มีอยู่ครั้งหนึ่งที่ฉันแอบได้ยินพ่อกับแม่คุยกัน ถึงเรื่องฉันกับพวกพี่ชาย ประโยคที่ฉันจำติดหูมาจนทุกวันนี้ก็คือ
ลูกชายจะเรียนอะไรก็แล้วแต่พวกมัน แต่สำหรับลูกสาวต้องเรียนบัญชีไว้ก่อน จบออกมาจะได้หางานได้ง่าย ๆ
ไม่รู้ว่าพ่อรู้ตัวหรือว่าเปล่าว่าตอนนี้มันยุคไหนกันแล้ว งานบัญชีที่พ่อบอกว่าหาง่าย ๆ มันอาจไม่ได้ง่ายอย่างที่พ่อเข้าใจ ส่วนฉันก็ได้แต่เก็บกลืนความไม่ชอบใจเอาไว้ และก้มหน้าก้มตาเดินตามกรอบที่พ่อขีดไว้ให้
ส่วนพวกพี่ชายสามคนของฉัน เริ่มไปมีชีวิตของพวกเขาเอง พี่ชายคนโต ทำงานในโรงงานขนาดใหญ่ ในตำแหน่งผู้จัดการโรงงาน ในขณะที่ฉันเริ่มเข้าปีหนึ่ง ส่วนพี่ชายคนที่สอง กำลังเรียนอยู่ในปีสุดท้าย และพี่ชายคนที่สามเรียนอยู่ในปีที่สาม แต่ที่แย่ที่สุดก็คือเค้าดันเรียนอยู่ในมหาลัยเดียวกับฉัน
เค้าก็เลยเป็นเหมือนสปายของพ่อ ที่คอยสอดส่องพฤติกรรมของฉันโดยปริยาย
ฉันพยายามที่จะอดทนกับ การตีกรอบของพ่อมาตลอด โดยมีแม่คอยปลอบโยนเสมอ ฉันไม่เคยเข้าใจในสิ่งที่พ่อ พยายามขีดเส้นและตีกรอบให้เดิน และถึงแม้ว่าทุกคนจะมองว่ามันเป็นสิ่งที่ดีที่สุดที่พ่อทำให้ฉัน แต่สำหรับฉันในเวลานั้นมันเป็นสิ่งที่แย่ที่สุดเท่าที่เคยรู้สึกมา
จากคุณ :
เปียร์รุส
- [
4 ธ.ค. 49 22:38:29
]