Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com | Torakhong.org | GameRoom


    เสียงสวดมนต์

    เสียงสวดมนต์

    แสงสีทองที่ส่องประกายออกมาจากดวงเทียนคู่หน้าพระพุทธรูป และกลิ่นหอมอบอวลจากธูปสามดอกที่ปักไว้บนกระถางธูปบนหิ้งพระ ผมนั่งคุกเข่าพนมมืออย่างสงบ ในขณะที่ปากก็ท่องสาธยายมนต์คาถา และพระสูตรทั้งหลายที่ผมจำได้ และสวดเป็นประจำ

    ทุกครั้งที่สวดมนต์จิตใจของเราจะสงบมีสติและสมาธิเพิ่มมากขึ้น มีผู้รู้หลายท่านกล่าวว่าการสวดมนต์เป็นการสร้างบารมีอย่างหนึ่ง และสวดมนต์ก็ช่วยทำให้พ้นทุกข์ได้ พระอริยะเจ้าท่านบอกว่า กรรมของมนุษย์เปรียบเสมือนเม็ดทรายในแม่น้ำ สวดมนต์แต่ละคำก็เหมือนกับทำความเพียรหยิบเม็ดทรายออกจากแม้น้ำไปเรื่อย ๆ จนมันหมดในที่สุด และผู้ใดที่หมั่นสวดมนต์เป็นประจำก็เหมือนกับสร้างเกราะคุ้มกันภัยให้ตนเอง

    ผมเคยสงสัยและถามตัวเองว่าจริงหรือว่าการสวดมนต์เพียงแค่การนั่งสวดมนต์หน้าหิ้งพระใช้เวลาไม่ถึงชั่วโมงจะสร้างบารมีได้ และยังช่วยให้ตนเองและผู้อื่นพ้นทุกข์ได้จนกระทั่งได้พบเหตุการณ์ประหลาดกับตนเอง

    ประมาณสองปีที่แล้วผมก็สวดมนต์ตามปกติก่อนเข้านอน จะใช้เวลาสวดประมาณเกือบชั่วโมงเมื่อสวดเสร็จแต่ละครั้งเราก็จะตั้งจิตแผ่เมตตาไปให้สรรพสัตว์ทั้งหลาย แต่ในช่วงตอนท้ายคำแผ่เมตตามีวรรคที่ว่า ข้าพเจ้าขอแผ่เมตตาให้กับเหล่าบรรดาสัตว์นรกทั้งหลาย เปรตทั้งหลาย อสุรกายทั้งหลาย ภูตผีปีศาจทั้งหลาย สัมภเวสีทั้งหลาย สรรพวิญญาณทั้งหลายทั่วทั้งภิภพจักรวาลนี้ด้วยเทอญ ผู้ใดเป็นทุกข์ขอให้พ้นจากทุกข์ ผู้ใดมีความสุข ขอให้มีความสุขยิ่ง ๆ ขึ้นไป ในช่วงที่เรากำลังกล่าวคำแผ่อยู่นี้จิตเกิดมีความตั้งมั่นสงบเป็นสมาธิมากขึ้น ทำให้อำนาจพลังในการแผ่เมตตาไปยังวิญญาณทั้งหลายมีมากขึ้นด้วย

    คืนนั้นผมก็เข้านอนตามปกติไม่ได้คิดเรื่องอะไรแต่กับเกิดนิมิตเห็นว่า ผมกำลังเดินอยู่บนที่แห่งหนึ่งเป็นเวลาช่วงโพล้เพล้ กำลังย่ำมืดย่ำค่ำ บรรยากาศเงียบวังเวง ในมือของผมก็ถือถุงข้าวหนึ่งถุงในใจตอนนั้นคิดว่าจะเอาไปทำบุญให้กับวิญญาณทั้งหลายโดยไม่จำเพาะเจาะจงให้ใคร  เดินมาเรื่อย ๆ ก็มาถึงหน้ากำแพงวัดไม่รู้ว่ามีวัดอยู่ที่นี่มาตั้งแต่เมื่อไหร่ ตอนที่กำลังจะก้าวขาข้ามพ้นธรณีของประตูวัดเข้าไปมีเสียงร้องเรียกชื่อของผม

    “โจ จจจจจจจจจจ “  เสียงนี้เป็นเสียงผู้หญิงที่ดังโหยหวนแล้วก็แหบแห้งพิกล เหมือนกับเราได้ยินว่ามันลอยตามลมมาจากที่ไกลแสนไกล  

    ผมตกใจหันหน้ากลับไปดู เห็นร่างของผู้หญิงคนนึง  ไว้ผมทรงบ๊อบสั้นประมาณหูยืนก้มหน้าอยู่ไม่เห็นใบหน้าเห็นแต่เงาดำ ๆ คลุมหน้าไว้ เธอใส่ผ้าถุงสีดำกระโจมอก เธอมีร่างกายใหญ่โตสูงเหนือหลังคาบ้านขึ้นไปอีกยืนทะมึนเป็นสูงกว่าต้นไม้ เธอยืนนิ่งไม่ไหวติง มองจากเนื้อตัวแล้วเธอไม่ได้เปื่อยเน่าแต่ว่ามีผิวที่ซีดขาวเผือดเหมือนคนตายที่แช่น้ำแข็ง  ตอนนั้นใจของผมก็บอกว่าเธอเป็นเปรตมาขอส่วนบุญ

    สักครู่เธอยื่นมือขนาดมหึมาขนาดเท่าใบตาลมาหาผม ตรงไปยังถุงข้าวที่ผมถือเอาไว้และกระชากออกไปด้วยเรี่ยวแรงมหาศาล ผมยังรู้สึกได้ถึงแรงลมที่ปลิวไปตามแรงมือของเธอ เมื่อเปรตตัวเมียตนนี้มีข้าวอยู่ในมือเธอก็ไม่ว่าอะไรร่างกายใหญ่โตของเธอก็ค่อย ๆ สลายหายไป ตอนนั้นจิตของผมบอกว่าเธอรีบมาตัดหน้าเอาผลบุญส่วนนี้ไปก่อนที่ผมจะนำเข้าไปทำบุญในวัดเพราะว่าเราจะไปทำบุญให้โดยไม่เจาะจงใคร ถ้าคิดแล้วก็เป็นเรื่องแปลก เพราะตอนนั้นอยู่ที่ต่างประเทศไม่ได้ใส่บาตรมีแต่สวดมนต์อย่างเดียว แต่ผลบุญตัวนี้ก็ยังสามารถแผ่ไปให้เปรตตนนี้ได้ ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเขารู้จักชื่อเราได้ยังไง

    มีอีกครั้งนึงคืนนั้นไปเที่ยวคลับกลับมานอนที่อพาร์ทเมนท์ของเพื่อนจนตีสอง (คืนนั้นไม่ได้สวดมนต์) ด้วยความเหนื่อยอ่อนจากการแดนซ์บ้าบอไปตามเสียงเพลงในเธค ก็เลยหลับไปอย่างรวดเร็วก็บังเกิดนิมิตเห็นอีกว่า  ผมกลับมานอนในบ้านที่ประเทศไทย (ตอนนั้นอยู่ที่แคนาดา) นอนอยู่ในห้องของตัวเองสักครู่มีเสียงผู้หญิงคนนึงมาเรียกอยู่บนหัวว่า  

    “เธอตื่นได้แล้วนะ เขามารอเธอแล้วนะ”
    “ไม่เอาไม่ตื่น จะนอนขี้เกียจ” ผมเถียงกลับไป ในใจก็ไม่รู้หรอกว่าใครมารอ
    “ตื่นได้แล้ว พวกเขามารอเธอแล้ว”
    “ไม่เอาไม่ตื่น จะนอน” ผมยังยืนยันคำเดิม

    สักครู่มีมือมาตบที่หน้าผมเบา ๆ เหมือนเป็นการปลุก ทำให้ผมลืมตาขึ้นมา ผมเห็นผู้หญิงใส่ชุดขาวผมสั้นคนนึงยื่นใบหน้ามาค้ำเหนือหัวของผม เส้นผมของเธอดูเป็นสีน้ำตาลซีด ๆ กะเซอะกะเซิง ที่สำคัญใบหน้าของเธอจะเรียกว่าคนก็ไม่ใช่ เพราะมันดูซีดเซียวเป็นสีเหลือง ดวงตา จมูกปาก ก็ดูแปลกประหลาด คือมันดูแห้งตอบไปหมดเหมือนกับเป็นหัวโหลกที่ชัดเจนห่อหุ้มด้วยผิวหนังสีเหลืองซีด  คล้าย  ๆ กับมีใบหน้าของคนแค่บางส่วนที่เหลือเป็นใบหน้าของวิญญาณเธอยิ้มให้ด้วยความเป็นมิตร

    “ออกไปข้างนอกเถอะ พวกเขามารอเธอแล้ว” วิญญาณตนนี้เอ่ยขึ้นเรียบ ๆ

    ผมลุกขึ้นเดินตามออกไปอย่างว่าง่าย ในห้องรับแขกผมเห็นคนใส่ชุดขาวจำนวนมากยืนอยู่มีทั้งหญิงและชายมองออกไปในสนามหญ้าทั้งนอกรั้วบ้าน มีคนใส่ชุดขาวยืนเต็มไปหมด บางคนก็เห็นเป็นเงาราง ๆ บางคนก็เห็นชัดเจน มีหลายคนที่พนมมือยกมือท่วมหัวไหว้มาทางผม

    “ช่วยพวกเราด้วยเถอะ” เสียงผู้หญิงคนเดิมกล่าว “พวกเราทรมานมากอยากจะให้ช่วยให้พวกเราพ้นจากทุกข์ตรงนี้ด้วย”     ฟังจากน้ำเสียงของเธอท่าทางพวกเขาจะทรมานมาก
    “จะให้ผมช่วยยังไงครับ” ผมถาม
    “คุณช่วยสวดมนต์ให้พวกเราด้วย พวกเราจะได้พ้นไปจากทุกข์ตรงนี้ได้”เธอตอบ
    “สวดน่ะสวดให้ได้ แต่ว่าจะเอาบทไหนล่ะที่จะช่วยให้พวกคุณหายทรมานได้” ผมพูด
    “คุณช่วยเลือกบทที่สำคัญ ๆ และช่วยพวกเราด้วยเถิด” เธอวิงวอน

    ตอนนั้นผมกำลังเริ่มคิดแล้วว่าจะสวดบทไหนให้พวกเขาดี จิตของผมในตอนนั้นไม่ได้มีความกลัวหรอก มีแต่ความเมตตาอยากช่วยพวกเขาจนกระทั่งนึกขึ้นมาได้

    “เอ้า งั้นสวดบทนี้ให้ละกัน ธัมมะจักกัปปะวัตตะนะสุตตัง พระสูตรบทนี้ดีนะเพราะว่าเป็นเทศนาครั้งแรกของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้ใดได้สวดจะมีความเจริญรุ่งเรือง และที่สำคัญเป็นบทที่เปลื้องทุกข์ภัยได้อีกด้วย จะสวดให้ สามจบนะ” ผมบอกวิญญาณตนนี้ไป (ที่จริงก็อยากสวดให้มากกว่านี้หรอกแต่พระธรรมจักรนั้นยาว)
    “ขอบพระคุณค่ะ” เธอตอบ
    “ถ้างั้นผมต้องเขียนชื่อของทุกคนเอาไว้เวลาแผ่เมตตาไปจะได้ถึงพวกคุณทุกคน” ผมบอกพวกเขา ไม่รู้ว่าในมือมีสมุดมาตั้งแต่เมื่อไหร่ ในขณะที่กำลังจะเขียนชื่อวิญญาณทั้งหลายเหล่านั้น พวกเขาก็หายไป และตัวผมเองก็สะดุ้งตื่นขึ้นมา

    เมื่อตื่นขึ้นมาก็นึกทบทวนกับนิมิตที่เราฝันเห็น คิดในใจว่าโชคดีที่ไม่มาให้เห็นเป็นตัวเลยนะเนี่ยแต่ก็ต้องทำตามสัญญาที่ให้ไว้คือเราต้องสวดมนต์ พระธรรมจักร สามจบ ให้กับพวกเขา ก็โชคดีที่พวกเขาไม่มารบกวนอีกคิดว่าคงได้รับอานิสงค์ไปทั่วหน้า

    หลังจากนั้นมาผมก็สวดมนต์เป็นตลอดประจำจะมีอะไรเกิดขึ้นก็จะเห็นนิมิตที่ปรากฏในความฝันมาบอกล่วงหน้า (ตอนนั้นยังไม่ได้ฝึกกรรมฐาน) ประมาณหนึ่งปีก่อนกลับมาเมืองไทยก็มีนิมิตปรากฏให้เห็นอีก

    ผมเห็น ผมกับพี่สาวของผมไปเดินอยู่ในที่แห่งหนึ่งเหมือนเป็นบ้านนอกตอนใกล้มืดแล้วเวลาประมาณหกโมงเย็นพวกเราเดินเข้าไปในศาลาแห่งหนึ่งเป็นศาลาชั้นเดียว บรรยากาศเงียบเหงาเหมือมีแค่คนสองคน รอบ ๆ ข้างเป็นป่าไปหมด

    ผมเดินเข้าไปเห็นพระพุทธรูปปางนาคปรกขนาดพระประธานตั้งอยู่พระองค์หนึ่ง เลยเข้าไปก้มกราบด้วยจิตศรัทธา อธิษฐานขอให้พระพุทธเจ้าเมตตาคุ้มครองลูกด้วย (ก็บรรยากาศตอนนั้นมันน่ากลัวนี่)  พอเงยหน้าพี่สาวก็ไม่รู้ว่าหายไปไหนแล้วมีแต่ผมคนเดียวยืนอยู่ในศาลา มองไปทางไหนก็มีแต่ความมืด พอมองออกไปข้างนอกศาลายังจำได้ติดตาเลย

    เงาสีดำทะมึนเป็นร่างของผู้ชายรูปร่างใหญ่ล่ำสัน สูงสักประมาณร้อยแปดสิบกว่า ดูลักษณะเป็นคนกำยำแต่ว่า ผมมองไม่เห็นหน้าหรือร่างกายเขา เป็นเพียงสีดำที่มืดมิดเหมือนเงาห่อหุ้มไว้หมด เขามองมาที่ผมอย่างไม่หวังดีแน่ จิตของผมสัมผัสได้ด้วยความโกรธหรือประสงค์ร้ายบางอย่าง เงาสีดำนั้นเริ่มเคลื่อนไหวและวิ่งพุ่งเข้ามาเหมือนกับวัวกระทิงที่กำลังโกรธ  

    ผมได้แต่หลับตานึกถึงคุณพระพุทธเจ้า พระธรรมเจ้า พระสงฆ์เจ้า มีพลังประหลาดจับตัวเราให้โยนออกมานอกศาลา ผมล้มลงนอนนอกศาลา เห็นเงาสีดำนั้นวิ่งไปวิ่งมาเหมือนหาเราไม่เจอในศาลาแล้วก็หายไป ข้างนอกศาลากลับเป็นเวลากลางวันไม่ได้มืดเหมือนข้างใน คล้ายกับว่าภายในศาลาเป็นกับดักอะไรสักอย่างให้เราเข้าไปแต่เรารอดออกมาได้
    ไปเล่าเรื่องนี้ให้เพื่อนฟังแต่ละคนก็ขนลุกซู่ไปตาม ๆ กัน บอกว่าเดชะบุญแล้วที่เธอรอดมาได้

    ตอนที่ผมอยู่เมืองโตรอนโต ประเทศแคนาดา มีคุณป้าท่านนึง ชื่อว่าป้าสุรีย์ คุณป้าสุรีย์นี้อายุก็มากแล้ว ได้รับเงินเลี้ยงดูจากรัฐบาลประเทศแคนาดาตลอด ท่านเลยมีเวลาว่าง คุณป้าเมื่อมีเวลาจะชอบสวดมนต์ ท่านชอบสวด ยอดพระกัณฑ์ไตรปิฏกเป็นประจำ บางทีท่านก็สวดจนครบอายุของตน (อายุมากป้าก็สวดมากหน่อย) ด้วยผลบุญจากการสวดมนต์เลยทำให้สุขภาพคุณป้าดีตลอดไม่เจ็บออด ๆ แอด ๆ เหมือนเมื่อก่อน

    วันที่ 26 ธันวาคม 2004 วันที่คลื่นยักษ์ซึนามิ ขึ้นมาทำลายชายฝั่งเกาะภูเก็ต แถบภาคใต้ และชายฝั่งของหลายประเทศทั่วโลกทำให้มีผู้คนต้องเสียชีวิตจำนวนมาก คุณป้าสุรีย์นอกจากท่านจะบริจาคเงินมาช่วยผู้ประสบภัยแล้ว ท่านก็ยังสวดมนต์เป็นประจำและอธิษฐานขอให้เสียงสวดมนต์นี้จงไปช่วยเหลือวิญญาณทั้งหลายที่ตายเพราะคลื่นยักษ์ครั้งนี้ (วิญญาณเหล่านี้เป็นสัมภเวสี)

    จนกระทั่งมาถึงปลายเดือนมกราคม ช่วงนั้นเป็นฤดูหนาว อากาศหนาวจัด กลางคืนคนจะไม่ออกไปไหนเพราะหนาวมาก  คุณป้าจะเข้านอนช่วงประมาณสี่ทุ่ม หน้าต่างห้องนอนของคุณป้าจะอยู่ติดกับทางเดิน เวลาใครไปใครมาถ้าเป็นคนไทยที่รู้จักกันก็จะเคาะกระจกหน้าต่างห้องนอนทักทายคุณป้า

    ป้าสุรีย์ล้มตัวลงนอนกำลังหลับตาเคลิ้ม ๆ มีเสียงเคาะกระจก ป๊อก ๆ  ๆ  แกก็ลืมตาขึ้นมาดูนึกว่าหูแว่วมองไปนอกหน้าต่างไม่เห็นมีใคร ก็เลยนอนต่อสักหน่อย ก็มีเสียงเคาะหน้าต่างดังอีก ป๊อก ๆ ๆ  คุณป้านึกว่าคนไทยที่ชื่อแอนอยู่ตึกเดียวกันมาเคาะทักทาย

    “แอนเหรอ” ป้าสุรีย์ร้องถาม

    เงียบไม่มีเสียงตอบ คุณป้านึกขึ้นมาได้หนาวอย่างนี้ดึกอย่างนี้ใครมันจะออกมา คุณป้าเลยมองไปนอกหน้าต่าง เห็นเพียงแสงไฟที่เล็ดลอดเข้ามา  ป้าสุรีย์กลับไปนอนต่อแต่เอาผ้าห่มคลุมโปงเอาไว้เพราะใจคอไม่ดีและหันหลังให้หน้าต่างไม่กล้ากลับไปมอง

    “Thank you” เสียงที่เยือกเย็นของผู้หญิงสองคนดังขึ้นพร้อมกันข้างนอกหน้าต่าง ป้าสุรีย์รู้ทันทีว่าไม่ใช่เสียงของคน เสียงของวิญญาณผู้หญิงสองตนนี้มาขอบคุณป้าสุรีย์เป็นภาษาอังกฤษถ้าแปลเป็นไทยก็ได้ใจความว่า

    “ขอบพระคุณมาก ฉันเป็นคนจีน ตายอยู่ที่ภูเก็ตเพราะคลื่นซึนามิ ฉันมากับผู้หญิงฝรั่งคนนึงเธอก็ตายอยู่ที่เดียวกัน พวกเราจมน้ำตายอยู่แต่กับความมืดและความหนาว ทุกข์ทรมานมาก มองไปทางไหนก็มีแต่วิญญาณเต็มไปหมด  พวกเราไปไหนไม่ได้ จนกระทั่งได้ยินเสียงสวดมนต์ของเธอทำให้วิญญาณของพวกเราเป็นอิสระไม่ต้องทนทุกข์อยู่ตรงที่พวกเราตาย ขอบพระคุณมากที่สวดมนต์และแผ่เมตตาให้พวกเรา”

    พูดจบ วิญญาณทั้งสองก็พูด Thank you  แล้วก็หายไป ส่วนคุณป้าสุรีย์ก็นอนตัวแข็งทื่อไม่ใช่เพราะความหนาว แต่เพราะความกลัวไม่คิดว่าพวกเขาจะมาขอบคุณถึงที่ขนาดนี้ ตอนเช้าคุณป้าไปถามพี่แอนคนไทยในตึกว่าเมื่อคืนได้ไปเคาะกระจกป้าไหม พี่แอนบอกว่าไม่ หนาวยังกับอะไรดีใครจะออกไป พอป้าเล่าให้พี่แอนฟังต่างคนต่างก็แปลกใจ แต่คุณป้าสุรีย์ก็ได้สร้างบารมีด้วยการสวดมนต์และแผ่ให้วิญญาณทั้งหลาย

    การสวดมนต์เป็นสิ่งที่ดี ขอให้ผู้อ่านอย่าเข้าใจผิดว่าสวดมนต์แล้วผีจะมาขอส่วนบุญไมใช่ ผมสวดเป็นประจำไม่ใช่ว่าเห็นแต่ผี สิ่งที่เป็นมงคลพระพุทธเจ้า องค์เทพ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายก็ยังปรากฏมาในนิมิตร่วมอนุโมทนาสาธุกับความดีที่เราได้สร้างไป การสวดมนต์เป็นเหมือนแรงดันในชีวิตให้เจริญไปในที่สูง เพราะคำพูดวาจาแต่ละคำที่กล่าวในการสวดมนต์นั้นศักดิ์สิทธิ์ ผู้ใดสวดมนต์เป็นประจำผู้นั้นเทวดาจะไปอยู่ด้วยและรักษา เสียงสวดมนต์ดังไปที่ไหนที่นั้นจะมีความสุขและความเจริญรุ่งเรือง ประสบการณ์ที่ผมเล่ามาเป็นเพียงตัวอย่างเล็กน้อย เพราะการสวดมนต์เป็นประจำเป็นการสร้างบารมีและทำให้เราพ้นทุกข์ได้ไปนิพพาน

    แก้ไขเมื่อ 06 ธ.ค. 49 01:20:55

    แก้ไขเมื่อ 06 ธ.ค. 49 01:18:20

    จากคุณ : Joecan - [ 6 ธ.ค. 49 01:15:43 ]

 
 


ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com | Torakhong.org | GameRoom