Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com | Torakhong.org | GameRoom


    เรื่องตลกของโชคชะตา : ยัง... ยังไม่รู้ตัว

    ทำไงดีอ่ะคะ เขียนไปเขียนมา มันชักจะไม่ใช่เรื่องสั้นแล้วสิ จะเปลี่ยนไป แปะห้องนิยายแทนดีไหมคะ หรือว่า เอาไว้ตรงนี้แหละ??

    เพราะไม่รู้มันจะจบเมื่อไหร่ น่ะค่ะ ^^"

    --------------------------------------------------

    หลังจากที่เตะแบบพิมพ์ขนมเค้กติดข้างฝา กระเด็นมาตกใส่หัวหมาแล้ว นางเอกของเรื่องก็เริ่มเครียดกับชีวิตอีกครั้ง.... เปล่าไม่ใช่เพราะ “น้องนนท์” ของคุณแม่ (ที่เป็นรองศาสตราจารย์ด๊อกเตอร์) จะไปเที่ยวบ้านที่ต่างจังหวัดของเธอแล้วต้องได้จ๊ะเอ๋กับว่าที่พ่อตาที่ไม่มีตำแหน่ง ศาสตราจารย์ด๊อกเตอร์ หรอก เพราะ บิดาของเฌลลี ถึงจะเป็นครูบ้านนนอกกระจอกและจนแต่เป็นคนอารมณ์ดี ขี้เล่น ขี้ขำ ขี้อำ และขี้โม้ ซึ่งถ้าอยู่รวมกันทั้งบ้านเมื่อไหร่ก็ตั้งคณะตลกขึ้นมาใหม่ได้อีกหนึ่งคณะ ซึ่งในคณะก็จะมีคุณนายสุวเนตรผู้เป็นมารดา “มิลลี่” น้องสาวคนรอง และ “ลีโอ” เจ้าน้องชายจอมซ่าของเธอนั่นแหละ
    เฌลลีเป็นลูกสาวคนโตของบ้านนี้ หลายคนสงสัยมากว่าทำไมถึงได้มีชื่อประหลาดและหาความหมายไม่เจอในพจนานุกรมไทย-อังกฤษ ฉบับ สอ เสถบุตร ก็แหงล่ะ... มันเป็นชื่อสมมุตินี่ แต่จะสนใจทำไม? แค่สวย ก็น่าจะพอแล้วนี่????

    “ฉันรักแกนะ” อีกครั้งที่เธอบอกรักเขา

    “เออ รู้แล้วน่ะ บอกทำไมบ่อยๆ” น้ำเสียงชักรำคาญนิดๆ เพราะติดจะเป็นคนขี้รำคาญเอาเรื่องเหมือนกัน

    “ไม่ได้หรอก เดี๋ยวแกลืม” หน้ามึนเท่าเฌลลี ไม่มีอีกแล้ว แต่ก็อีกนั่นแหละ เธอไม่ใช่คนที่จะบอกรักใครง่ายๆ หรอก ถ้าไม่รู้สึกอย่างนั้นจริงๆ และถ้าไม่รัก เฌลลีจะไม่ แม้กระทั่งสานต่อความสัมพันธ์กับใครให้เสียเวลาเขา นั่นแปลว่าเธอไม่นิยมการมีกิ๊ก เหมือนที่คนสมัยนี้เค้ามีกัน (แดกดันคนบางคน)
    “เออน่า ไม่ต้องย้ำบ่อยๆ หรอก ผมรู้แล้วว่าคุณรักผม”

    “แล้วแกรักฉันมั่งหรือเปล่าล่ะ”

    “รักสิ... ทำไมจะไม่รัก”

    “จริงเหรอ... ฉันดีใจนะเนี่ย” ว่าจบก็คว้าหมับเข้าที่ปลายคางยื่นๆ ของพระเอก แล้วก็จับเหวี่ยงไปมาอย่างเอ็นดู... อ่า โปรดนึกภาพตาม หรือไม่ก็ทำตามคำอธิบายดังนี้ เอามือข้างขวาโดยใช้เฉพาะนิ้วโป้งกับนิ้วชี้ไปจับที่คางคนรัก แล้วก็จับหันไปซ้ายที ขวาที แต่อย่าแรงนักนะ เดี๋ยวมันจะเขกกะโหลกเอา...ให้ทำแต่พองาม เหมือนกับลังเล่นกับลูกแมวแถวบ้านน่ะ

    “อื้อ แต่ว่า... รักแบบญาติผู้ใหญ่นะ เพราะสเป็กผมน่ะ อันเด้อทเวนตี้เท่านั้น” ว่าแล้วก็หัวเราะเยาะด้วยความสะใจ มือที่ทำลังจับคางเหวี่ยงไปมาด้วยความเอ็นดูเลยเปลี่ยนเป็นดีดผลั๊วะเข้าที่กลางหน้าผากแทน โปรดเลียนแบบดังนี้ เอานิ้วโป้งวางลงบนปลายนิ้วกลางให้เป็นวงกลม จากนั้นก็เพ่งลมปราณไปอยู่ที่ปลายนิ้วกลาง แล้วปล่อยป๊าบลงกลางหน้าผากของคนผู้นั้น อีกฝ่ายจะเจ็บหรือไม่ก็อยู่ที่แรงของคุณล่ะค่ะ

    “นี่แก... ถ้าฉันเลือกเกิดได้ ฉันก็คงเลือกเกิดทีหลังแกสักสิบปีหรอกนะ แต่ก็ไม่แน่นะ ว่าถึงฉันจะอันเด้อทเวนตี้แล้วจะรักแกเหมือนตอนนี้น่ะ”

    “ถ่อ แป้นเอ๊ย... ต่อให้เกิดทีหลังผมสิบปีตอนนี้คุณก็ยังมากกว่าทเวนตี้อยู่ดี นับซะก่อนว่าตอนนี้ผมอายุเท่าไหร่และคุณอายุเท่าไหร่ เหอะๆ”

    “ชิ...” หมดมุขจะเถียงก็มักจะจบประโยคด้วยวลีสั้นๆ แบบนั้นเสมอ
    อันที่จริง เรื่องอันเด้อทเวนตี้เนี่ยดูจะเป็น “ข้ออ้าง” มากกว่าความรู้สึกแท้จริงของเขา เฌลลีไม่รู้ว่าเพราะอะไรเขาจึงเอากำแพงกระจกมาตั้งจึกไว้ตรงหน้า ไม่ให้เธอเอื้อมมือเข้าไปควักลูกกะตา และคว้าเอาหัวใจของเขามากิน

    ณนนท์ (ชื่อสมมุติของพระเอกเรื่องนี้) แฟนไม่มี หรือมี เธอก็ไม่รู้เพราะเขาจะไม่บอกในเรื่องที่เขาไม่อยากบอก ต่อให้ถามจนหมดลม หรือง้างด้วยแม่แรงจนฟันร่วงทั้งปาก ถ้าอะไรที่เขาไม่อยากพูด เขาจะไม่มีวันพูด และเช่นกัน บางเรื่อง ถ้าเขาอยากบอก ก็ไม่ต้องถามให้เสียการทำงานของหลอดเสียงระบบโซปราโน่ของเธอ เพราะเขาจะพูดเอง... ทั้งหมดเลยด้วย
    เฌลลี (ชื่อสมมุติของนางเอกเรื่องนี้) เป็นเพื่อน และก็ยังเป็นเพื่อนอยู่ตลอดเวลาสำหรับ ณนนท์ อาจจะพิเศษในบางเวลา และอาจจะไม่สำคัญเลยในบางวาระ แต่นั่น ไม่ใช่ปัญหาของเฌลลี เธอเชื่อว่า ทุกอย่างต้องมีขอบเขตและเส้นแบ่งของมัน ไม่ว่าจะเป็นคนรัก หรือเพื่อนรัก ก็ตาม...
    ณฌา (ชื่อสมมุติ อีกแล้วครับท่าน เขียนก็ยาก ไม่มีคำแปลอีกต่างหาก) เป็นชื่อของน้องชายคลานต้อยๆ ตามกันมาของพระเอก ดังที่กล่าวอ้างไปในตอนต้นว่า ลูกชายบ้านนี้หน้าตาดีทุกคน ยกเว้น... คนโต ณฌา เกิดทีหลังณนนท์หนึ่งปี เป็นลูก “หัวปีท้ายปี” ดังโบราณว่าไว้ ทั้งคู่เลยดูเหมือนเพื่อนมากกว่าพี่น้องเพราะวัยที่ใกล้เคียงกัน และความคิดที่ไล่ตามกันมาติดๆ เว้นแต่ “วิธีการใช้ชีวิต” เท่านั้นที่ต่างกันอย่างสิ้นเชิง ณฌา เป็นชายหนุ่มเจ้าสำราญ เพราะดันเกิดมาหน้าตาดีกว่าคนพี่ สาวๆ จึงชื่นชอบมากกว่าคนพี่ซึ่ง หน้ายาว คางยื่น ปากเสีย และ ขี้บ่น ณนนท์แอบริษยาน้องชายอยู่ลึกๆ ในเรื่องนี้ และทุกครั้งที่เขาส่องกระจกก็มักจะถามตัวเองว่า
    “ทำไมคนเกิดก่อนถึงหล่อน้อยกว่าคนเกิดทีหลัง (วะ) ”

    ณฌา ไม่เคยเจอเฌลลี เพราะสองพี่น้องต่างคนต่างทำงาน ไม่ได้อยู่บ้านหลังเดียวกัน ณฌาทำงานต่างจังหวัด นานๆ ครั้งจึงกลับบ้านที่บางกอก และเป็นทุกครั้งที่สวนทางกับเฌลลี เหมือนในหนังโรแมนติก หลายเรื่อง เช่น ยูเทิร์นเลฟ ไอเทิร์นไรท์ คุณไปซ้ายฉันไปขวา วกกลับมาก็ชนเปรี้ยง...
    ...เหมือนในหนัง...

    เรื่องของเรื่องก็คือ วันเกิดเหตุการณ์ คือวันที่เฌลลีซึ่งมีนิวาสสถานอยู่ริมทะเลภาคตะวันออกของประเทศไทยไม่ไกลจากเกาะเสม็ดนัก เธอได้เจอกับอีตาสมศักดิ์เพราะไปรักษาใจ นั่นแหละ (ถ้ายังสงสัยอยู่ว่า อีตาสมศักดิ์เป็นใครก็โปรดกลับไปอ่านตอนต้นอีกครั้ง) เธอได้ขับรถคันเก่งปุเลงปุเลงไปตามถนนสาย จันทบุรี กรุงเทพฯ ด้วยความคิดถึง ณนนท์อย่างแรงกล้าประดุจถูกดูดด้วยแม่เหล็ก กระนั้น
    และอย่างที่รู้กันว่า ภาคตะวันออก รวมไปถึงจันทบุรีนั้นเต็มไปด้วยผลไม้  ฤดูกาลนี้ แม้จะไม่มีทุเรียน ลองกอง แก้วมังกร หรือสละ แต่ก็มีกล้วยน้ำว้า กล้วยหอม กล้วยไข่ กล้วยไปยาลใหญ่ ตามรายทางและเรือกสวน ด้วยความเคยชินเป็นนิสัยอันดีของเฌลลี ทุกครั้งที่ไปหาณนนท์เธอจะต้อง ขนประดาผลไม้ตามฤดูกาลเหล่านี้ไปฝากสุดที่รักที่บางกอกทุกครั้ง  และครั้งนี้ก็เช่นกัน เฌลลีกระหยิ่มใจว่าอีกไม่กี่นาทีก็จะได้เจอหน้ายาหยีของเธอจึงเผลอเหยียบซะมิดตีน ทันทีที่รถวิ่งเข้าเส้นสุขุมวิท แล้วเลี้ยวปาดหน้าแท็กซี่เข้าไปในซอย แล้วก็เลี้ยวขวาเข้าหมู่บ้าน แล้วก็เลี้ยวซ้าย โช้ะ....

    “นี่คุณ ขับรถยังไง เนี่ย... ไม่รู้เลยเหรอว่าต้องให้รถทางตรงเขาไปก่อน ซื้อมาหรือเปล่าใบขับขี่น่ะ” อ่ะ โดนด่ากลางแดดเปรี้ยงตอนเที่ยงครึ่งอีกแล้วตู

    “ก็แหม ใครจะคิดว่าอยู่ๆ จะมีใครโผล่พรวดพราดมาอย่างนี้นี่”

    “รถผม คันเท่าบ้าน คุณนี่ สายตาสั้นแล้วยังซุ่มซ่ามอีก”

    “อ๊ะ ตานี่ ก็ฉันมองไม่เห็นนี่ ถ้าฉันเห็นฉันก็ไม่ชนคุณสิ แล้วเนี่ย ดู รถฉันบุบ ของคุณน่ะ แค่กันชนยังไม่สะเทือนเลย จะบ่นทำไมเนี่ย เดี๊ยะ… ถือว่าหล่อ” ประโยคหลังคงถูกใจพ่อหนุ่มนั่นอยู่หรอกกระมัง หมอก็เลยอมยิ้มขำๆ ก่อนจะบอกว่า

    “ก็ได้ ไม่เป็นไร ก็ไม่เป็นไร อย่าให้เจออีกเชียว คราวหน้าผมจะเอาเรื่องละ”

    “เจอแบบนี้ ฉันก็ไม่ได้อยากเจอนักหรอกน่ะ”

    “เออ แล้วผมจะต้องจ่ายค่าซ่อมคุณไหมเนี่ย”

    “ไม่ต้องหรอก รถฉันประกันหมดอีกสามสี่วันข้างหน้า พอดีได้ใช้ส่งท้ายหน่อย”

    “งั้น ขอเบอร์คุณไว้หน่อยก็แล้วกัน เผื่อมีปัญหาอะไรให้ผมช่วย”

    “อื้อ ได้ๆ อ่ะนี่นามบัตร ไปล่ะค่ะ ฉันต้องเอากล้วยไปส่ง หวัดดีสุดหล่อ” ว่าจบก็สตาร์ทรถ ถอยพรืดเดินหน้า... แล้วก็มาคิดตามทีหลังได้ว่า ตานั่นเอาเบอร์โทฯ ของเธอไป แต่ประโยคที่เขาพูดคือ “เผื่อมีอะไรให้ผมช่วย” เออ... นะ เอาเถอะ มันหล่อ... แต่ก็ยังคิดไม่ทันจบประโยค เสียงโทรศัพท์ก็ดังทำลายฝันซะงั้น
    “ฮัลโหล ไง ยัยซุ่มซ่าม”

    “เฮ้ยใคร (วะ) มาเรียกแบบนี้ เดี๋ยวสวย...”

    “ผมเอง คนที่คุณขับรถชนเมื่อกี้”

    “อ่ะเหรอ มีอะไรให้ฉันช่วยเหรอคะ” น้ำเสียงเปลี่ยนกระทันหัน เป็นโหมด สาวเรียบร้อยพูดน้อยนิสัยดีทันทีทันใด

    “เปล่ามี ผมแค่จะบอกว่า คุณน่ารักดี เท่านั้นแหละ อย่าลืมเมมเบอร์ผมไว้นะ วันหน้าจะได้คุยกัน” แล้วก็ตัดสาย ไม่ทันที่เธอจะได้ต่อความยาวสาวความยืดออกไป

    หลังจากจอดรถแล้วก็ แบกกล้วยลงจากรถเดินไปกดกริ่งหน้าบ้าน (นึกภาพคนหน้าตาดีถือกล้วยหอมดิบหนึ่งเครือ ซึ่งมีอยู่สิบหวี เดินด๋อยๆ จากที่จอดรถของหมู่บ้านไปยังที่หมายซึ่งอยู่ห่างออกไปสามร้อยเมตร) เหงื่อซ่กเต็มหน้า แถมไอ้ยื่นก็ยังลงมาเปิดประตูช้าอีกต่างหาก
    “ร้อน... แกรู้ไหมว่าคนสวยร้อนมาก”

    “รู้สิ ยืนกลางแดดเปรี้ยงๆ อย่างนั้น เป็นผม ผมก็ร้อน แล้วนั่นแบกอะไรมา ไมไม่โทฯ มาล่ะจะได้ออกไปรับ ไม่หนักแย่เหรอนั่น โน่น เอาไปไว้ในครัวไป” เจ้าของบ้านสั่งประหนึ่งว่าแขกที่มาเยือนนั้นเป็นทาสเมื่อชาติก่อนและตามมาถูกใช้งานถึงชาตินี้
    “แกจะพูดทำไม ก็ในเมื่อฉันแบกมาจนถึงบ้านแล้วเนี่ย” เธอวางแหมะลงมันตรงนั้น เขาเลยต้องแบกไปไว้ในครัวเอง

    “อืมๆ พูดไปงั้น ต่อให้โทฯ มาก็ไม่ออกไปหรอก ผมเชื่อว่าคุณน่ะถึกพอ ไม่งั้นคุณไม่แบกมาจนถึงบ้านได้หรอกเห็นไหม คุณเก่งออก” ตบหัวแล้วลูบหลังนี่หว่าคนเรา...

    “เมื่อกี้ฉันขับรถไปชนเค้ามา แถวหน้าหมู่บ้านนี่แหละ ดีนะ ที่ชนคนหล่อ ไม่งั้นเอาเรื่องไปแล้ว” ขณะพุดก็วิสาสะเดินไปเปิดตู้เย็น รินน้ำดื่มจนหมดขวด ดังคล้ายไปอยู่กลางทะเลทรายมาหลายปี

    “โชคดีนะที่คุณเกิดมาหน้าแป้น และไม่สวย ถ้าคุณหน้าตาดี เค้าอาจจะไม่ปล่อยคุณมาง่ายๆ แน่ อย่างน้อยก็ยื้อๆ กันสักพัก ขอเบอร์ก่อนแล้วค่อยเผ่น” ในสายตาของณนนท์ เฌลลีเป็นคนที่ไม่เคยสวยเลย

    “พูดเหมือนเคยทำ”

    “แหงสิ” เฌลลีไม่ได้บอกหรอกว่าตานั่นขอเบอร์เธอไปเรียบร้อย ที่แน่ๆ เธอไม่รู้ว่าเขาชื่ออะไรเท่านั้นเอง

    “เออ เนี่ย มาช้าไปหน่อยเดียวเอง ไม่ได้เจอน้องผมเขาเพิ่งกลับไปสักพักนี่เอง”

    “ถ้าฉันมาเป็นสะใภ้บ้านนี้ ฉันก็คงได้เจอเขาอยู่แล้วล่ะ” ก็พูดหน้าตาเฉยไปอย่างนั้นเอง

    “อ่ะ... สะใภ้บ้านนี้ คุณจะแต่งกับใครล่ะ”

    “กับแกไง”

    “เฮ้ย.... บ้านผม เค้าไม่แต่งงานกับญาติผู้ใหญ่กันหรอก เค้าถือ...”

    “ไอ้บ้า...”

    ------------------------------------------------

    ขากลับ...เฌลลีนึกถึงผู้ชายคนที่เธอขับรถชนกับเขา ก่อนที่จะโทฯ ไปหา “พิงกี้” เพื่อนสาวตัวสั้น ป้อม หน้าหลังเท่ากัน เหมือนลูกรักบี้ และมีท่าเดินที่ละม้ายคล้ายเพนกวิน จึงได้ฉายาว่า “น้องเพนกวิน”

    “เฮ้ยแก... กิ๊ก แปลว่าอะไร ฉันเกิดไม่ทัน” เฌลลีอายุ โอเว่อทเวนตี้มาหลายปี และไม่คุ้นชินกับคำ คำนี้เท่าไหร่นัก

    “ทำไมเหรอ จะมีกิ๊กหรือไงยะ” เพื่อนสาวดูกระตือรือร้นออกนอกหน้ามาก

    “เปล่า...แค่อยากรู้” เธอเลี่ยงตอบคำถาม

    “กิ๊กเหรอ อืมม์ อธิบายไม่ค่อยถูก เอาเป็นว่าแกมีแฟนนะ แล้วแกอยากมีใครอีกคนที่ไม่ใช่แฟนไว้ควงแขนไปลัลล้า นั่นแหละกิ๊ก”

    “อ๋อ ถ้างั้นฉันคงไม่มีกิ๊กแล้วล่ะ”

    “แหง สิ ก็แก ไม่มีแฟนนี่” เพื่อนรักตอกย้ำซ้ำเติมให้รู้สำนึก

    “แต่ฉันกำลังจะมีว่ะ....” โดยหารู้ไม่ว่า คนที่เธอพูดถึงนั่นน่ะ คือน้องชายคลานต้อยๆ ตามกันมาของ ณนนท์ นั่นเอง... /

    สองตอนก่อนหน้านี้ เลือกอ่านอันไหนก่อนก็ไม่ผิดกติกา ค่ะ

    อกหักไปรักษาใจ
    http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W4864357/W4864357.html

    สาเหตุไม่ได้มาจากเค้ก
    http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W4941634/W4941634.html

    ตอนต่อไป จะตามมาไม่ช้านี้อ่ะค่ะ ^^"

    จากคุณ : ดาริกามณี - [ 11 ธ.ค. 49 10:50:53 ]

 
 


ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com | Torakhong.org | GameRoom