ในห้องรับแขกของบ้านหลังเล็ก ตกอยู่ในความเงียบกริบ บรรยากาศเต็มไปด้วยความกดดัน ดวงตาทั้งสองคู่ประสานกันอย่างไม่มีใครยอมใคร ราวกับจะลองใจว่าใครจะเบือนหนีก่อน อีกฝ่ายจะได้รับชัยชนะทันที บุคคลที่สามอย่างพิมลภาได้แต่ระบายลมหายใจออกมาแผ่วเบาด้วยความหนักใจ
...ทำไมฉันต้องมานั่งดูไอ้เพื่อนบ้าสองคน ทดสอบจิตใจกันด้วย...
รำพึงรำพันในใจ สงสารตัวเองเหลือเกิน ไม่ได้รู้อิโหน่อิเหน่อะไรด้วยเลย เรื่องก็ไม่ใช่เรื่องของตัว แต่ต้องมานั่งอยู่ตรงนี้ ในสภาวะอึดอัดใจลุกไปไหนก็ไม่ได้ ลองแกล้งลุกขึ้นปรากฏว่าผู้ชายสองคนกระแอมไอออกมาพร้อมกันแทนคำห้าม สุดท้ายเลยต้องนั่งจ๋อยอยู่ตรงนี้
...เมื่อไรจะเปิดปากพูดกันสักที!...
พิมลภาไม่เข้าใจว่า กับแค่รวิชขอร้องให้ศรัณย์ไปติววิชาให้น้องสาวทำไมต้องเครียดกันขนาดนี้ พอรวิชเริ่มพูดคำตอบก็ออกจากปากศรัณย์อย่างรวดเร็ว
ไม่!
สั้นๆ แต่เข้าใจง่าย แถมหน้าตาตอนตอบนั้นบึ้งตึงสนิทอย่างคนอารมณ์ไม่ดี
ไม่ว่ารวิชจะอ้อนวอน โน้มน้าว หรือว่าจะข่มขู่อย่างไร ศรัณย์ยังคงตอบรับด้วยคำๆ เดียว หนักแน่น และจริงจังที่สุด จนคนขอร้องเริ่มของขึ้น
เฮ้ย ไอ้รัณย์ปกติแกก็ติวให้คนอื่นอยู่บ่อยๆ ทำไมพอฉันขอให้มาติวให้น้องสาว แกถึงปฏิเสธ รวิชหมดความอดทนกับความใจแข็งของเพื่อน
ไม่อยาก ไม่มีอารมณ์ มีปัญหาอะไรไหม ศรัณย์ตอบด้วยท่าทางกวนแสนกวน ใบหน้าเรียบสนิท ดวงตาเต็มไปด้วยการท้าทาย
ทั้งๆ ที่แกเคยติวให้ยายเรตอนเข้ามหาวิทยาลัยเนี่ยนะ ตอนนี้เรต้องเรียนวิชาที่ไม่ถนัด ทำท่าจะตกแหล่มิตกแหล่ แกช่วยแค่นี้ไม่ได้หรือยังไง กดเสียงต่ำๆ ลอดไรฟันข่มความโมโหเอาไว้ ไม่เข้าใจว่าทำไมเพื่อนถึงได้ปฏิเสธ
เมื่อตอนน้องสาวเรียนมัธยมปลาย ศรัณย์ยังเคยไปติวให้ทุกอาทิตย์ จนสอบเข้ามหาวิทยาลัยรัฐบาลในคณะที่เลือกไว้อันดับสองได้ แต่ตอนนี้กลับไม่ยอมตกลง ทั้งๆ ที่ทั้งสองก็สนิทกันมาก บางทีอาจจะมากกว่าเขาที่เป็นพี่ชายแท้ๆ เสียอีก
ตอนนั้นมันอยากทำ แต่ตอนนี้ไม่อยากและไม่ว่าง ศรัณย์ตอบเสียงนิ่งๆ ตีหน้าขรึมลง แววตาวาววับเพียงเสี้ยววินาทีก่อนจะเปลี่ยนเป็นเรียบเฉยไม่บ่งบอกความรู้สึก
รวิชไม่ยอมแพ้ อยากจะเอาชนะเพื่อนให้ได้ ท่าทางของศรัณย์ทำให้สงสัยมากไปกว่าเดิม ราวกับมีอะไรบางอย่างติดอยู่ในใจ
เกิดอะไรขึ้นระหว่างแกกับเรหรือยังไง ถึงได้ไม่อยากเจอหน้า หลุดถามออกไปสั้นๆ
ไม่มี
คราวนี้ศรัณย์เริ่มกรุ่นๆ ในอารมณ์ เสียงตอบทั้งห้วนทั้งกระชาก จนคนฟังอีกสองคนเกิดอาการอยากรู้ไปมากกว่าเดิม ตั้งแต่ก้าวเข้ามาในบ้านหลังนี้ เริ่มต้นพูดเรื่องนี้ ยังไม่มีใครเห็นรอยยิ้มที่ปรากฏอยู่เสมอบนปากหนาสีสดสักครั้ง พิมลภาที่นั่งเงียบอยู่นานอ้าปากจะถาม
ไม่ต้องพูดแล้ว คำตอบไม่ก็คือไม่ แล้วอย่าถามอะไรต่อ อารมณ์ไม่ดี เจ้าของบ้านพูดออกมาตรงๆ ตามนิสัย
ไม่รู้เว้ย จะอยู่จนกว่าแกจะยอม
งั้นเรากลับก่อนนะ ท่าทางจะยาว พิมลภาส่งเสียงออกมาหลังจากเงียบอยู่นาน วิเคราะห์อย่างละเอียดถี่ถ้วนว่าไม่มีทางจะเปลี่ยนใจศรัณย์ได้ง่ายๆ แน่นอน ผู้ชายคนนี้เด็ดขาด เปลี่ยนใจยากมากถึงมากที่สุด
แค่โดนลากมาดูการโต้เถียงก็มากพอแล้ว ยังต้องนั่งต่อแบบไม่มีกำหนดอีก แค่คิดก็สยองแล้ว เลยกะเผ่นเต็มที่
นั่งอยู่ตรงนี้แหละ หนีกลับก่อนมีเรื่อง รวิชหันขวับมาสั่งเสียงเข้ม
รออยู่ตรงนี้ รอเอาไอ้ริวมันกลับไป ศรัณย์ว่าตามมาติดๆ
พิมลภาจำต้องนั่งลงหงอยๆ สงบเสงี่ยมเจียมตัว ไม่พูดไม่จาขัดจังหวะอะไรเป็นอันขาด มิฉะนั้นอาจจะไม่เหลือเงาหัว แต่ละคนดูน่ากลัว แปลงร่างเป็นยักษ์กันหมดแล้วหรืออย่างไรกัน
สองชั่วโมงผ่านไป จะเปลี่ยนหรือยังรัณย์ สุดท้ายรวิชเป็นฝ่ายเริ่มก่อน รู้ดีกว่าคนเป็นเพื่อนใจแข็งมากเพียงใด
ถ้าบอกว่ายังล่ะ คนใจแข็งตอบเสียงนิ่งเรียบ
ก็จะขอจนกว่าจะได้ ทำไมวะ...ฉันไม่เข้าใจเลยว่าทำไมเรื่องแค่นี้แกถึงไม่ตกลง นี่ถ้าไม่เห็นว่าแกเก่ง เชื่อใจว่าช่วยเรมันได้นะ ฉันจะไม่เซ้าซี้แกเลย ถอนหายใจเสียงหนักอย่างอึดอัดใจ ตัวเขาเองใช่ว่าจะเก่ ถ้าฉลาดเท่าคนตรงหน้า คงไม่ต้องมานั่งง้ออยู่อย่างนี้หรอก
มาขอแบบนี้แล้วน้องสาวแกรู้เรื่องหรือเปล่า ไม่ใช่พอตกลง ทางโน้นอิดออดไม่อยากเจอหน้า บอกตรงๆ เสียความรู้สึก ศรัณย์ถามขึ้นด้วยท่าทีที่อ่อนลง แต่ยังไม่วายเหน็บแนมทิ้งท้าย
ก็ที่มาเนี่ย น้องสาวฉันขอร้องมา ไม่อย่างนั้นฉันกลับบ้านไปตั้งแต่แกปฏิเสธคำแรกแล้ว ตอบเสียงขึ้นจมูก เขาเป็นประเภทตามใจน้องสาวเสียด้วย กลัวว่าถ้ากลับไปมือเปล่า อาจจะเจอน้ำตาหยดเผาะๆ สะกดให้เขาทำอะไรไม่ถูก
รวิชสะดุดกึกเมื่อคิดถึงตรงนี้ ไม่ใช่คนเดียวที่แพ้น้ำตารุจยา คนตรงหน้าก็เป็น แถมอาการหนักกว่าเสียด้วย
...เอาวะ ถึงไอ้รัณย์ไม่เจอหน้าเรมาเป็นปี แต่คงไม่มีอะไรเปลี่ยนมากนักหรอก...
ถ้านายปฏิเสธ เรต้องร้องไห้แน่ๆ แค่คะแนนเก็บมิดเทอมไม่ถึงมีน* (mean) ก็ร้องห่มร้องไห้เสียยกใหญ่ จะดร็อปก็ทำไม่ได้ เป็นวิชาบังคับยังไงต้องเรียนอยู่ดี ตกไปก็อดเกียรตินิยมที่มันหวัง คราวนี้น้ำต้องท่วมกรุงเทพฯเพราะน้ำตาเรแน่ๆ ทำหน้าหนักอกหนักใจ หวังเรียกความสงสารเต็มที่
คำว่า น้ำตาเร ดูท่าทางจะมีอิทธิพลต่อคนใจแข็งพอสมควร จบประโยคของเพื่อน ร่องรอยบนใบหน้าคมคายเปลี่ยนไป ดูกังวลและสับสนพอสมควร
ทั้งรวิชและพิมลภาแอบลุ้นในใจว่าไม้นี้น่าจะใช้ได้ผล จะได้หลุดพ้นจากสถานการณ์ย่ำแย่เสียที
แค่วันหยุดใช่ไหม คำถามจากปากศรัณย์ ทำให้พี่ชายรุจยาใจชื้นขึ้น
วันไหนก็ได้ ตามแต่นายสะดวกเลย
ถ้าอย่างนั้นก็ตกลง ศรัณย์พยักหน้าเบาๆ สีหน้าอ่อนลง นัยน์ตาอ่อนแสงไม่เหลือร่องรอยมึนตึงอย่างเมื่อครู่
รวิชอยากจะตะโกนโห่ร้องดังๆ เมื่อทำสำเร็จ พิมลภายิ้มร่าด้วยความยินดี
...รู้อย่างนี้ใช้วิธีมาตั้งนานแล้ว ทำไมคิดไม่ออกวะ!...
แค่ครั้งนี้ครั้งเดียวนะ ไปบอกน้องสาวแกว่าว่างวันไหนบอกมาแล้วกัน จะบอกอีกทีว่าได้ไม่ได้ บอกอย่างมีข้อแม้ กลัวเสียฟอร์ม อุตส่าห์วางท่าอยู่นานหายเกลี้ยงเพราะคำๆ เดียว
เวลาผ่านไปหนึ่งปี ทำไมอะไรในใจถึงไม่เปลี่ยนไป แล้วเธอล่ะจะมีอะไรเปลี่ยนไปบ้างหรือเปล่า...
...ถ้าไม่...ต่อไปเขาคงต้องเผชิญกับความเจ็บเพราะความใจอ่อนของตัวเอง...
...แต่บางทีการเผชิญหน้ากันอีกครั้ง เรื่องทุกอย่างที่คาใจมานานอาจจะจบลง เขาจะได้เป็นอิสระจากพันธนาการของหัวใจเสียที...
จริงหรือเปล่าพี่ริว พี่รัณย์ตกลงมาติวให้เรจริงๆ นะ ไม่หลอกกันนะพี่ เสียงใสเต็มไปด้วยความยินดีดังขึ้นเมื่อจบคำบอกเล่าของพี่ชาย
ร่างบางบนโซฟาสีเบจตัวใหญ่ในห้องนั่งเล่นร้องอย่างดีใจในช่วงเวลาพักผ่อนหลังอาหารเย็น ดวงตาเรียวเล็กตามแบบฉบับของคนเชื้อสายจีนเป็นประกายระยับระยับ ริมฝีปากอิ่มแย้มกว้าง จนเห็นฟันขาวเรียงสวย มือทั้งสองข้างจับหมอนอิงบนตักขึ้นมากอดแน่ ซุกหน้ากลั้นเสียงกรี๊ดเอาไว้ไม่ให้หลุดรอดออกมา
เอ้าๆ ๆ ดีใจเว่อร์ไปแล้วเร พี่จะไปหลอกเราทำไม อ้อนวอนมันแทบตายกว่ามันจะยอม ไปก่อเรื่องอะไรไว้หรือเปล่า รัณย์มันถึงได้ออกอาการไม่อยากมาซะขนาดนั้น รวิชถามสิ่งที่ติดค้างในใจออกมา ไม่ใช่แค่เขายังมีพิมลภาอีกคนที่สนใจเรื่องนี้
หลังจากศรัณย์ตอบตกลง ความสงสัยก็เริ่มก่อตัวขึ้นมาทันที จากคนพูดง่าย...อารมณ์ดี...สบายๆ พอเอ่ยถึงเรื่องนี้กลับเกิดอาการต่อต้านจนเห็นได้ชัด ตอนแรกคิดว่าเป็นเรื่องง่าย พูดสองสามคำเพื่อคงตอบตกลง พอเอาเข้าจริงๆ กลับยากยิ่งกว่าอะไร
คำถามที่เกิดจากความอยากรู้ทำคนฟังชะงัก คลายอ้อมกอดวางหมอนลงบนตักดังเดิมเขยิบตัวออกห่างคนเป็นพี่ เสไปมองโทรทัศน์ที่กำลังฉายรายการวาไรตี้เหมือนสนใจเต็มประดา รอยยิ้มจางหายไปจากใบหน้าเรียวสวย คิ้วกดเข้าหากันอย่างครุ่นคิด อารมณ์เปลี่ยนแปลงรวดเร็วสร้างพิรุธออกมาชัดเจน
ว่าไงล่ะเร อย่ามาทำเป็นเงียบ ท่าทางเรมีพิรุธมากๆ บอกพี่มา รวิชกระแซะน้องสาวเร่งเอาคำตอบ จะได้หายข้องใจ พอเริ่มสังเกตจริงๆ จังๆ เห็นว่าตั้งแต่รุจยาเริ่มเรียนในระดับปริญญาตรีปีที่หนึ่ง ศรัณย์ก็เริ่มหายไป ไม่แวะเวียนมาเยี่ยม ไม่ย่างกรายมาบ้านเขาเลยสักครั้ง
ดูท่าทางปัญหาบางอย่างคงเกิดจากรุจยา
อะไรทำให้ทั้งสองคนดูห่างเหินกัน ทำราวกับคนแปลกหน้า ไม่มีการพูดถึง ไม่มีการไปมาหาสู่กันเหมือนแต่ก่อน ทั้งๆ ที่ตอนนั้นเขามั่นใจมากๆ ว่าศรัณย์ต้องคิดอะไรกับน้องสาวแน่ๆ การแสดงออกทุกอย่างมันมีแต่คำว่า พิเศษ ซ่อนอยู่
แล้วทุกอย่างก็เปลี่ยนไป จนบอกกับตัวเองว่าคงจะคิดไปเองคนเดียว ทั้งศรัณย์และรุจยาอาจจะไม่คิดแบบเขาก็ได้
อะไรต่างๆ เข้ามาในชีวิตเยอะแยะ จึงลืมเรื่องนี้ไปสนิท ทว่ามันหวนกลับมาอีกครั้งเพราะรุจยาแท้ๆ จะปล่อยให้ผ่านเลยได้อย่างไรกัน
ว่าไง การเงียบไม่ใช่ทางหนีที่ดีนะน้องรัก รวิชยกมุมปากอย่างเจ้าเล่ห์ พี่อุตส่าห์ไปขอร้องเพื่อนมาให้ ทั้งๆ ที่มันต้องสอบไฟนอลเหมือนกัน แถมมีรายงานเยอะแยะ ถือว่าเป็นบุญคุณนะเร บอกพี่มาว่าไปทำอะไรให้รัณย์มันโกรธ ว่าแล้วก็แย่งรีโมทจากมือน้องสาว จัดการกดปิดโทรทัศน์ทันที จนหญิงสาวไม่ทันตั้งตัว อ้าปากค้างอย่างงงๆ จนเวลาผ่านไปสิบวินาทีถึงได้ทำหน้างอง้ำ ตั้งท่าเอาเรื่องพี่ชายเต็มที่
พี่ริว! เอื้อมมือหมายจะคว้าของในมือกลับคืน แต่ชายหนุ่มเบี่ยงตัวหลบ
น้องเร! รวิชตะโกนกลับเสียงดังไม่แพ้กัน ใบหน้าเริ่มไร้แววทะเล้นหรือกวนอารมณ์อย่างปกติ มีแต่จริงจังและคาดคั้น
ถ้าไม่บอกพี่จะบอกให้รัณย์ไม่ต้องมาติวให้ ยื่นคำขาดด้วยใบหน้าขึงขัง
รุจยาชักหน้างอ ทำท่าขัดใจอย่างคนหัวเสีย แต่ทำอะไรไม่ได้ จึงส่งค้อนไปให้หนึ่งทีปั้นให้งามมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ บรรจงตวัดส่งอย่างหนักหมายจะทำให้คนรับน็อคกลางอากาศ
...เรื่องมันตั้งนานทำไมเพิ่งมาอยากรู้ตอนนี้ ไอ้พี่บ้า!...
รวิชพยายามกลั้นเสียงหัวเราะเอาในลำคอ เมื่อเห็นกิริยาของคนแสนงอน ถ้าเป็นปกติเขาคงยีหัวไปสักสองสามทีแรงๆ ด้วยความมันเขี้ยว แต่ตอนนี้ต้องเก๊กมาดโหดเดี๋ยวอดรู้อะไรดีๆ
บอกก็ได้ ฟังแล้วอย่าไปบอกใครล่ะ โดยเฉพาะพี่รัณย์ ไม่อย่างนั้นโกรธกันตลอดชาติ พี่ริวยิ่งปากโป้งอยู่ด้วย กำชับจริงจัง เรื่องนี้ให้หลุดไปถึงหูคู่กรณีไม่ได้ มีหวังกลายเป็นเรื่องใหญ่แน่ๆ
เออ สัญญาเลย อย่าลีลาเล่ามาเดี๋ยวนี้ อยากจะเขกหัวสักทีสองที มาหาว่าเราปากโป้ง...ปากมาก รอให้รู้เรื่องก่อนเถอะ!
รุจยาเปิดปากเล่าความลับซึ่งเก็บงำมาตลอดหนึ่งปีที่ผ่านมา
ไม่แปลกหรอกที่รวิชจะอยากรู้เรื่องของน้องสาว ถึงจะเป็นผู้ชายแต่ก็เข้าใจรุจยาทุกเรื่อง และเธอก็ไม่เคยมีความลับปิดบังเลยสักเรื่อง ซึ่งรวิชก็บอกเรื่องราวของตัวเองให้ฟังเป็นการแลกเปลี่ยนอยู่เสมอ เวลากลุ้มใจหรือไม่สบายใจ มีกันสองคนพี่น้อง ถ้าไม่ใช่เรื่องใหญ่ไม่ต้องถึงมือพ่อแม่แค่คุยกันสองคนก็สามารถจัดการกันได้
แต่มีเพียงรุจยาที่ปิดบังพี่ชายเอาไว้ เพียงเพราะไม่เข้าใจตัวเอง ไม่กล้าบอกไม่กล้าเล่า เพราะมันเกี่ยวข้องกับเพื่อนรักของรวิช จึงได้แต่เก็บงำเอาไว้ เรื่องเดียวที่อยู่ในความทรงจำและความรู้สึกเสมอมา
...เรื่องของหัวใจอันแสนบอบบาง...
คนที่ตั้งใจว่าฟังจบแล้วจะทำร้ายร่างกายคนเล่าสักทีสองที ถึงกับคิดหนักกับสิ่งที่ออกจากปากน้องรัก ทั้งตกใจ...แปลกใจ...ไม่คิดว่าจะเกิดเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ที่คาใจของคนใกล้ตัวของเขาถึงสองคนด้วยกัน แล้วอย่างนี้เขาควรจะมองอยู่ข้างนอก หรือลงมือจัดการอะไรสักอย่างดี
...เฮ้อ ใครจะช่วยเรื่องนี้ได้บ้าง คิดแล้วก็กลุ้ม!...
(มีต่อ)
จากคุณ :
ปุณณัตถ์
- [
18 ธ.ค. 49 14:21:29
]