** เรื่องราวความรักที่ผมไม่มีวันลืมเลือน
เคยมีคนบอกกับผมไว้ว่า " การลืมใครซักคนหนึ่ง ที่เรารักที่สุดมันยากเกินกว่าที่กำลังของมนุษย์จะทำได้ " เมื่อได้ลองคิดและทบทวน ผมก็เห็นด้วยกับคำพูดประโยคนี้ แต่ ณ ตอนนี้ คำพูดประโยคในวันนั้นกลับมาย้อน ให้ผมหยิบนำกลับมาคิดอีกครั้ง และจริงแท้ ที่มนุษย์เรา เมื่อผูกพันหรือรักใครซักคนแล้ว มันก็เป็นเรื่องยาก ที่จะลืมเรื่องราวของผมเป็นเรื่องราวความรักที่ผมไม่อาจจะลืมมันได้ แม้ว่าเหตุการณ์ที่ทำให้ผมทุกข์มาจนถึงทุกวันนี้ มันผ่านไปหนึ่งปีเศษ ผมยังคงทำใจยอมรับกับสิ่งที่เกิดขึ้นไม่ได้ มีหลายๆครั้ง ที่ผมพยามจะลืมมัน แต่สุดท้ายผลลัพธ์ที่ได้ก็คือศูนย์ ผมเป็นเพียงมนุษย์ธรรมดาคนหนึ่ง ที่มีไม่ได้แตกต่างจากคนอื่นทั่วไป เท่าไหร่ มีแต่เพียงความรักที่แตกต่างจากธรรมชาติคนอื่นเค้า นับตั้งแต่วันที่ผมได้เจอแฟนของผม " โต๋ " คนที่ผมไม่เคย คิดว่าจะรักเค้ามากที่สุด คนที่ผมคิดว่าต่อไปผมจะใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับเค้าในอนาคต คนที่ทำให้วันที่ผมท้อแท้ กลับยิ้มขึ้นมาได้ จนถึงวันนี้ วันที่มีเพียงผมยืนอยู่กับความว่างเปล่าเพียงผู้เดียว วันที่ผมไม่มีโต๋อยู่ข้างๆ มันเป็นวันที่แสนทรมานสำหรับผมที่สุด ทุกๆวันในวันนี้ ผมยังไม่สามารถที่จะ ลืมและลบเลือนเค้า ออกไปจากความรู้สึกของผมไปไม่ได้ผมยังคงนอนร้องไห้กอดแหวนที่โต๋ซื้อให้ผมในทุกๆคืนที่ผมท้อและหมดกำลังใจ มันคือสิ่งสุดท้ายที่เป็นตัวแทนของโต๋ที่ผมเหลืออยู่
ผมกับโต๋ เราเจอกันเมื่องานวันรับน้องสมัยปีหนึ่ง ของคณะแพทยฯ มหาวิทยาลัยรัฐแห่งหนึ่ง ผมยังจำได้ถึงความรู้สึกดีๆและเหตุการณ์ในวันนั้นได้ ถึงแม้ว่ามันจะผ่านมา เกือบสามปีเต็มแล้ว แต่ผมยังจะมันได้ดี โต๋ เป็น เพื่อนคนแรก ที่ผมได้รู้จัก และสนิทมากกว่าคนอื่นทั่วๆไป เวลาเพียงไม่กี่วัน ผมกับโต๋ ก็สนิทกันมาก เหมือนเป็นเพื่อนเก่ากันมาก่อน โต๋ บอกผม ว่าผม เป็นคนที่ฮาๆ เข้ากับเค้าได้ง่ายกว่าคนอื่นๆ ที่เค้าคุยด้วย ในทุกๆครั้งที่ผมไม่เข้าใจเนื้อหา โต๋ พยายามสอนผมให้เข้าใจ ในเนื้อหาที่เรียน ในบางเรื่องที่โต๋ไม่ถนัด โต๋ จะพยายามหาเนื้อหาเสริมมาอธิบายให้ผมเข้าใจ ผมยังจำได้ไม่เคยลืมกับสิ่งดีๆสิ่งนี้ที่โต๋ทำให้ผม เมื่อตอนที่เรายังไม่ได้คบกันเลย เวลาผ่านพ้นมาหนึ่งเดือนเศษ โต๋กับผมสนิทกันมากขึ้นกว่าเมื่อก่อน จนเพื่อนในชั้นปี ล้อว่าเราเป็นแฟนกัน แต่ใครเลยจะรู้ว่าจะทำให้ผมกับโต๋ มาเป็นแฟนกันจริงๆ วันนั้นวันที่เราทำแล็บเค็มเสร็จ โต๋ชวนผมไปเดินเล่น ในสวนสาธารณะใน มหาวิทยาลัย โต๋ เล่าเรื่องราวในวันแรก และความรู้สึกที่เค้ามีต่อผมให้ผมรู้ โต๋บอกผมว่าชอบผมที่เป็นคนใจเย็น มองโลกในมุมมองที่กว้าง กว่าคนอื่นที่เค้าเคยเจอ หลังจากนั้นโต๋ก็ไม่พูดอะไรออกมา จนมาส่งผมที่รถ ตั้งแต่วันนั้นมา เราก็เริ่มไปไหนมาไหนด้วยกัน มีเวลาด้วยกันมากขึ้น
สิ่งที่ผมซึ้งในตัวเค้าที่สุดก็วันที่โต๋พาผมไปรู้จักกับ ป๊า ม๊า และ เฮีย ของเค้า ซึ่งทุกคนในครอบครัวของโต๋ต้อนรับผมอย่างดี ผมไม่เคยคิดว่า คนอย่างผม จะเจอเหตุการณ์ประทับใจแบบนี้ด้วย ซึ่งตัวผมเองหลังจากนั้นไม่นาน ผมก็พาโต๋ไปทานข้าวที่บ้านด้วย ตอนนั้นก็มีเพียงแค่ พี่สาวคนรอง กับน้องสาว ที่อยู่บ้านผมพ่อกับแม่ผมติดงาน อยู่ที่ สิงคโปร์ เลยไม่ได้เจอกัน จริงๆทางบ้านผมเองก็ไม่รู้หรอกว่าผมเป็น... มีเพียงพี่สาวผมคนรองของผมคนเดียวที่รู้ว่าผมเป็น... พี่สาวผม ตอนแรก ยังคง ไฟแดงให้โต๋ อยู่ แต่พอเวลามันผ่านเข้ามามากขึ้น กลับกลายเป็นว่า พี่สาวผมฝากโต๋ให้ดูแลผมแทนเค้าไป ซะงั้น ผมชอบเรียกโต๋ ว่า " อาตี๋หูกาง " เพราะว่าโต๋เค้าเป็นคนหูกางมากๆผมชอบบีบหูเค้าเล่นเวลาที่เราอยู่ด้วยกัน และโต๋ชอบเรียกผมว่า " เด็กขี้แย " อยู่ประจำ เพราะผมมักจะร้องไห้ให้เค้าเห็นประจำ วันที่ผมท้อกับการเรียน เหนื่อยกับเรื่องที่บ้าน เวลาที่ผมร้องไห้ โต๋จะมานั่งข้างๆผม แล้วกอดผม บางครั้งก็ลูบหัวผมบ้าง แล้วจะบอกกับผมว่า " ไม่เอาหน่านะคนดี " แล้วก็จะนั่งเงียบฟังผมเพ้อ ร้องไห้ไป เค้าจะจับมือผมและบีบมือผมตลอดเวลาที่ผมร้องไห้
เลยทำให้ โต๋ กลายมาเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตผมไปเลย ชีวิตผมมีคนที่ผมรักมากที่สุดเพียงแค่สามคน ก็คือ อาม่าที่เลี้ยงดูผมตอนที่ผมยังเดินไม่ได้ คนที่สอนให้ผมเป็นคนใจเย็น และสอนให้ผมทำกับข้าวเป็น คนที่สองคือพี่สาวคนรองของผม ที่เราสองคนสนิทและเข้าใจกันที่สุดในบรรดา พี่น้องสี่คน คนสุดท้ายก็คือโต๋ คนที่ทำให้ผมมีกำลังใจสู้ คนที่ยืนอยู่เคียงข้างผมและหัวเราะไปกับผม ในวันที่ทุกข์และมีความสุข และโต๋คนเดียวที่มีเวลาและอยู่กับผมเป็นคู่คิดอยู่ด้วยตลอด เพราะว่าผมอยู่ตัวคนเดียว
อาม่าของผมเสียไปตั้งแต่ตอนที่ผมเรียนชั้นประถม พี่สาวผมทำงานแล้วเลยไม่มี เวลาเจอกันบ่อยอย่างเมื่อก่อน สิ่งนี้ ผมกับโต๋จึงได้ผูกพันกันมาก ในทุกๆวัน ในเมื่อก่อน โต๋ จะคอยสอนผมในบางเรื่องที่ผมยังพลาดไป ซึ่งตอนนั้นผมยังงอแงเหมือนเด็ก ต่างกะ โต๋ ที่ความคิดมุมมองเป็นผู้ใหญ่ โต๋ จะเงียบและให้เหตุผลทุกครั้งที่เรามีข้อแตกต่างในด้านความคิด ผมเองก็ได้นิสัยของเค้าตรงนี้นำมาใช้ในการทำงาน ร่วมเป็นกลุ่มกับเพื่อน โต๋มักสอนผมเสมอว่า
" บางทีคนเราควรจะเงียบบ้าง มากกว่าที่จะพูด เงียบไม่ได้หมายความว่าเราแพ้เสมอ แต่เพียงเรา เปิดมุมมองรับฟังความคิดเห็นในมุมมองที่กว้างขึ้น "
และสิ่งนี้ที่ทำให้เราสองคนเข้าใจกัน ในทุกๆเรื่อง เพราะโต๋จะคอยชี้แนะ และสอนผมอยู่ตลอด ในทุกๆครั้งที่ผมทำอาหาร ให้โต๋ทานที่บ้าน โต๋มักจะบ่น ว่า อร่อยทุกอย่าง ทั้งที่จริงอาหารบางอย่าง โต๋ไม่ชอบทานแต่โต๋ก็ทานหมด ผมรู้ว่าโต๋ไม่อยากให้ผมเสียน้ำใจ ถึงแม้ว่าโต๋จะไม่ชอบก็ตาม อย่างเรื่องไปเที่ยวทะเล ผมเป็นคนชอบทะเลอยู่แล้ว ทุกครั้งที่ผมชวนไป ทะเล โต๋ จะแสดงให้ห็นผมเห็นว่าเค้าชอบทะเล ผมเองไม่เคยรู้มาก่อน มารู้ทีหลังกับพี่ชายของโต๋ ว่าเค้าชอบภูเขาไม่ชอบไปทะเลเท่าไหร่ ผมเองก็รู้สึกผิดไม่น้อยที่ไปฝืนใจเค้า วันนี้มันอาจจะสายไปที่ผมจะชวนเค้าไปเที่ยวที่เค้าชอบมากกว่าจะไปเที่ยวทะเล ผมยังคงเสียใจมาจนทุกวันนี้ที่ผมไม่เคยทำอะไรให้เค้าเลย
จนในวันที่ผมเสียใจมากที่สุดก็มาถึง วันที่ โต๋ ขับรถกลับจากไปส่งผมที่บ้าน รถของโต๋โดน รถเก๋งเสียหลักเข้าชน วันนั้นเป็นวันที่ผมร้องไห้ฟูมฟายที่สุด ผมรีบไปหาโต๋ที่โรงพยาบาล ทันที ผมนั่งร้องไห้กับเฮียต๋ง อยู่หน้าห้องER หมอออกมาบอกว่าต้อง admit เข้า ICU ตอนนั้นผมสับสนกับความคิดของผมหมดทุกอย่างผมทำอะไร ไม่ถูก ตอนที่ผมเข้าไปเยี่ยมโต๋ใน ICU ผมก็ได้แต่กุมมือของโต๋ไว้ตลอดเวลา ในช่วงเวลานั้นกำลังใจผมแย่หมดทุกอย่าง ป๊ากับม๊าของโต๋ให้กำลังใจผมตลอดเวลา เฮียต๋งคอยนั่งเป็นเพื่อนเวลาที่ผมร้องไห้ ความคิดของผมตอนนั้น มันมืด มันเบลอไปหมดทั้งแปดด้านได้แต่สวดมนต์ขอพรให้โต๋หาย แต่ใครเลยจะรู้ว่า ในสองวันถัดมา อาการของโต๋กลับแย่ลง ความดันตก ชีพจรเต้นช้าและหยุดเต้นไปสองนาที หมอปั๊มหัวใจขึ้นมาแต่ชีพจรก็กลับมาอ่อนเหมือนเดิม หมอเรียกเฮียต๋ง ซึ่งทำงานเป็นหมออยู่ที่นี้ด้วยเช่นกัน เข้าไปคุย ถึงอาการของโต๋ เฮียต๋งพยายามให้คำอธิบายให้ผมฟังและเข้าใจ แต่ในตอนนั้นความคิดความรู้สึกของผมไม่รับรู้อะไรทั้งนั้นแล้ว จนเหตุการณ์ที่ ผมจำจนถึงทุกวันนี้ที่ หมอเรียกให้ญาติเข้าไปในห้องผู้ป่วย ตอนนั้นผมรู้แล้วว่าจะมีอะไรเกิดขึ้น ต่อจากนี้ ป๊ากับม๊าของโต๋ ให้ผมเข้าไปจับมือโต๋ ตอนนั้นชีพจรของโต๋เต้นช้าลงความดันลดต่ำ ตาของผมมองกราฟที่ ที่มอนิเตอร์การเต้นหัวใจตลอด อัตราการเต้นหัวใจของโต๋ลดลงมาเรื่อยๆ จนผมร้องไห้โฮ ผมกุมมือโต๋ไว้ตลอดเวลาจนวินาทีสุดท้ายที่หัวใจโต๋หยุดเต้น ผมร้องไห้โฮหนักกว่าเก่าเมื่อรู้ว่าโต๋จากไปแล้ว ป๊ากับม๊าและเฮียต๋ง เข้ามากอดผมกับโต๋ แล้วเราก็ร้องไห้ไปด้วยกัน หลังจากวันที่โต๋เสีย ผมกินอะไรไม่ได้เลย เวลาเกือบหนึ่งเดือน ที่ผมเก็บตัวเองอยู่แต่ในห้องคนเดียว ผมทำใจยอมรับกับสิ่งที่เกิดขึ้นไม่ได้ ผมจำได้ว่า ก่อนหน้านี้ โต๋เคยบอกกับผมก่อนหน้านี้อยู่บ่อยๆว่า
" ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นถ้าเราต้องแยกจากกัน ต้องเข็มแข็งนะ อย่าร้องไห้ ถ้าโต๋ไม่อยู่แล้ว เปิดโอกาสให้กับตัวเองและคนอื่นได้เข้ามา อย่าปิดกั้นตัวเองอยู่กับเค้า "
ซึ่งผมเองยังจำคำพูดของโต๋ได้เสมอ แต่ผมไม่เคยทำอย่างที่โต๋บอกได้เลย ไม่มีใครที่เข้าใจผมได้เท่าโต๋แล้ว
เรื่องราวความรักของผมกับความรักที่ผมไม่อาจลืมได้ ชีวิตในวันนี้ของผมเหลือเพียงแต่ความว่างเปล่าที่เหลืออยู่ กับแหวนวงเก่า หนึ่งวงที่โต๋ให้ไว้กับผม ไว้เป็นตัวแทนของเค้า ตั้งแต่วันที่โต๋จากผมไป จนถึงทุกวันนี้ ผมยังคงจดจำและไม่สามารถลืมเรื่องราวของโต๋ไปจากความรู้สึกได้ ผมยังคงเป็นเด็กที่ไม่เข้มแข็ง เด็กขี้แยที่ร้องไห้ในทุกๆวันที่หมดกำลังใจ ...และในทุกวันนี้ความรักที่ผมมีต่อโต๋ ก็ยังคงรูปเหมือนเดิม จนไม่สามารถเปิดโอกาสให้ใครได้เข้ามา ผมเคยที่จะเปิดโอกาสแต่ผมไม่เคยทำมันได้ ผมไม่สามารถที่จะลืมโต๋คนที่ผมรักได้ แม้ว่าเวลามันจะล่วงเลยมาหนึ่งปีเศษก็ตาม ผมเองยังไม่รู้เลยว่าชีวิตในวันต่อๆไปที่ผมไม่มีโต๋อยู่ข้างๆ ผมจะเป็นอย่างไรต่อไป คงได้เพียงบอกกับตัวเองให้หยุดร้องไห้แล้วก้าวเดินต่อไปในโลกปัจจุบันด้วยตัวของผมเองอย่างเข้มแข็งให้ได้ ....รักและรำลึกถึงคุณเสมอนะโต๋
นพกรณ์ กิตติวัฒนากรณ์
19 Dec 06 , 10:58 PM
จากคุณ :
LuFong
- [
20 ธ.ค. 49 02:57:18
]