เพลงบันเลงคลาสสิก Messiah ในภาคที่ชื่อ พันธกิจแห่งพระเจ้า กำลังห้อมล้อมตัวฉัน เสียงเครื่องสายฉาบทาบทาจิตใจฉันให้สุขสงบ คณะนักร้องประสานเสียงกับวงออเครสตร้าก้องกังวาน ฉันแปลความหมายที่นักร้องร้องไม่ได้สักคำ แต่บทเพลงที่อ่อนโยนค่อยๆเลาะตัวโน้ตสูงต่ำ พาจิตใจฉันล่องลอย... ลอยไปไกล ลอยไปไกล
ฉันมองไปที่หน้าต่าง เห็นดวงจันทร์ครึ่งซีก ท้องฟ้าสว่างไสว ดาวบางดางเปล่งแสงระยิบ แข่งแสงสีเหลืองนวลของดวงจันทร์ ฉันเห็นดอกไม้โปรยมา ได้กลิ่นหอม และเห็นถุงขนมมากมายร่วงลง คงมีเด็กๆวิ่งเก็บ
ดีเจสถานีวิทยุแห่งหนึ่งเปิดเพลงนี้ให้ฟัง เพลงบรรเลงมีกลิ่นหอมของความหวังในการเป็นมนุษย์ น่าตำหนิที่ฉันละเลยไม่ตั้งใจฟัง จึงไม่ทันจดจำนามประพันธกรท่านนั้น จำได้แต่อัตชีวประวัติสั้นๆของเขาว่า เพลงบทนี้ใช้เวลาแต่ง 24 วัน อย่างหามรุ่งหามค่ำด้วยความปวดร้าวทรมาน ความยาวของเพลง 3 ชั่วโมง พันธกิจแห่งพระเจ้า เป็นแค่ภาคหนึ่งในนั้น มันไพเราะจริงๆ งดงาม นุ่มนวล...
ไวโอลินร้อยเสียงชักนำฉันสู่โลกจินตนาการอันหวานละไม โลกของความดีงาม ความรัก ความเมตตา ที่เราได้รับ คล้ายๆที่วัยเด็กฉันเคยฝันถึงเมืองสวรรค์ นางฟ้าเทวดาแต่งกายสวยงาม ฉันหวังเห็นผู้คนยิ้มแย้ม เมืองแห่งนั้นอุดมไปด้วยอาหาร ขนมนมเนย ฉันอยากเห็นสระน้ำนมกว้างๆ และเป็นน้ำนมหวานอร่อย เราดื่มกินทุกวันไม่มีวันหมด ฉันหวังเห็นขนมปังสีเหลือง ขนมเค้กน่ากิน หนังสือนิทานมันฝังติดตาฉัน...เรื่องเศร้าวัยเด็กติดตามฉัน
นักร้องประสานเสียงร้องเสียงสูงกระหึ่มก้อง ดีเจบอกว่า เพลงในช่วงที่สอง มีท่อนที่มีชื่อเสียงของโลกคือ ฮาเลฮูยาคอรัส ซึ่งกล่าวสรรเสริญพระเจ้า เมื่อเพลงบรรเลงถึงท่อนนี้ คนฟังจะลุกขึ้นยืนเป็นการแสดงความเคารพ
ฉันไม่ได้ลุกขึ้นยืน แต่นั่งพับเข่า ประสานมือ ใจสงบ จดจำถ้อยคำประโยคหนึ่งในหนังสือเล่มหนึ่งได้ ใครคนหนึ่งเขียนไว้ว่า
จงขอแล้วจะได้
จงหาแล้วจะพบ
จงเคาะแล้วจะเปิดให้
เพราะว่าทุกคนที่ขอก็จะได้
ทุกคนที่แสวงหาก็จะพบ
ทุกคนที่เคาะก็จะเปิดให้เขา
ฉันปล่อยน้ำตาไหล ความทรงจำเก่าๆ ติดตามมา ฉันเคยเคาะ ฉันเคยแสวงหา เคยกู่ร้องขอความฝัน ความอิ่มสุข ถุงขนม ความรื่นรมย์ และน้องชาย...
และฉันเห็น...
...เห็นสายหมอกขาวในค่ำคืน เห็นแสงไฟตรงเชิงเขา โบสถ์สังกะสี มีไม้กางเขนเหนือหลังคา โบสถ์โล่งๆ ไม่มีผนัง ไม่มีอะไร มีแค่หลังคากันน้ำค้าง ข้างหน้ามีเวทีและที่นั่ง เป็นเก้าอี้ไม้ยาวๆเรียงกัน สายหมอกล่องลอยผ่านมา ความหนาวเหน็บเสียดแทงเข้าไปในเนื้อตัว
พี่ เมื่อไหร่เราจะได้กินขนม
เสียงเด็กชายตัวเล็กๆสะกิดเรียก
เดี๋ยวสิ ถ้าเขาร้องเพลงจบ เราถึงจะได้กิน
เด็กชายตัวเล็กๆคนนั้นแววตาเปี่ยวฝัน เขาอยากกินขนม พี่ชายตัวโตกว่าเขาอีกนิดหน่อย ทั้งสองมาโบสถ์แห่งนี้ คืนนี้มีงานรื่นเริงในหมู่คริสเตียน พวกเขาจะมีพระเจ้าเสด็จลงมาหา พระเจ้าของพวกเขาจะเอาขนมลงมาแจก ใครๆก็บอกว่ามีแต่พวกคนจนเท่านั้นที่มานับถือศาสนาคริสต์ พวกลั้วะ พวกกระเหรี่ยง พวกชาวเขาชาวดอยไง ยากจนเหลือแสนจึงต้องนับถือพระเจ้า ส่วนคนเมืองรวยกว่า ไม่ต้องมีพระเจ้า เด็กทั้งสองตัดพ้อ เราก็เป็นลูกคนเมืองเหมือนกัน แต่ทำไมจนเหลือเกิน
แม่บอกเราว่า นี่ไม่ใช่พระเจ้าของเรา พระเจ้าเราไม่ใช่องค์นี้ แต่คืนนี้เรามาหาท่านด้วยใจภักดิ์จริงๆ เราจะร้องเพลงรักพระเจ้าให้ให้ดังๆ เราจะระลึกกับใจให้หนักๆ ว่าพระองค์เป็นผู้ประเสริฐ แม้ว่าเราจะเพิ่งมาหัดร้องเพลงในหนังสือสวด ร้องผิดถ้อยผิดทำนอง แต่เราก็ตั้งใจร้องอย่างดีที่สุด ท่านฟังสิ ฟังเสียงของเราสองคนพี่น้อง
พระเจ้าเป็นผู้ประเสริฐ พระเจ้าเป็นผู้ประเสริฐ
มันดังมากๆเลยใช่ไหม จนใครๆก็หันมามอง
พี่ชายมองน้องชาย มีเรื่องราวแสนเศร้า ฝังลึกลงในจิตใจเขา
เย็นวันนั้น ในสนามเด็กเล่นของหมู่บ้าน ลูกคนรวยมีรถยนต์ขับคนหนึ่งกำลังใช้นิ้วดุนลูกอมสีแดง สีส้ม สีเขียว ในถุงพลาสติกใสออกมา น้องชายและเขายืนมอง
ลูกอมอะไรน่ะ
เด็กชายถามเธอคนนั้น เธอไม่ตอบ ส่ายหัวไปมาอย่างไม่สนใจ เธอดุนลูกอมออกจากถุงได้ก็หยิบเข้าปาก แล้วกระโดดห้อยบาร์โหน เด็กชายเดินตามเข้าไป
มันอร่อยไหม
เด็กชายถามเสียงละห้อย พี่ชายตามเข้าไปกระชากแขนน้อง
มานี่ ไอ้บ้า!
เขาพาน้องชายไปนั่งชิงช้า แต่สายตาน้องยังจ้องอยู่ที่เธอผู้มีลูกอมสีหวานสวย เธอยืนคุยกับเพื่อนคนหนึ่ง ไม่ทันระวังลูกอมจึงกระดอนออกจากปาก
ว้า...
เธอร้องและดุนลูกอมใหม่ขึ้นมา เด็กชายมองเป๋งไปที่ลูกอมที่หล่นบนพื้นดิน เขาเงยหน้าดูเธอคนนั้น เธอยังเล่นอยู่ตรงนั้น เขานั่งไกวชิงช้าไปมา สายตาเหลือบดูอยู่บ่อยๆ พี่ชายชวนเขากลับบ้านหลายครั้ง แต่เขาไม่ยอม จนใกล้มืดเธอคนนั้นเดินกลับ ลับจากสายตาไป เด็กชายวิ่งตื๋อไปเก็บลูกอมที่หล่นบนพื้นมากำไว้แน่น ยิ้มร่า ร้องบอก
กลับบ้านกันเถอะ
เขาเอามันไปล้างที่ก๊อกน้ำ พยายามเขี่ยเม็ดทรายออก แต่ว่า เวลาที่ผ่านมานาน และด้วยมันเปียกน้ำลาย ทรายจึงติดแน่น เด็กชายใช้นิ้วถูๆ ขณะที่น้ำจากก๊อกชะลูกอมให้เล็กลงเรื่อยๆ เล็กลงเรื่อยๆ...
ทรายหลุดออกทีละเม็ดตามความเล็กบางของลูกอม จนกระทั่งหมด ไม่มีติดเหลืออีก เด็กชายปิดก๊อกน้ำ ยกลูกอมสีใสๆบางจิ๋วขึ้นดู มันเล็กเท่าเล็บนิ้วก้อยของเขา พี่ชายยืนดูน้องชายที่กำลังหยิบลูกอมเหลือเดนเข้าปากแล้วร้องด่า
ไอ้โง่! แกมันโง่จริงๆ!
พี่ชายว่าพลางยกมือป้ายน้ำตาตัวเอง
.........................................................
อีกนานไหม กว่าจะมีซานตาคลอสมาแจกขนมในถุงสีแดงๆ
เสียงนั้นสะกิดความหมายของคืนคริสต์มาส แววตาของเด็กชายตัวเล็กๆเต็มไปด้วยความหวัง เขาสวมกางเกงขาสั้น รองเท้าไม่ได้ใส่ เสื้อแขนยาวดำคราบไคลเนื้อผ้าบาง เด็กชายตาใส แก้มขาว มอมแมมยืนเบีนดพี่ชาย สายหมอกสีขาวโลมไล้...เขาหนาว
พี่ชายหันมา ก้มลงมองดูน้อง
อีกเดี๋ยวนะ รออีกเดี๋ยว
เสียงออร์แกนดังอยู่ข้างหน้า เสียงเพลงระลึกถึงคุณพระเจ้าดังก้องทั้งหุบเขา เด็กชายผู้เป็นพี่น้ำตาซึมเอ่อ
ข้าแต่พระองค์ ข้าอยากได้ขนมถุงโตๆให้น้องชายสักหนึ่งถุง เขาก้มหน้าอธิษฐาน
เวลาล่วงไป พี่ชายและน้องชายง่วงงุน การระลึกถึงคุณพระเจ้ายังไม่สิ้นสุด เสียงเพลงสวด เพลงแล้วเพลงเล่ายังร่ำร้องต่อไป น้องชายสัปหงกอยู่ข้างๆ พี่ชายเข้าใจ หากแจกขนมก่อน ทุกคนก็จะกลับบ้านหมด ไม่มีใครอยู่สวดระลึกคุรพระเจ้า ดังนั้น เขาจะตั้งใจร้อง จะรอคอย
ดึกเกือบเที่ยงคืน ซานตาคลอสฝรั่งจึงสวมชุดแดง เคราขาวด้วยสำลี วิ่งออกมาจากหลังเวที กระโดดหย็องแหย็ง ทั้งเด็กทั้งผู้ใหญ่ตะโกนร้อง น้องชายสะดุ้งตื่น ซานตาคลอสโยนขนมมาทางนี้ โยนมาทางนี้ เด็กชายตัวสั่น แววตาประกายความยินดี ซานตาคลอสล้วงถุงสีแดง หยิบขนมในถุงออกมาโปรย มันหล่นจากฟ้า มันเหมือนดวงดาว เด็กชายตัวเล็กถลาตัวออกไปรับ ดวงดาวดวงนั้นงดงาม มันเป็นขนมปังสีเหลืองในถุงพลาสติก สองมือเล็กๆ อวบอูม ขาวผาดผ่องชูขึ้นท่ามกลางร้อยพันมือที่ชูสลอน เขาถูกกระแทกล้ม มือถูกเหยียบเต็มรัก เขาร้องไห้เจ็บปวด หลายๆเท้ายังคงช่วยกันเหยียบอย่างไม่ตั้งใจ ไม่มีใครเจตนาเลย คืนนั้นทุกคนต่างอยากกินอาหารหวานๆ อาหารที่มีรสชาติเลิศล้ำจากพวกหมอสอนศาสนา เราต่างก็เบื่อข้าวกับน้ำพริก เผือก มัน เต็มทีแล้ว พี่ชายมุดลงในดงเท้า ดึงตัวน้องขึ้น
ไปนั่งโน่น เดี๋ยวพี่จะแย่งให้เอง
พี่ชายวิ่งออกไปเบียดผู้คนข้างหน้าเวที ทั้งเด็กทั้งผู้ใหญ่ คนจนมันมีมากมายเหลือเกิน เขาตะโกนร้อง โยนมาอีกสิ ซานตาคลอส โยนมาอีก...ซานตาคลอสโยนมาอีกสิ โยนมาอีก ซานตาคลอส โยนมาอีกสิโว้ย !!!
...........................................
แกอย่าบอกแม่นะ ว่าพี่พามาที่นี่
อื้อ
เด็กชายพยักหน้ารับ เขาก้มหน้ากินขนม อากาศหนาวมากเหลือเกิน ไหล่เล็กๆห่อเข้าหากัน เหมือนกลีบดอกไม้บางๆหุบตัวยามค่ำคืน
หนาวไหม
อื้อ...
สองคนเดินไปบนถนนที่มืดมิด ฟ้าพร่างดาว ภูเขาทะมึนอยู่ข้างหลัง ไฟฟ้าในโบสถ์สังกะสีดับลง พี่ชายได้ขนมมาสามถุง และลูกอมหลายเม็ดในกระเป๋า
อร่อยไหม
อื้อ... แต่เรากลับดึก แม่คงตีเราแน่ๆเลยพี่
พี่ชายรู้สึกลัวจับใจที่ต้องโดนตี แต่เขาก็บอกน้อง
ถ้าแม่ตี แม่ด่า เราก็หลับหูหลับตาทนความเจ็บนั้นเสีย ลืมๆมันไปซะ แค่วันเดียวเอง แกทำได้ไหม
เด็กชายพยักหน้ารับ และไม่พูดอะไร
เขายังคงได้ยินบทเพลงสรรเสริญพระเจ้า ได้ยินเสียงมนุษย์ทุกคนในโบสถ์นั้นร้องกล่าวสรรเสริญพระเจ้า เขาหนาวมาก น้องชายไม่ได้สวมรองเท้า และมีแต่เสื้อบางๆ กางเกงขาสั้น เขาคงต้องหนาวมากกว่า มือของน้องชายบวมเป่ง ในบางครั้งเขาร้องคราง เสียงสะอื้นฮักเหมือนจะร้องไห้ เขาปลอบน้องตลอดทาง
หนาวมากไหม ขนมอร่อยนะ
น้องชายร้อง อื้อ อื้อ แทนคำตอบรับ
วิ่งไหม จะได้หายหนาว
เขาและน้องชายพากันวิ่งบนถนนสายมืดๆ สองคนวิ่งไปสู่ยอดถนนที่โรยดวงดาวลงมา
พันธกิจแห่งพระเจ้า ช่างหวานหอม อร่อย และน้ำตา เสียงคณะนักร้องประสานเสียงยังพลิ้วไหว ยิ่งใหญ่ อลังการ วงออเคสตร้าบรรเลงเพลงของผู้ชายผู้หามรุ่งหามค่ำแต่งในช่วงเวลา 24 วัน ด้วยความรวดร้าวทรมาน เพื่อบรรยายถึงพันธกิจแห่งพระเจ้า พันธกิจที่ยิ่งใหญ่ต่อมวลมนุษยชาติ ดอกไม้จึงล่องลอย ฟ้าพร่างดาว สว่างไสว งดงาม แจ่มจรัส
ฉันนั่งสำรวมระลึกถึงคุณพระเจ้าในคืนวันที่ 24 ธันวาคม พระเจ้าผู้มาโปรด ไม่ว่าวันนั้นท่านจะประทานขนมหรือรอยเท้าจนก่อบาดทะยักบนมือน้องชายของฉัน และมือของเขายังคงมีรอยแผลเป็นเหวอะ อัปลักษณ์จนถึงเดี๋ยวนี้ มือเล็กๆ ขาวๆของน้องชายฉัน โอ้...พระเจ้า ถึงอย่างไรท่านก็ให้วันเวลาที่มีค่าแก่เรา ท่านได้ยินที่น้องชายฉันพูดไหมในคืนที่มืดมิดคืนนั้น ฉันถามเขาว่า ปีหน้าเขาจะมาอีกหรือเปล่า ในเมื่อมันดึกมาก เราต้องโดนแม่ตี และอาจถูกผลักล้ม ถูกเหยียบอีก เขาบอกว่า เขามาแน่นอน
ต่อให้ฉันถูกเหยียบมืออีกร้อยครั้ง เจ็บกว่านี้อีกร้อยเท่า ถ้าได้กินขนม ฉันยอม ฉันจะไม่เจ็บเลยพี่...
ฉันไม่เคยลืมคืนอันเหน็บหนาวและฟ้าพร่างดาวคืนนั้น...
จากคุณ :
Fleur Bleue
- [
23 ธ.ค. 49 09:12:39
]