Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com | Torakhong.org | GameRoom


         ผู้หลับไหล     

    “ฮาเทลเจ้าไม่จำเป็นต้องไปกับข้าหรอก”

    “นั่นจะเป็นไปได้อย่างไร”

    “เจ้าแยกพลังงานส่วนหนึ่งไปใช้ได้ ข้าอนุญาต”

    “ถ้าเป็นเช่นนั้น ท่านอาจไม่มีพลังงานพอสำหรับการก้าวข้าม”

    “มาถึงขั้นนี้แล้วข้าไม่สนแล้ว ฮาเทล”

    “เมื่อท่านตัดสินใจแน่วแน่ ข้าก็จะไปกับท่าน”

    “อืม… ข้าแน่ใจว่าจะไป แต่อีกหนึ่งข้าไม่มั่นใจว่าจะทำสำเร็จ กระนั้นเมื่อทำแล้วก็ไม่รู้จะเกิดอะไรขึ้น ก่อนไปข้าขอเจ้าทำอะไรอย่างหนึ่งได้ไหม ฮาเทล”

    “ได้สิ สิ่งใดที่ท่านต้องการให้ข้าทำ”

    “มาพูดคำว่า ย้าฮู้ ดังๆ พร้อมข้าเอ้านับ หนึ่ง… สอง… สาม…”

    “ย้าาาาาาาาาาฮู้!” แล้วในห้วงอวกาศอันดำมืดเวิ้งว้าง พลันปรากฏแสงสว่างวาบ

    ++++++++++++++
    เวลาประมาณหนึ่งหมื่นสองพันสามร้อยปีนับจากนี้

         เสียงอื้อดังถี่สลับเบา เป็นการกระตุ้นให้ ’มูลอน’ ตื่นจากหลับไหลในเครื่องนิทราระยะสั้น เขาเหลือบมองเวลาประจำยานแผงตัวเลขระบุชัดว่ายังเหลือเวลาอีกสามชั่วโมงกว่าจะถึงกะเขา นี่คงเป็นเรื่องบ้าๆ ที่เจ้า ‘โอคา’ สหายต่างมาตุภูมิสรรหามาแกล้งเขาอีก

    “เดี๋ยวแกเจอดีแน่” มูลอนพูดด้วยความหัวเสียก่อนจะก้าวออกไปจากห้องนอน

         ทางทอดยาวระหว่างห้องนอนจนถึงห้องควบคุมหลักเกือบยี่สิบเมตร ความกว้างของทางเดินนั้นแคบเพียงเมตรกว่าๆ เท่านั้น มูลอนเดินช้ากว่าปกติ เขาเหลือบตามองดูทางเดินเพื่อหาดูว่ามีอุปกรณ์อะไรแปลกตาถูกติดตั้งไว้บ้าง ความความขี้เล่นของเพื่อนร่วมงาน ครั้งหนึ่งเขาเคยโดนมันแกล้งวางเครื่องต้านแรงโน้มถ่วงไว้บนทางเดิน พอเหยียบลงไปเท่านั้น สนานแรงโน้มถ่วงเทียมพลิกเขาจนหลุ่นตุ๊บลงบนเพดาน

    “โอคา เล่นอะไรของแกอีก” เขาพูดด้วยน้ำเสียงหงุดหงิดเมื่อเดินผ่านเข้ามาสู่ห้องควบคุมหลัก

    “ดูนี่ นายต้องไม่เชื่อแน่” เพื่อนขี้เล่นพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น พลางยกมือที่มีสามนิ้วสีน้ำเงินเข้มกวักให้เขาเดินไปหา

    “หวังว่าคงไม่ใช่เรื่องตลกอีกนะ” มูลอนเดินจ้ำเข้าไปดูที่แผงสถานะ จนถึงตอนนี้โอคายังไม่ละสายตากลับมามองเขา สิ่งนี้ทำให้มูลอนถลึงตามองด้วยตกใจเช่นกัน

    “เราลองติดต่อดูไหมล่ะ เพื่อน” โอคาพูดพลางเลื่อนนิ้วกลางลงบนแผงควบคุม

    “เฮ้ย! อย่า”  มูลอนพูดห้ามแต่ไม่ทันกาล แผงควบคุมเปลี่ยนแปลงสถานะตามส่วนที่ถูกกดลง แล้วทุกอย่างก็สว่างวาบขึ้น
    +++++++++++++++++

         มนุษย์ไม่ใช่เผ่าพันธุ์เดียวที่ดำรงอยู่ในห้วงจักรวาลนี้ แต่กว่าจะรู้เวลาก็ผ่านไปกว่าสี่พันปีแห่งพุทธกาลล่วงมาแล้ว แรกเดิมทีนักวิทยาศาสตร์หลายคนมีความเชื่ออันหนึ่งอันเดียวกัน พวกเขาต่างเชื่อว่าเมื่อเราพัฒนาเทคโนโลยีจนสามารถเคลื่อนผ่านห้วงอวกาศด้วยความเร็วมากกว่าแสง สิ่งมีชีวิตทรงภูมิปัญญาจากสถานที่อื่นจะเข้ามาติดต่อกับโลก

    ซึ่งนั่นเป็นความคิดที่ผิด

         นับร้อยปีแห่งการเฝ้ารอ ที่สุดไม่มีเสียงตอบรับจากดวงดาวใด เมื่อพวกเขาไม่มาหาเรา ทำไมใยต้องไปเฝ้ารอ ความคิดเหล่านี้ผุดออกทั่วทุกหนแห่ง ด้วยความก้าวหน้าอย่างเหลือล้น ยานท่องอวกาศยาวนานถูกสร้างขึ้น ผู้คนออกเดินทางไปหาดวงดาวใหม่ หวังเพื่อพบปะเพื่อนร่วมจักรวาล น่าเสียดายจุดประสงค์นั้นก็แค่เพียงตอนแรกเท่านั้น

         เกือบอีกร้อยปีที่ตามหา ไร้ซึ่งร่องรอยใด การเดินทางท่องอวกาศจึงเปลี่ยนเป็นการค้นหาขุมทรัพย์ที่ซ่อนอยู่ในมวลดวงดาวนับล้านล้าน การแก่งแย่งยึดครองเกิดทั่วทุกหนแห่ง นำมาด้วยการก่อสงครามอวกาศไม่สิ้นสุด ทว่าแร่ธาตุอันทรงคุณค่าหมดความหมายทันที เมื่อมีการค้นพบดาวทั้งดวงที่เป็นทอง แม้กระทั่งเพชร

         ตอนนั้นเองที่เราตระหนักได้ว่าสงครามที่เกิดมามันไร้แก่นสาร จะแย่งชิงไปทำไมในเมื่อแร่ธาตุทั้งหลายมีดาดดื่นอยู่ทั่วจักรวาล จะตีราคากับสิ่งที่มีมากเหลือคณาเช่นหินทรายไปทำไม

    แล้วเผ่าพันธุ์อื่นก็ปรากฏตัวขึ้น

         เท่าที่รู้เราถูกเฝ้าดูสังเกตการณ์อย่างเงียบๆ โดยไม่รู้ตัว นับแต่เริ่มสร้างเครื่องส่งคลื่นวิทยุเครื่องแรกขึ้นมา พวกเขามองเราเหมือนดูต้นไม้ที่กำลังเติบโต ไม่เข้ามายุงเกี่ยว รอวันที่ดอกไม้จะผลิบาน หรือไม่ก็เหี่ยวเฉา การสร้างยานที่แล่นเร็วเหนือแสงไม่ใช่เงื่อนไขสำคัญ สิ่งสำคัญคือการสำนึกรู้คุณค่าของสิ่งที่อยู่รอบตัว

         หากเราเข่นฆ่ากันเองจนสิ้นเผ่าพันธุ์ ชื่อของเราเพียงปรากฏในปูมประวัติแห่งดวงดาว หากเราสามารถครองตนให้พ้นจากสงครามละทิ้งการประหัตประหาร ชื่อของเราจะถูกนำเข้าไปร่วมเข้ากับกลุ่มเผ่าพันธุ์ทรงภูมิปัญหาอันสูงส่ง

         หลายล้านปีนับแต่การก่อตั้งกลุ่มสหพันธรัฐแห่งกาแล็กซี   โดยมีแกนหลักคือเผ่าพันธุ์มาโครซีเนียเป็นผู้นำของเผ่าพันธุ์นับแสนในกลุ่มสหพันธรัฐซึ่งครอบคลุมกาแล็กซีต่างๆ นับหมื่น ชาวมาโครซีเนียเป็นชนเผ่าที่ตายแล้ว ด้วยร่างกายวิวัฒน์ถึงขีดสุดแห่งสายพันธุ์ สามารถดูดกลืนแร่ธาตุทุกชนิดแปลงเป็นพลังงานชีพ สื่อสารกันด้วยพลังจิตระดับสูงข้ามห้วงอวกาศนับล้านปีแสงเพียงพริบตา คงสภาพร่างอมตะด้วยการผลัดทิ้งส่วนที่เสียหายแล้วสร้างขึ้นใหม่ได้ตามต้องการ  ข้อด้อยเพียงอย่างเดียวคือชนเผ่านี้ไม่สืบพันธุ์ หรือจะเรียกให้ถูกคือจงใจละทิ้งการสืบพันธุ์

    เหตุนี้เองจำนวนของเผ่าพันธุ์มาโครซีเนียจึงเหลือเพียงหยิบมือ ประมาณรวมสองแสนร่าง

         ด้วยฐานะของเผ่าพันธุ์ใหม่ที่เพิ่งเข้ามาร่วมกลุ่มเพียงหมื่นกว่าปี ‘จุลกร’ ไม่ควรอยู่ในยานระดับบัญชาการดวงดาว ยานลำนี้มีขนาดใหญ่เกือบเท่าโลกทั้งใบ ผู้บัญชาการนามว่า ‘เซรัสมัส’ ซึ่งเป็นชาวมาโครซีเนีย จุลกรถูกเรียกตัวมาจากยานสำรวจขนาดเล็กอย่างเร่งด่วน ด้วยเหตุผลบางประการที่อยู่ต่อหน้าเขา

    “ตอนแรกเรานึกว่าเป็นยานท่องเที่ยว” เสียงพูดแปร่งๆ ส่งผ่านทางเครื่องแปลภาษาจากชาวฟอโซมที่ชื่อว่า โอคา ชนเผ่าร่างสีน้ำเงินมีนิ้วใหญ่เทอะทะสามนิ้ว ถิ่นกำเนิดอยู่ทางปลายแขนที่สามของกาแล็กซีทางช้างเผือก

    “ผมจะเตือนมันแล้วแต่ไม่ทัน เพราะว่าเขตที่เราสำรวจไม่น่าจะมียานท่องเทียว พอเราส่งการสื่อสารไปก็ถูกจับโยนเข้าไฮเปอร์สเปช มาโผล่อีกทีก็อยู่แถวเขตร้างอีกด้านของกาแล็กซี” ลูกเรือชาวเรสคัมน์อีกตนหนึ่ง ซึ่งนั่งอยู่ข้างๆ พูดแทรกขึ้นมา มองภายนอกแล้วรูปกายคล้ายมนุษย์ ทว่าความเป็นจริงไม่ใช่เช่นนั้น ชาวเรสคัมน์เป็นชนเผ่าที่ผ่านการวิวัตน์เผ่าพันธุ์มาสามช่วงแล้ว ร่างกายที่เห็นจึงเป็นแค่เปลือกนอกของร่างดั้งเดิม

    “ยานถูกใช้พลังงานจนเกลี้ยง พอเราติดต่อไปทางยานสำรวจที่อยู่ใกล้ๆ แถวนั้น แล้วเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้ฟังพอระบุตำแหน่งพิกัดของสิ่งที่เราพบ มันก็เป็นอย่างที่ท่านทราบล่ะครับ” ชาวเรสคัมน์ตนเดิมพูดขึ้นพร้อมทั้งแสดงความรู้สึกออกทางสีหน้า จุลกรไม่รู้ว่าสีหน้านี้หมายความว่าอย่างไร

         ภาพของลูกเรือยานสำรวจขนาดเล็กทั้งสองก็หายวับไป เท่าที่ดูจากเครื่องบันทึกการสอบสวน จุลกรก็ยังไม่ทราบความนัยแน่ชัด เจ้าหน้าที่อีกคนหนึ่งเดินเข้ามาที่แผงควบคุมเครื่องฉายภาพ พอกดลงบนแผงสองสามครั้งภาพดาวดวงหนึ่งจึงปรากฏขึ้นมาพร้อมคำอธิบายเพิ่มเติม

    “สิ่งที่จับโยนยานสำรวจเข้าไปในไฮเปอร์สเปช ไม่ใช่ยานอวกาศแต่เป็นสิ่งที่อยู่ในดวงดาวนี้ ดาว AL-437 ถูกระบุว่าเป็นดาวร้าง” พร้อมชี้ไปยังด้านหนึ่งของภาพดาวดวงนั้น ภาพจึงขยายเพิ่มขึ้นมาจนเห็นพื้นผิวปุปะสีเทาอ่อนอย่างชัดเจน

    “ตรงนี้คือแหล่งที่มาของสัญญาณที่ถูกจับได้ในตอนแรก” พลางชี้ไปที่หลุมอุกาบาตแห่งหนึ่ง ภาพขยายใหญ่ชัดขึ้นอีกหลายร้อยเท่า เผยให้เห็นสิ่งที่ซ่อนอยู่ เห็นได้ชัดว่ามันเป็นปากทางของถ้ำหินที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ

    “มีการส่งยานสำรวจขนาดกลางเข้าไปอีกสองสามลำพร้อมเครื่องมือ แต่เมื่อเข้าไปใกล้รัศมีระยะสิบปีแสงยานทั้งหมดถูกจับโยนเข้าไปในไฮเปอร์สเปชเหมือนกับยานลำแรก เรื่องนี้ฟังดูแล้วมันไม่น่าเป็นไปได้ เพราะว่ายานสำรวจขนาดกลางขึ้นไปทุกลำ ติดตั้งตัวเกราะเบี่ยงเบนป้องกันการเข้าสู่ไฮเปอร์สเปชโดยไร้ที่มา มีเพียงยานระดับบัญชาการดวงดาวเท่านั้นถึงจะมีความสามารถเช่นนี้ได้”

    “แล้ว…” จุลกรพูดด้วยความสงสัย เรื่องนี้มันเกี่ยวข้องอะไรกับเขา

    “แล้วทำไมนายถึงถูกเรียกตัวมาใช่ไหมล่ะ นั่นก็เพราะว่าหลังจากที่เราตรวจสอบระบบป้องกันของที่อยู่ในดาวดวงนี้ จึงทำให้รู้ว่ามันเป็นระบบที่สแกนโมเลกุลของสิ่งที่เข้ามาใกล้ ด้วยการถอดรหัสทำให้ทราบว่าสิ่งเดียวที่มันยอมให้ผ่านเข้าไปได้มีเพียงดีเอ็นเอของมนุษย์โลกเท่านั้น” เจ้าหน้าที่คนเดิมโบกมือห้ามไม่ให้จุลกรถาม แล้วพูดขึ้นต่อ

    “เราได้ลองจำลองร่างดีเอ็นเอที่ว่านั้นแล้ว แต่เมื่อส่งเข้าไปมันก็ถูกตรวจพบว่าเป็นของปลอมทั้งที่ไม่เป็นไปได้ ดังนั้นเราจำเป็นต้องเรียกตัวมนุษย์โลกเช่นนายมา เพื่อนำอุปกรณ์เชื่อมต่อการสื่อสารไปวางในตัวถ้ำ” คราวนี้จุลกรจึงเข้าใจถ่องแท้ถึงสาเหตุที่เขาถูกเรียกตัวมาทำงานนี้

    ++++++++++++++++++++++

    แก้ไขเมื่อ 01 ม.ค. 50 03:11:32

    จากคุณ : egotech - [ วันปีใหม่ 03:01:22 ]

 
 


ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com | Torakhong.org | GameRoom