วันสำคัญ(ของ)คนสำคัญ
.....คุณเจียวต้ายหรือครับ
ประโยคแรกที่ผมได้ยิน เมื่อยกโทรศัพท์ขึ้นรับ หลังจากเสียงกริ่งดังขึ้น ที่เครื่องซึ่งวางอยู่บนโต๊ะข้างหลัง ที่นั่งทำงานของผมในห้องเอนกประสงค์ ขณะที่ผมกำลังตรวจสอบกระทู้ใหม่ ๆ ในถนนนักเขียนของห้องสมุดพันทิป ในตอนเช้ามืดของวันที่ ๑๔ มกราคม ที่ผ่านมา
ผมถอนหายใจเฮือกเพราะจำเสียงผู้ที่พูดมาได้ เพื่อนรักในถนนนี้เอง ถ้าโทรมาเช้าแบบนี้ ย่อมมีเหตุขัดข้องแน่
ผม...เจียวต้ายครับ...
แล้วก็จริงอย่างที่ผมคิด เพื่อนรีบแจ้งข้อขัดข้องด้วยความจำเป็นอย่างรีบด่วน ที่จะมาพบผมตามที่นัดไว้เมื่อวันวาน ว่าจะไปงานแต่งงานของเพื่อนอีกสองคน ในถนนนักเขียนของเรานี้ ไม่ได้เสียแล้ว
ทำเอาผมใจหาย เพราะจะต้องไปโชว์เดี่ยวในงานที่ผมแทบไม่รู้จักใครเลยนี้
แต่เมื่อเพื่อนบอกกล่าวจบลงแล้ว ผมจึงค่อยรู้สึกโล่งอกขึ้น แต่ก็ยังหายใจไม่คล่องนัก เมื่อเขาทิ้งท้ายว่า
........ผมพยายามจะกลับมาให้เร็วที่สุด และจะเข้าไปในงานเลย คุณเจียวต้ายรอผมด้วยนะ
ผมจึงยื่นคำขาดไปว่า
ผมเองก็ไม่ค่อยสบาย ถ้าทุ่มกว่าแล้วอาจารย์ยังไม่มา ผมคงแอบกลับก่อนนะครับ
ผมไม่ได้แกล้งขู่ เพราะผมป่วยเป็นโรคท้องเสียมาตั้งแต่ปลายปีที่แล้ว มีการกินเลี้ยงส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ เมื่อ ๒๙ และ ๓๑ ธันวาคมปีก่อน แล้วก็ท้องเสียมาตลอด จนค่อยทุเลาลงเมื่อ ๑๓ มกราคมปีนี้ หรือเมื่อวานนี้เอง จึงทดลองไปงานปีใหม่รายสุดท้าย เมื่อคืนกลับบ้านเกือบสี่ทุ่ม ก็ยังไม่มีอาการน่าวิตก
วันนี้จึงจะไปงานแต่งงานด้วยความหวังว่าจะปลอดโปร่ง
* * * * *
ผมก้าวลงจากรถโดยสารปรับอากาศสาย ๕๑๐ ที่ป้ายตรงสถานีรถไฟดอนเมือง เมื่อเวลาประมาณห้าโมงเย็น หลังจากที่นั่งมาเพียงชั่วโมงเดียวจากอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิอันมีชื่อเสียงโด่งดังติดประวัติศาสตร์
ซึ่งคงไม่สามารถจะเป็นไปได้ในวันธรรมดา แต่วันนี้เป็นวันอาทิตย์ถนนจึงว่างมากมาย งานนี้เขากำหนดไว้หกโมงครึ่ง แล้วผมจะไปอยู่ที่ไหนดี
ความจริงผมคุ้นกับภูมิประเทศแถวนี้ดี เพราะเป็นถิ่นของเพื่อนเก่า ซึ่งต้องมางานศพเขาเหล่านั้น ที่วัดดอนเมือง และวัดสีกัน อยู่บ่อยครั้ง
ผมจึงขึ้นสะพานลอยชั้นพิเศษ ที่สามารถจะแยกไปลงสถานีรถไฟ ชานชลาหนึ่ง หรือเข้าอาคารผู้โดยสารเครื่องบินนอกประเทศของท่าอากาศยานดอนเมือง หรือทะลุเข้าโรงแรมอมารี สถานที่จัดงานวันนี้ได้อย่างสบายมาก
ผมเลือกที่จะลงไปบนถนนหน้าโรงแรม เพื่อจะหาที่นั่งพักผ่อนหย่อนใจก่อนจะถึงเวลาตามบัตรเชิญ แต่เดินไปทางทิศเหนือเป็นระยะทางหลายร้อยเมตรแล้ว ก็ไม่มีร้านริมทางอย่างที่เคยเห็นมาจนชินตา
ที่ทางแถวนั้นกลายเป็นที่โล่งมีร่องรอยของการรื้อถอนเป็นแนวยาวไปตลอด เหลืออยู่แต่วินมอร์เตอร์ไซค์ สองแห่งเท่านั้น
ผมจึงนึกขึ้นมาได้ว่า ท่าอากาศยานกรุงเทพนั้น เขาย้ายไปอยู่ที่สนามบินสุวรรณภูมิอันอื้อฉาวหมดแล้ว ตั้งแต่เมื่อเดือนกันยายนโน้น ร้านค้าต่าง ๆ ที่เคยอุ่นหนาฝาคั่งไปด้วยลูกค้ามากมาย จึงพากันโยกย้ายสลายตัวไปตาม ๆ กัน แต่คงจะไม่ได้ย้ายไปที่สุวรรณภูมิด้วยเป็นแน่
ผมจึงต้องเดินย้อนกลับมาขึ้นสะพานลอยเจ้าเก่า แล้วจึงสังเกตเห็นว่า ที่ปลายทางทั้งสองด้าน คือทางเข้าท่าอากาศยาน และทางเข้าโรงแรมเขาปิดใส่กุญแจดอกเบ้อเริ่มเทิ่ม
คราวนี้ผมลงบันไดไปที่สถานีรถไฟด้านขาออก มองหาร้านอาหารที่พอจะนั่งพักได้ ก็เจอแต่แผงว่างหลายแผง เหลืออยู่อย่างเงียบเหงาเพียงสองแห่ง ผมจึงตัดสินใจเข้าไปนั่งแล้วก็รำพึงในใจถึงความไม่เที่ยงแท้แน่นอนของทุกสิ่งทุกอย่างในโลก
ใครจะคิดบ้างว่าสนามบินดอนเมืองที่เปิดใช้มาตั้งหลายสิบปี จะมีอันต้องย้ายไปอยู่ที่แห่งใหม่ ซึ่งเดิมเป็นหนองน้ำของงูเห่าได้ลงคอ
* * * *
ผมไต่บันไดลงมาที่หน้าโรงแรมอมารี เมื่อเวลาประมาณย่ำค่ำเกือบครึ่ง เมื่อเดินข้ามถนนเข้าไปในห้องโถงกลางแล้วก็ไม่เห็นมีป้ายบอกชื่องานแต่งงานรายที่ผมตั้งใจมาเลย แต่ถึงมีผมก็ไม่แน่ใจ เพราะผมไม่รู้จักชื่อจริงของทั้งเจ้าสาวและเจ้าบ่าว ผมรู้จักแต่นามปากกาของเขาและเธอในถนนนักเขียนเท่านั้น
ลืมบอกไปว่าที่ผมมาแต่งงานเพื่อนสองคนนั้น ที่จริงเป็นงานเดียวเท่านั้น ผมจึงต้องสอบถามจากเจ้าหน้าที่ของโรงแรม จึงได้ความว่าวันนี้มีงานรายเดียว และชี้ทางให้ผมเดินไปจนถึงหน้างาน ซึ่งคู่บ่าวสาวกำลังถ่ายภาพร่วมกับแขกอยู่หน้าประตู
ผมพยายามยืนในที่มีแสงไฟส่องสว่าง ซึ่งก็ได้ผลเจ้าบ่าวเห็นผมแล้วก็เข้ามาทักทาย จูงมือเข้าไปร่วมถ่ายภาพด้วย ผมจึงค่อยหายเก้อเพราะเจ้าสาวที่ผมเพิ่งเคยเห็นหน้าเป็นครั้งแรก เธอทักทายผมอย่างกับได้สนิทสนมกันมานาน
เมื่อเสร็จจากการถ่ายภาพแล้ว ก็มีใครคนหนึ่งเข้ามาบอกผมว่า กลุ่มคนในถนนนักเขียนรวมกันอยู่ทางโน้น แล้วก็พาผมไปเข้ากลุ่ม มีคนทักว่า ป๋ามาคนเดียวหรือ แล้วทั้งหญิงชายกลุ่มนั้น ร่วมสิบคน ก็ยกมือคารวะจนผมต้องยกมือรับไหว้กราดไปราวกับนักมวยขึ้นเวทีเลยเชียวแหละ
ผมนั่งคุยกับนักเขียนชายสองสามคน ที่ผมจำชื่อไม่ได้ ปล่อยให้สุภาพสตรียืนจับกลุ่มอยู่ไม่นานนัก เพื่อนของผมที่นัดกันไว้ก็ก้าวฉับ ๆ เข้ามาด้วยมาดของศาสตราจารย์สะพายย่ามใหญ่อย่างเคย ก็มีคนทักกันเกรียวกราว ทำให้ผมเกิดความมั่นใจว่า ผมเลือกคู่ขาไม่ผิด
เมื่อทักถามถึงการเดินทางของทั้งสองฝ่ายแล้ว ก็มีคนมาเชิญให้เข้าไปในห้องจัดงาน ซึ่งมีโต๊ะของเหล่านักเขียนอยู่สองหรือสามโต๊ะก็ไม่แน่ใจ เพราะผมก็ไม่รู้จักนักเขียนทั้งชายหญิง แม้แต่คนเดียว เขาและเธอเหล่านั้นดูท่าทางสนิทสนมคุ้นเคยกันมาเป็นอย่างดี
ผิดกับผมซึ่งเหมือนคนแปลกหน้า ที่เข้ามาแจมในกระทู้ที่เขาคุยกันรู้เรื่องมาตั้งนานนมเอ๊ยนานเนมาแล้ว
ระหว่างที่นั่งรับประทานอาหารแบบบุฟเฟ่ ก็มีคนทราบว่าคนที่นั่งติดกับผมนั้นคืออาจารย์ที่เป็นนักเขียนมีชื่อ(ดัง) ก็เข้ามาทักทายสวัสดีเป็นระยะ ๆ แล้วเมื่อเห็นผมซึ่งมีใบหน้าแก่กว่าอาจารย์ที่เขาและเธอนับถือ ก็เลยพลอยไหว้และทักทายผมไปด้วย
รวมทั้งนักเขียนสาวน้อยสองท่านที่ใช้ชื่อตนเองว่าหนู แต่ไม่ใช่คุณหนู ที่เป็นเด็กชงเหล้าประจำอาศรมโคลง ซึ่งทำให้ผมคิดเป็นครั้งที่สองว่าผมเลือกเพื่อนไม่ผิด
ท่านแรกนั้นขอถ่ายภาพเดี่ยวบอกว่าจะเอาไปเปรียบเทียบกับเพื่อนอีกคนหนึ่ง ที่จับกลุ่มอยู่แถวท่าช้างวังหน้า วันเดียวกันนี้เอง
อีกท่านหนึ่งนั้นได้ความว่าเพิ่งเป็นสาวเมื่อเร็ว ๆ นี้เอง เธอเอาสมุดบันทึกมาให้ผมเขียนข้อความ ผมก็เข้าใจว่าคงจะเป็นทำนองสมุดเฟรนด์ชิป ที่ระลึกในการที่ได้เจอกันในงานนี้ แต่ที่แท้เพิ่งทราบทีหลังว่า วันรุ่งขึ้นจะเป็นวันเกิดของเธอเอง
ผมนั่งดื่มน้ำแข็งผสมโซดา เพราะในงานนี้ไม่มีการเสริฟเบียร์ พร้อมกับตาดูหูฟังรายการที่ดำเนินไปตามลำดับ จนท้องอืด คู่บ่าวสาวจึงกล่าวขอบคุณแขกผู้มาร่วมงาน แล้วก็ตัดเค้กแต่งงาน และเดินมาถ่ายภาพร่วมกับแขกตามโต๊ะต่าง ๆ จนถึงโต๊ะที่ผมนั่งอยู่ ผู้รับเชิญทั้งหลายจึงทยอยกันลาเจ้าภาพกลับ
ผมจึงสะกิดเพื่อนว่าควรจะลากลับเหมือนกัน ทั้ง ๆ ที่สงสารเพื่อนว่ายังดื่มวิสกี้ไม่ถึงสิบแก้ว ตามที่ตั้งปณิธานไว้เลย
ผมชวนเพื่อนขึ้นสะพานลอยตัวเดิม เดินกลับมาตามทางที่มีแสงไฟสลัว และปราศจากผู้คน เมื่อเวลาประมาณสามทุ่ม เพื่อนแยกลงทางบันไดที่จะอยู่ริมถนนวิภาวดี เพื่อเรียกรถแท็กซี่กลับไปเอารถส่วนตัวที่โรงเรียน ส่วนผมไปลงบันไดที่อยู่ริมถนนฝั่งตรงข้าม เพื่อขึ้นรถโดยสารปรับอากาศกลับไปอนุสาวรีย์ ที่มีชื่อเสียงขจรขจายไปทั่วโลก ตามเดิม
* * * * *
ผมรินเบียร์เติมโซดา ในห้องอเนกประสงค์ที่บ้านของผม แล้วยกขึ้นดื่ม อวยพรให้คู่สมรสในวันนี้ จงมีความสุขสมหวังในทุกสิ่งทุกประการ และครองความรักให้สดชื่นเช่นวันนี้ ตลอดไป
ส.สัตยา แห่งวิกสังกะสี
ถึงวันดีจัดวิวาห์พาคู่ขวัญ
คุณ Syringeนักเขียนสาวร่วมชีวัน
เดินเคียงกันสู่อนาคตที่สดใส
คู่สมรสจงสุขโขภิญโญยิ่ง
หวังอะไรได้ทุกสิ่งไม่หวั่นไหว
เกษมสุขสดชื่นรื่นฤทัย
รักยั่งยืนยาวไปชั่วนิรันดร์
แล้วก็คลานขึ้นเตียงนอนเมื่อเวลาประมาณสองยาม ด้วยความสำนึกสุดท้ายก่อนจะหลับตาว่า
นักเขียนสาวน้อยใหญ่ในถนนนักเขียนของเรา ที่ผมจำชื่อไม่ได้นั้น ทุกคนไม่มีท่านใดไม่สวยเลยสักคนเดียว.............
............ในไม่ช้า ผมก็หลับไปอย่างมีความสุข.
###############
จากคุณ :
เจียวต้าย
- [
16 ม.ค. 50 16:21:56
]