Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com | Torakhong.org | GameRoom


    ฝันบ้าๆในคืนหนึ่ง## ผ้าใบเปื้อนสี ##

    ผ้าใบเปื้อนสี

       พู่กันจุ่มสีป้ายลงบนผ้าใบที่ขึงพาดบนขาตั้ง
       การบรรจงปาดสีที่หนักแน่น เชื่องช้า  ของจิตรกรสะดุดให้ผมรวมทั้งคนรอบข้างสนใจ และสงสัย
       “เขาผู้นี้กำลังวาดภาพของอะไรกัน”
        คำถามนี้คงติดอยู่ในใจของหลายคนที่เร่งรีบเดินผ่านไปซึ่งไม่มีเวลามากพอที่จะแวะดู
       ท่าทีที่ดูดื่มด่ำ ซึมซับรสชาติของบรรยากาศ อันปรอดโปร่ง ของเขาสะกิดให้ผู้คนสงสัยหนักขึ้น
       หากตรงนี้เป็นชายทะเลก็คงไม่แปลก และคงไม่มีใครแปลกใจกับอาการดูดด่ำ ดำดิ่งในบรรยากาศรอบกาย
       “แต่นี่มันใจกลางกรุง ที่ที่ซ่องสุมไว้ด้วยความวุ่นวาย”
       ที่ที่ทุกคนมีชีวิตแขวนไว้บนหน้าปัดนาฬิกากับความเร่งรีบ อาการของเขาผู้นี้ได้สร้างความฉงนสงสัย ให้แก่ผู้คนยิ่ง
       
       ขาตั้งของผืนผ้าใบวางชิดไปในที่ที่ไม่สร้างความรำคาญให้แก่ใคร
       แต่ใบหน้าของเจ้าของ มันชวนให้รำคาญสงสัย
       ผมหยุดชะงักยืนดู จิตรกรผู้นี้เหมือนคนอื่นๆ เพียงแต่ว่าผมบ้ามากกว่านิดหน่อย  
       คนอื่นๆเพียงแค่ชะงักและชำเลืองมองดูนิดหน่อย แต่ผมเดินตรงเข้าไปมองดูใกล้ๆ เสียเลย
       ชายผู้นี้ อายุน่าจะราวสามสิบต้นๆ ผมยาว แต่ไม่ดูรกรุงรัง มีการรวบและมัดไว้อย่างดี มีกำไล สายสร้อย และลูกประคำ ห้อยระโยงระยางตามมาตรฐานการแต่งกายคล้ายจิตรกรคนอื่นๆ ทั่วไป
       แต่แตกต่างตรงที่
       “เขาใส่สูท และผูกเนคไท”
       รองเท้าหนังขัดมันดำขลับ สูทรีดเรียบจีบคมจนแทบจะบาดมือ
       ไม่แน่ใจว่าเป็นเพราะการจ้องมองมากเกินไปของผมหรือเปล่า เขาชะงักจากกิจกรรมที่ทำอยู่ และเงยหน้าขึ้นมาสบตากับผม พร้อมๆกับเผยยิ้มกว้าง
     
        “สนใจภาพวาดหรือครับ”
       ผมพยักหน้าเล็กน้อยพร้อมกับยิ้มรับ เขาผงกหน้าเป็นเชิงรับทราบเล็กน้อย แล้วเบนสายตากลับไปยังผืนผ้าใบต่อ
       “คุณคงสงสัยสินะครับ ว่าผมมาวาดภาพอะไรกลางเมืองอย่างนี้”เขาพูดขึ้นโดยไม่ละวางสายตาจากผืนผ้าใบ เมื่อปาดสีบางสีลงบนผืนผ้าใบเสร็จแล้ว พู่ก็กันถูกวางลง
       ดวงตาประกายสดใสจับจ้องมาที่ผม
       “ผมทำให้คุณเสียสมาธิหรือเปล่าครับ” ผมถามด้วยความเกรงใจปนกระดาก
       การเดินมาจ้องอย่างเอาเป็นเอาตายของผมนี่ มันมีมารยาทเสียเมื่อไหร่
       เขาส่ายหน้าแสดงให้เห็นว่าอย่าไปใส่ใจอะไรเลย
       “ผมเองก็กำลังเบื่อๆ มีคนนั่งคุยด้วยกันซักคนก็คงดี” พื้นที่ด้านข้างตัวของเขาถูกขยับเปิดพื้นที่เล็กน้อย เพื่อเชื้อเชิญให้คนที่ยืนอยู่นั่งลง
       
        ผมก้มลงมองนาฬิกาของตัวเองเล็กน้อย เห็นว่ายังเหลือเวลาอีกสักพัก แล้วผมก็ทิ้งตัวนั่งลงข้างๆจิตรกรผู้นั้น
       ภาพบนผืนผ้า ยังไม่เสร็จเรียบร้อยดี มีการร่างไว้อย่างหยาบๆ สีถูกลงไปแล้วบางส่วน
       “ผมนึกว่า วิวที่วาดภาพจะมีเพียงแค่ภูเขา หรือทะเลท่านั้น” ผมพูดเมื่อนั่งเสร็จเรียบร้อย
       ยิ้มน้อยๆปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเขา
       “เผอิญผมมีค่อยชอบวาดต้นไม้หรือภูเขาเท่าไหร่ครับ”
       ขวดน้ำเล็กๆถูกเปิดออกดื่ม แล้วถูกยื่นมาหาผม เมื่อเห็นว่าผมมีอาการปฏิเสธเขาเลยพูดต่อ
       “ผมชอบวาดภาพในเมืองมากกว่าครับ”
       “มันให้ความรู้สึกว่าใกล้ตัวเราดี นั่นตึกที่ทำงาน นั่นรถเมล์ที่เคยขึ้น นั่นถนนที่เคยผ่าน ผมว่าเราสามารถใส่ไอเดียกับมันได้อย่างไม่จำกัด และให้ความรู้สึกที่คุ้นเคยมากกว่า”
       “ผมเคยตระเวนวาดภาพธรรมชาติมาแล้วทั่วประเทศ แต่มีความรู้สึกว่าไม่ค่อยชอบ”
       
       ในสมัยที่ผมเรียนระดับมหาวิทยาลัย ผมเองก็เคยตระเวนวาดรูปธรรมชาติเช่นกัน
       จำได้ว่า วิชา ศิลปะ เป็นวิชาเลือกที่ค่อนข้างแหวกแนวสำหรับคนที่เรียนบริหารธุรกิจ อย่างผม
       การตระเวนวาดรูปกับวิชาเลือกทำเอาผมเกือบไม่รอด ในวิชาหลัก พ่อแม่เพื่อนฝูงต้องมาตบบ้องหูผมคนละที เพื่อเรียกให้กลับไปเรียนต่อให้จบ
       ชีวิตผมกับการวาดรูปก็จบลงแค่นั้น

       “คุณทำงานแถวนี้หรือครับ” เขาถามขึ้นเมื่อเห็นผมเงียบไป
       ผมยิ้ม
       “อยู่ตึกข้างหน้านี่เอง” ผมชี้ไปยังตึกสูงตึกหนึ่ง
       พู่กันยังคงจุ่มสี และทำหน้าที่ของมันต่อไป
       ผู้คนยังคงเดินผ่านไปมาๆ แต่ก็ยังคงมีอาการชะงัก เมื่อมองเห็นคน 2 คนนั่งอยู่ริมฟุตบาท พร้อมกับขาตั้งผ้าใบวาดรูป
       “ผมเป็นเซลล์ขายชิ้นงานโฆษณา” ผมพูด
       “ก่อนหน้านี้ผมเองก็เคยชอบศิลปะ แต่ฝีมือไม่ดีพอจะสร้างสรรค์เอง พร้อมทั้งทางบ้านไม่ยอมให้เรียนด้านนี้ด้วย”
       เขาพยักหน้ารับทราบเล็กน้อย ผมค่อนข้างแปลกใจที่ตัวเองนำเรื่องส่วนตัวมาเล่าให้คนแปลกหน้าฟัง เมื่อคิดได้ผมจึงนั่งเงียบต่อ
       หลังจากเรียนจบ เพื่อนๆพากันมารุมคาดคั้นถามเหตุผลที่ผมเลือกมาทำงานในตำแหน่งนี้ ทั้งๆที่ดีกรีระดับผมสามารถทำงานในบริษัทชั้นนำในสายงานที่เรียนมาได้อย่างสบายๆ
       “อยากอยู่ใกล้งานที่ตัวเองชอบ” จำได้ว่าผมบอกไปอย่างนั้น
       
       “ผมเองก็วาดรูปมาหลายปี”พู่กันถูกวางลง
       “หลายครั้ง เคยนั่งถามตัวเองว่า ชอบมันจริงๆมั๊ย แต่ก็ไม่ได้คำตอบ” เขายิ้ม
       “เลยนั่งวาดมันต่อเรื่อยๆ จนกว่าจะรู้”
       ภาพเบื้องหน้าเริ่มเป็นรูปเป็นร่าง ผมเห็นรูปตึกสูงหลายสิบชั้นปรากฏบนผืนผ้าใบ
       นั่นมันใช่ตึกที่ผมทำงานหรือเปล่า
       
       ผมนั่ง กิน บางครั้งก็นอนบนตึกหลังนั้น ผมค่อยๆสร้างความคุ้นเคยกับมันในแต่ละวันที่เดินขึ้นและลง
       ผมเองก็ไม่ค่อยแน่ใจ ว่าชอบมันบ้างหรือเปล่า
       และงานที่ทำก็ไม่แน่ใจว่าใช่ที่ชอบหรือเปล่า
       แต่เรื่องค่าอาหาร ที่พัก และค่าใช้จ่ายต่างๆ บังคับให้ต้องทำต่อ
       “งานที่ชอบ”ที่ผมเคยบอกเพื่อน ตอนนี้ผมเองก็เริ่มไม่แน่ใจเสียแล้ว
       รถติด เสียงแตร และความจ๊อกแจ่กจอแจ ของท้องถนน เป็นวิชาบังคับที่ต้องเข้าใจ และคุ้นเคย
       
       ในวันที่ผมเอนซ์ ติด แววตาแสดงความโล่งใจ ปรากฏบนหน้าของพ่อและแม่ผม
       “นึกว่าเอ็งจะสอบเข้าคณะศิลปะ ซะแล้ว”เสียงรำพึงของแม่ดังขึ้นเมื่อเห็นรายชื่อผมปรากฏในกลุ่มของผู้สอบผ่าน
       เหตุผลต่างๆ ที่พ่อของผมพยายามยกมา และชักจูงให้เข้าคณะบริหาร เพื่อสานต่อกิจการที่บ้าน ไม่สูญเปล่า
       “มีกินก่อน ค่อยทำอะไรที่ตัวเองรัก” เป็นหมัดเด็ดที่น็อกผมให้สลบเหมือด
       แต่เมื่อเรียนจบผมทำพ่ออ้าปากค้าง เมื่อสมัครเข้าทำงานในบริษัทโฆษณาเล็กๆแห่งหนึ่ง
       “ออกไปหาประสบการณ์ เบื่อเมื่อไหร่ จะกลับมา” ผมบอกกับพ่อตอนแบกกระเป๋าเดินออกจากบ้าน
       
       “คงสนุกดีนะครับ การนำชิ้นงานดีๆไปเสนอคนอื่น” เขาถามขึ้น และดึงผมขึ้นจากภวังค์
       ผมยิ้มตอบ
       “แต่งานที่ผมทำ มันเป็นศิลปะที่นำเสนอความจริงเพียงครึ่งเดียว”
       “เป็นไปตามใบสั่ง และหลอกให้คนเห็นแต่ด้านที่สวยงาม”  
       เขาพยักหน้าและก็ยิ้มอีก
       ช่างยิ้มเสียจริง คนอะไรผมนั่งนึกในใจ
       “ผมเคยทุ่มเถียงกับเพื่อนๆ เรื่องภาพลักษณ์ของจิตรกร” เขาพูด
       “เราต้องใส่เสื้อม่อฮ่อม สะพายย่ามทำตัวให้ดูสมถะ วาดรูปด้วยท่าทางกระฉับกระเฉง ให้ดูสมกับเป็นมืออาชีพ” เขาเหลือบมองดูผมเล็กน้อย
       
       “มันเป็นสิ่งที่คนอื่นเขาอยากเห็น”เขาพูดต่อ
       “เป็นสิ่งที่แสดงถึงความเป็นจิตรกร แต่คุณเชื่อมั๊ย ว่าบางคนที่ทำตัวอย่างนั้น ไม่เคยเข้าใจศิลปะ และวาดรูปตามกระแสเท่านั้น”
       “บางทีเขาว่าภาพแนวนั้น แนวนี้กำลังดัง ก็หันไปวาดแนวนั้นเสียหมด”
       “แต่น่าแปลกนะ คนเหล่านั้นกลับประสบความสำเร็จ มากกว่าคนที่ยึดมั่นในแนวทางของตัวเอง”
       “เพราะเขานำเสนอในสิ่งที่คนอื่นอยากเห็น” ผมเอ่ยขึ้น
       เขาหัวเราะหึๆในลำคอ
       “บางคนเขาแค่ต้องการเห็นในสิ่งที่เขาอยากเห็นเท่านั้น” เราทั้งสองหันมามองหน้ากันแล้วยิ้ม
       “คุณไม่ควรที่จะรู้สึกผิดกับงานของคุณหรอก”เขาเอ่ยขึ้น
       “เพราะยังไงศิลปะก็คือศิลปะ อาจถูกใช้ไปเพื่อผลประโยชน์ของคนอื่นบ้าง แต่ยังไงความมหัศจรรย์ที่สุดของมันก็คือกระบวนการในการสร้างสรรค์มันขึ้นมา”
       “เมื่อคุณอยู่กับมันเรื่อยๆ จะรู้สึกทึ่งกับความคิดของมนุษย์ที่สามารถสร้างสรรค์บางอย่างขึ้นมา”ผมเสริม
       เขายิ้ม
     
        “เรื่องภาพลักษณ์ของจิตรกรที่คุณทุ่มถียงกับเพื่อน เลยทำให้คุณใส่สูทผูกเนคไท มาวาดรูปข้างถนนอย่างงั้นหรอ”ผมถามแหย่ขึ้น หลังจากสงสัยมานาน
       เขาก้มลงมองดูตัวเองเล็กน้อย แล้วหัวเราะ
       “ผมเพียงแค่อยากรู้ว่า คนอื่นๆจะมองยังไงเมื่อเห็นคนใส่สูท ผูกเนคไทมานั่งวาดรูปริมถนน”
       “อันที่จริงผมพยายามจะทำตัวให้กลมกลืนกับที่นี่น่ะ” เสียงกลั้วหัวเราะของเขาทำเอาผมกลั้นยิ้มหน่อยๆ
       ผมก้มลงมองดูตัวเอง
       ผมแต่งกายเป็นพนักงานออฟฟิศเต็มรูปแบบ ผูกเนคไทตามสมัยนิยม รองเท้าขัดมันดำขลับ
       ผมไม่ค่อยชอบที่จะใส่มันซักเท่าไหร่ แต่มันจำเป็นเมื่อต้องเข้าพบลูกค้า หากใส่เสื้อยืดกางเกงยีนส์ไปหา มีหวังถูกไล่เปิงออกมา  
       การแต่งกายตามแบบฟอร์ม เป็นมาตรฐานที่ต้องทำในการดำเนินชีวิตแบบคนเมือง และพนักงานออฟฟิศ
      มันกลายเป็นภาพลักษณ์ของอาชีพเราเสียแล้ว

    แก้ไขเมื่อ 20 ก.พ. 50 22:27:19

    แก้ไขเมื่อ 16 ม.ค. 50 18:09:56

    จากคุณ : Black_Space - [ 16 ม.ค. 50 18:02:44 ]

 
 


ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com | Torakhong.org | GameRoom