เจี๊ยบเป็นเพื่อนที่ร่วมหัวจมท้ายในการทำกิจกรรมด้วยกันมาตั้งตาปี 1 จนถึงปี 4 และก็เป็นผู้อยู่ทั้งเบื้องหน้าและเบื้องหลังโครงการต่างๆ ที่ประสบความสำเร็จไปได้ด้วยดี
เจี๊ยบหรือที่พวกเราเรียกกันว่า เจ๊เจี๊ยบ เป็นผู้หญิงที่มีความเป็นกุลสตรีมากเกิน 100% ซึ่งเหตุนี้เอง เจ๊จึงมีวิญญาณของความเป็นแม่บ้านอยู่ทุกกระเบียดนิ้ว พวกเราจึงพร้อมใจแกมยัดเยียดให้เจ๊เจี๊ยบเป็นแม่บ้านประจำองค์การนิสิตซะเลย
ครั้งแรกที่เจอกับเจ๊เจี๊ยบนั้น เป็นวันแรกที่ฉันเข้าไปอยู่หอพักของมหาวิทยาลัย ในระหว่างที่กำลังนั่งๆ นอนอยู่บนเตียงนั้น ก็มีเสียงเคาะประตู แล้วก็มีสาวน้อยนางหนึ่งเปิดประตูเข้ามา แนะนำตัวเองว่าชื่อ เจี๊ยบ อยู่คณะพยาบาล มาจากลำพูน ฉันก็แนะนำตัวเองพร้อมๆ กับสมาชิกในห้องซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นสาวชาวพยาบาลทั้งสิ้น หลังจากวันนั้นฉันก็ได้เจอะเจอกับเจี๊ยบเสมอ จนได้มาทำกิจกรรมร่วมกัน และกลายเป็นเพื่อนสนิทกันในที่สุด
ทุกๆ วันเจี๊ยบจะเข้ามาที่องค์การนิสิต เพื่อดูแลและจัดการความเรียบร้อยต่างๆ ขององค์การ ตั้งแต่เรื่องความสะอาด ตู้เก็บพัสดุ โต๊ะทำงาน ระเบียบการใช้คอมพิวเตอร์ เจ๊มีความสามารถในการจัดไปบ่นไปได้ติดต่อกันเป็นเวลานานไม่น้อยกว่า 2 ชั่วโมง จนกินเนสบุ๊คน่าจะมาทำบันทึกเป็นสถิติโลกไว้ ส่วนพวกเราที่ชอบทำเลอะเทอะก็พากันเห็นอกเห็นใจเจ๊เหมือนกัน แต่ก็ยังคงทำรกต่อไปไม่เว้นวันหยุดราชการ
ในการออกค่ายขององค์การนิสิตทุกครั้ง เราจะต้องมีเจ๊เจี๊ยบร่วมทางไปด้วยตลอด เพราะเธอเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงในการจัดการเรื่องอาหารการกินของคนในค่าย ทั้งการไปตลาดเลือกซื้อกับข้าว และการคำนวณปริมาณอาหารที่ประกอบขึ้นในแต่ละมื้อ เพื่อให้เพียงพอกับจำนวนคนในค่าย งานนี้เจ๊เจี๊ยบทำได้อย่างไม่มีขาดตกบกพร่องเช่นเคย เจ๊เจี๊ยบจึงเป็นปูชนียบุคคลที่ควรหนีบไปค่ายด้วยทุกครั้ง และเวลาที่ไปค่ายนั้นด้วยความที่มีงบประมาณน้อย อาหารที่เน้นๆ ในแต่ละมื้อก็จะอุดมไปด้วยผักนานาชนิด เนื่องจากว่ามีราคาถูกกว่าเนื้อสัตว์ ทำให้เนื้อสัตว์ที่อยู่ในกับข้าวนั้นแทบจะชิงโชคกันเลยทีเดียว เพราะหายากเหลือเกิน เรียกว่ารายการอาหารก็จะเป็นแกงมะเขือใส่ไก่ ผัดผักรวม (มีแต่ผักรวมจริงๆ หาได้มีเนื้อสัตว์ปนอยู่ด้วยไม่) ผัดพริกแกงถั่ววิญญาณไก่ เช่นนี้เป็นต้น ส่วนใครที่กินข้าวแล้วบ่นให้เจ๊เจี๊ยบได้ยินเรื่องหาเนื้อสัตว์ไม่เจอนั้นเป็นต้องโดนเจ๊เจี๊ยบค่อนขอดเอาว่า
กินๆ เข้าไปเถอะ งบน้อย ผักมีประโยชน์ทั้งนั้น ไม่อยากกินก็ไม่ต้องกิน
คำพูดของเจ๊เจี๊ยบได้ผลเกินคาด พวกที่บ่นเรื่องกับข้าวพากันเงียบ และตั้งหน้าตั้งตากินต่อไป เพราะถ้าเกิดยังบ่นอีก อาจจะอดตายอยู่ในค่ายโดยไม่รู้ตัวก็ได้
ในการทำกิจกรรมทุกโครงการนั้น ธรรมเนียมปฏิบัติของพวกเราชาวองค์การก็คือ หลังจากที่กิจกรรมใดๆ สำเร็จเสร็จสิ้นลงแล้ว ก็จะต้องมีการประชุมสรุปงาน พร้อมทั้งแสดงความคิดเห็นวิพากษ์วิจารณ์ผลงานที่ออกมา ว่ามีสิ่งใดขาดตกบกพร่อง ควรที่จะปรับปรุงในครั้งต่อๆ ไปหรือไม่ อย่างไร
มีอยู่ครั้งหนึ่ง เป็นงานไหว้ครูประจำปี ตอนนั้นพวกเราอยู่ปี 3 โดยปกติแล้วในวันไหว้ครูของมหาวิทยาลัยเรา จะมีการทำบุญตักบาตรของอาจารย์และนิสิตเพื่อเป็นสิริมงคลให้แก่ตัวเอง ก่อนที่จะเข้าไปทำพิธีไหว้ครูด้วยพานที่อดตาหลับขับตานอนช่วยกันตกแต่งประดับประตากันตลอดทั้งคืนอย่างอลังการกันในหอประชุมต่อไป หลังจากที่ใส่บาตรกันแล้ว องค์การนิสิตซึ่งเป็นคนจัดงานไหว้ครู ก็จะเป็นเจ้าภาพถวายภัตตาหารเช้าแด่พระสงฆ์ ปีนั้นพวกเราจัดข้าวต้มกระดูกหมูมาถวายพระ ดูน่ากินมากๆ
หลังจากพิธีการต่างๆ เสร็จสิ้นลงอย่างงดงาม ถึงจะมีขลุกขลักอยู่บ้าง แต่ก็อาศัยประสบการณ์แก้ไขจนผ่านไปได้ด้วยดี คืนวันจันทร์ซึ่งเป็นการประชุมประจำสัปดาห์ขององค์การนิสิตก็มีการสรุปงานไหว้ครูกัน แต่ละคนรับผิดชอบฝ่ายไหนก็สรุปงานฝ่ายตัวเอง พร้อมกับคนอื่นแสดงความคิดเห็นในจุดดีและจุดบกพร่องด้วย จนมาถึงเรื่องของอาหารที่ถวายพระภิกษุสงฆ์ เจ๊เจี๊ยบซึ่งเป็นบุคคลที่มีสายตาแหลมคม ละเอียดอ่อน แสดงความคิดเห็นได้ยอดเยี่ยมตรงประเด็นในหลายๆ กิจกรรมก็ได้เอื้อนเอ่ยขึ้นกลางที่ประชุมว่า
เรื่องอาหารที่ถวายพระตอนเช้า ที่เป็นข้าวต้มกระดูกหมูน่ะ ความจริงน่าจะเปลี่ยนเป็นข้าวต้มไก่หรือข้าวต้มปลานะ เพราะว่าถ้าเกิดมีพระที่เป็นอิสลาม ก็จะได้ไม่มีปัญหา
ทุกคนในที่ประชุมตอนนั้นก็ฟังกันไป บางคนก็พยักหน้าเห็นด้วยกับเจ๊เจี๊ยบ แต่แล้วก็มีคนหนึ่งหัวเราะขึ้นมาด้วยเสียงอันดัง พร้อมกับพูดไปหัวเราะไปว่า
มีที่ไหนกันพระอิสลาม คนที่เป็นพระก็ต้องนับถือศาสนาพุทธสิ
เท่านั้นทุกคนก็ถึงบางอ้อ หัวเราะกันจนน้ำหูน้ำตาไหล กว่าจะกลับเข้ามาประชุมได้เหมือนเดิมก็ผ่านไปหลายนาที ความจริงแล้วที่เจ๊เจี๊ยบพูดตั้งแต่แรก ฟังดูก็แปลกๆ นั่นแหละ แต่ด้วยความที่ไม่ได้คิดตามก็เลยยังไม่ได้โต้แย้งอะไร
เรื่องที่เจ๊เจี๊ยบปล่อยไก่กลางที่ประชุมนี้ พวกเราเอามาล้อกันอยู่เรื่อยๆ จนเรียนจบแยกย้ายกันไป เมื่อมีโอกาสก็ยังหยิบยกมาพูดได้ฮากัน และเจ๊เจี๊ยบก็อับอายทุกครั้งที่พูดถึง และแอบบ่นว่า พลาดไปครั้งเดียว กลายเป็นตราบาปไปทั้งชีวิต น่าสงสารเจ๊เจี๊ยบจริงๆ
อีกเรื่องหนึ่งที่เจ๊เจี๊ยบมักจะโดนเพื่อนฝูงเม้าท์อยู่เป็นประจำก็คือ เรื่องรสนิยมการแต่งกายของเจ๊นั่นแหละ เจ๊เจี๊ยบเป็นคนที่ชอบใส่ชุดแซ็กเอามากๆ ความจริงมันก็ดูเหมาะกับเจ๊แกหรอกนะ เพราะเจ๊แกรูปร่างเล็กๆ ตัวขาวๆ แบบสาวเหนือ บวกกับบุคลิกที่ดูผู้หญิ้งผู้หญิงของเจ๊ ก็สมเป็นหญิงไทยใจงาม แต่เราก็พวกปากเสีย แซวเจ๊แกทุกครั้งที่ใส่ชุดแซ็กมา แต่อย่าคิดว่าคำพูดของเราจะบั่นทอนความมั่นใจของเจ๊ได้ เพราะเจ๊เจี๊ยบยังคงหยิบชุดแซ็กมาใส่อยู่เป็นประจำ แถมมีคอเล็คชั่นใหม่ๆ มาใส่ให้พวกเราเม้าท์ได้เรื่อยๆ
ล่าสุดปี 4 พวกเราก็ยังคงไปออกค่ายกันเหมือนเดิม เจ๊เจี๊ยบอาจหาญมาก ถึงขนาดเอาชุดแซ็กไปใส่ที่ค่าย โดยไม่แคร์เสียงนกเสียงกาเสียงหมาเสียงแมวอย่างพวกเรา ที่ยังคงจองเวรจองกรรมตามไปแซวถึงค่าย
อย่างที่บอกไปแล้วว่าเจ๊เจี๊ยบเป็นผู้หญิงที่มีเพียบพร้อมไปด้วยกิริยามารยาทที่งดงาม เป็นกุลสตรีไทยที่หาได้ยากในยุคสองพัน ทำให้มีหนุ่มๆ มาหมายปองมากมายเป็นธรรมดา จนพวกเราก็จำไม่ได้ว่าใครเป็นใคร เพราะแวะเวียนมาขายขนมจีบให้เจ๊เจี๊ยบแบบไม่ค่อยซ้ำหน้านัก พอขึ้นปี 2 เจ๊เจี๊ยบก็มีแฟนซะแล้ว เป็นหนุ่มนักกีฬาหุ่นล่ำ เรียกว่า Dark Tall and Handsam เลยทีเดียว แถมยังเป็นนักวิ่งของมหาวิทยาลัยซะด้วย คบหากันไปได้สักระยะหนึ่ง ก็มีคนมาเม้าท์ให้ฟังว่าเลิกกันซะแล้ว ในวันที่บอกเลิกกันนั้นเจ๊เจี๊ยบก็นัดชายหนุ่มมาคุยที่หน้าองค์การ พอดีกิ๊กเพื่อนของพวกเรานั่นแหละอยู่ในเหตุการณ์พอดี ก็เก็บมาเม้าท์ให้ฟังว่า ในระหว่างที่เจ๊เจี๊ยบกับชายหนุ่มกำลังเคลียร์ปัญหาหัวใจกันอยู่นั้น ก็มีเสียงเพลงจากวิทยุขององค์การที่เปิดฟังเพลงกันเป็นประจำ ซึ่งช่วงเวลานั้นเปิดแต่เพลงอกหักหรือเพลงเลิกรา ช่างเข้ากับบรรยากาศจริงๆ จนกิ๊กบอกว่า ไม่รู้เจ๊แกโทรไปขอดีเจไว้รึเปล่า เพราะได้อารมณ์มาก
หลังจากที่เลิกราไปกับแฟนคนนั้นแล้ว เจ๊ก็ยังคงมีหนุ่มๆ แวะเวียนเข้ามาอยู่เรื่อยๆ แต่เจ๊ก็ปฏิเสธกับพวกเราว่าไม่ใช่แฟนจริงๆ สักคน แต่ถึงอย่างไรเจ๊เจี๊ยบก็เป็นสาวเนื้อหอม เป็นดาวเด่นขององค์การนิสิต จนเรียนจบไปแล้วก็ไม่มีใครมาทาบรัศมีอันเจิดจรัสของเจ๊เจี๊ยบได้ และก็เป็นไปตามคาดที่เจ๊เจี๊ยบได้เข้าสู่ประตูวิวาห์เป็นคนแรกของรุ่นพวกเรา ที่ยังขายไม่ออกกันสักคน
จากคุณ :
ณ จันทร์
- [
19 ม.ค. 50 11:51:20
A:58.8.104.130 X:
]