Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com | Torakhong.org | GameRoom


    เรื่องตลกของโคชะตา : ถ้ามีความหวังก็แปลว่ามีโอกาส

    เฌลลีแอบซุ่มเก็บเนื้อเก็บตัวไม่โผล่หัวหลิมๆ หน้าแป้นๆ ไปให้สามพี่น้องบ้านโน้นเห็นหน้านับเดือน และสัปดาห์นี้ก็เช่นกัน เฌลลีนั่งอ่านหนังสืออย่างสบายอารมณ์บนแปลริมทะเลหน้าบ้าน

    “ถ้ามีความหวัง ก็แปลว่ามีโอกาส” กระดาษใบน้อยเท่าโพยที่นักศึกษาซุกเข้าห้องสอบ เสียบอยู่ในหนังสือเล่มที่ไม่เคยอ่านจบเลยสักที นั่นคือ กลองสังกะสี (The Tin Drum) พะยี่ห้อโนเบลปี 1999 จากเยอรมนี ความหนาเท่าพจนานุกรมสองเล่มซ้อนกัน อ่านมาสองปีแล้วยังได้ไม่ถึงสามสิบหน้า กะว่าจะพยายามอ่านให้จบก่อนอายุสี่สิบ ซึ่งก็เหลืออีกตั้งหลายปี

    เฌลลีส่งท้ายปลายเดือน ด้วยการสร้างความตื่นเต้นให้หัวใจได้ครื้นเครงกับการทดสอบศักยภาพด้านสติปัญญาโดยการลงสนามสอบวัดฝีมือกับพี่น้องในสาขาเดียวกันที่มาจากต่างสถาบันฯ และต่างประสบการณ์ แต่ละคน...ก็ไม่ใช่ธรรมดาทั้งนั้น และต่างก็มาเพื่อปลายทางเดียวกัน นั่นคือการถูกเลือกให้เหลือเพียงหนึ่ง!

    น่าสนุก เพราะการแข่งขันมักจะทำให้ “หัวใจเต้นแรง” ได้เสมอ

    “แป้น วันนี้ไม่มาบ้านเหรอ” ณนนท์โทรศัพท์มาหา เมื่อถึงเวลาแล้วเธอยังไปไม่ถึงบ้านเขา

    “ไม่อ่ะ วันนี้มีธุระ” เธอปด

    “ธุระไร”

    “ชั้นต้องบอกแกทุกเรื่องรึไง”

    “ไม่ต้องหรอก แต่ถ้าบอกก็ดี จะได้รู้ว่าไปไหน ทำอะไร”

    “รู้ไปก็เท่านั้น ไว้ฉันจะบอกทีหลัง” แล้วเธอก็บอกลา วางสาย ผ่านไปหนึ่งสัปดาห์เธอจึงได้โผล่หน้าแป้นๆ เอ๊ย หน้าสวยๆ ของเธอไปที่บ้าน

    “เฮ้ย มาคราวนี้มืดตึ้บมาเลย จากที่ดำอยู่แล้วเป็นทุนคราวนี้ถ้าไม่ยิ้มล่ะก็แป้นเอ๊ย...”

    “พี่แป้น ผมมีไฟฉายฮะ” ไอ้น้องเล็กตัวแสบได้ทีก็เอาใหญ่

    “ย่ะ ขอบคุณทั้งพี่ทั้งน้องแหละ แต่ไม่ต้องหรอก ถึงฉันจะดำ หน้าจะแป้น แต่ฉันก็สวย”

    “......”

    “ถามจริงๆ เถอะแป้น คุณไปวิ่งขึ้นเขาชะเมาทุกอาทิตย์ วิ่งรอบสนามวันละสี่รอบ วิดพื้นวันละยี่สิบครั้ง ว่ายน้ำ ซิทอัพ ยกน้ำหนัก เนี่ยเพื่ออะไร” แน่ล่ะ เพราะนางเอกของเราไร้ทักษะด้านกีฬาอย่างสิ้นเชิง เล่นบาสก็โดนลูกบาสอัดเข้าปลายคาง ตีแบดก็โดนลูกแบดจากฝ่ายตรงข้ามอัดเข้าเบ้าตา ว่ายน้ำหัวก็ชนชอบสระ เล่นวอลเล่ย์บอลก็โดนเข้ากลางแสกหน้าหงายหลังตึง และเธอก็สาบานว่าชาตินี้จะไม่มีทางเล่นกีฬาซาดิสม์พวกนี้เด็ดขาด...

    “อยากรู้จริงเหรอ”

    “ผมแค่รู้สึกว่ามันไม่ใช่ตัวคุณเลยนะ”

    “แกอยากรู้จริงเหรอ?” เพิ่มมาหนึ่งวลี คือสรรพนามที่ใช้เรียกคนที่เธอรักนั่นเอง

    “ก็ ใช่สิ คุณจะไปเข้าค่ายทหารที่ไหน?”

    “ฉันไปสอบเรียนต่อมาแหละ แต่ฉันทำเลขไม่ได้ มันเป็นอะไรที่แบบว่า ในโลกนี้มีสองอย่างที่ฉันไม่เอาไหนเลยคือ กีฬา กับคณิตศาสตร์”

    “ใครบอก ทำกับข้าวด้วยต่างหากเล่า”

    “อ้อ ใช่แฮะ พอดีฉันไปเปิดเจอทุนเรียนต่อปริญญาเอกของมหาวิทยาลัยในเยอรมัน บังเอิญรับสาขาที่ฉันจบพอดี แล้วฉันก็เลยคิดคงไม่มีอะไรเวิร์คไปกว่าการเรียนต่อด๊อกเตอร์ ซึ่งมันคงพอจะทำให้ฉันเหมาะสมกับแกขึ้นมาบ้างน่ะนะ แฮ่ะๆ อ้อ ที่ฉันไปฝึกความแข็งแกร่งของร่างกายเพราะฉันรู้ว่าประเทศนี้มันหนาวไม่คิดชีวิต เลยต้องฟิตซ้อมกันหน่อยไง”

    “โธ่ แป้นเอ๊ย... คิดอะไรตื้นหยั่งงี้นะ”

    “เอ่า ก็พ่อแกเป็นศาสตราจารย์ด๊อกเตอร์ แม่แกเป็นรองศาสตราจารย์ด๊อกเตอร์ ส่วนแกก็ผู้เชี่ยวชาญด้านฟิสิกส์นิวเคลียร์ น้องกลางเป็นคอนซัลเอ็นจิเนียร์ของบริษัทฝรั่งติดอันดับท้อปเท็นของอเมริกา หัวสมองปราดเปรื่องระดับอัจฉริยะทั้งบ้าน แล้วฉันล่ะ นักเขียนกระจอกๆ พ่อเป็นครูบ้านนอกหน้าตาดีและเป็นคนดี มีมารยาท แต่ก็ไม่มีอะไรเลยที่ฉันเหมาะสมกับแก”

    “ผมรักคุณ ก็ที่คุณเป็นคุณ ไม่ใช่รักคุณที่คุณเป็นใคร โอเค๊”

    “แหงสิ ใครจะเป็นทาสแกได้ประเสริฐเท่าฉันล่ะ”

    “นอกเรื่องน่า แต่ผมซีเรียส คุณไปสอบด้วยเหตุผลแค่นี้น่ะเหรอ”

    “ก็ใช่สิคะ หรือจะเอาเหตุผลยาวๆ ได้... แต่ฟังให้จบก็แล้วกัน ฮ่ะๆ”

    “ว่ามา อย่าชักช้า”

    “แกเป็นพี่ใหญ่ของครอบครัว เป็นคนที่จะพลาดไม่ได้ เป็นคนที่จะต้องไม่ถูกครหา คนที่จะต้องเป็นหน้าเป็นตาให้พ่อกับแม่” ครอบครัวต่างจังหวัด มักเป็นแบบนี้, นั่นก็คือการคาดหวังในตัวลูกคนที่สามารถจะคาดหวังได้ โดยเฉพาะพี่คนโตที่เป็นหัวเรี่ยวหัวแรงของบ้าน จำเป็นต้องวางความต้องการของตัวเองลงแล้วทำเพื่อพ่อแม่และน้อง เฌลลีรู้ว่าเขาจะไม่เลือกเพื่อตัวเอง เพราะณนนท์ไม่ใช่คนเห็นแก่ตัวโดยพื้นฐาน ใครสักคนที่เขาจะเลือกคือ คนที่พ่อแม่เห็นด้วยว่าเหมาะสมกับฐานะครอบครัวอันมีเกียรติ

    “พ่อแม่ของแกเป็นคนมีหน้ามีตาในสังคมมิใช่น้อย ดังนั้นแล้วคนที่แกจะเลือกมาเป็นสะใภ้ให้พ่อแม่แกจึงต้องไม่ธรรมดา แต่ฉันธรรมดามากถึงมากที่สุด ฉันเป็นคนที่ไม่มีอะไรเหมาะสมกับแกเลยสักอย่าง พ่อแม่ฉันเป็นครูบ้านนอกกระจอกและจน แม่ฉันไม่ได้เรียกน้องเฌลลีเหมือนที่แม่แกเรียกน้องนนท์ และถ้าอายุแกอยู่ในเลขสอง แกจะเลือกผู้หญิงสักคนที่แกรักเค้า แต่เมื่อไหร่ที่ขึ้นเลขสาม แกจะเลือกที่ความเหมาะสม และแน่นอน มันไม่ใช่ฉัน ฉันจะไม่บอกอีกครั้งถึงความรู้สึกของฉัน เพราะฉันบอกไปบ่อยแล้ว และฉันก็ยังเป็นได้แค่เพื่อนเท่านั้นอยู่อย่างนี้ ฉันรู้ว่าระหว่างแกกับฉันไม่ว่าจะวันนี้หรือชาติหน้าเราก็ยังเป็นได้แค่เพื่อน มากที่สุดก็เพื่อนสนิทเท่านั้น ไม่มีทางเป็นอย่างอื่นไปได้แน่”

    “อ้อ..............ด้วยเหตุนี้ พี่แป้นของผมจึงลงทุนไต่เขาชะเมาจนตัวดำเมี่ยมและผอมเพรียว”


    “ทะลึ่งน่ะน้องเล็ก พี่กำลังซีเรียส นี่ดูหน้าตาตอนคนสวยซีเรียส”

    “แค่นี้เหรอ” ณนนท์ยังรู้สึกว่านั่นเป็นเหตุผลที่ยังฟังไม่ขึ้นเท่าที่ควร

    “แรงขับดัน ที่ทำให้ฉันอยากสอบ ก็คือแก มันอาจจะฟังดูไม่น่าเชื่อแต่ฉันคิดว่าถ้าฉันสอบได้มันอาจจะทำให้ฉันเหมาะสมกับแกมากขึ้น...”

    “แล้วคุณสอบได้ไหม”

    “ไม่รู้ ผลสอบยังไม่ออก”

    “อุตส่าห์ทรมานตัวเองเป็นเดือนๆ ถ้าสอบไม่ได้นี่จะเสียใจไหมครับพี่” นี่น้องเล็กเป็นคนถาม เพราะนั่งอยู่ในวงสนทนาด้วย พี่ชายพยักหน้าเห็นด้วยกับคำถาม

    “ก็ไม่ได้เลวร้ายอะไรนี่ เพราะมันไม่ใช่การตัดสินว่าชีวิตเราประสบความสำเร็จหรือล้มเหลว มันเป็นเพียงการทดสอบสมรรถภาพอย่างหนึ่งเท่านั้นเองซึ่งก็แปลว่าเมื่อผลออกมามันทำให้รู้ว่า ฉันแข็งแกร่ง อ่อนซ้อม หรือต้องสั่งสมประสบการณ์ และชั่วโมงบินมากเท่าใดจึงจะสามารถลงสนามได้ใหม่อีกครั้ง ต่อให้ฉันไม่ได้ทุนนี้ ฉันอาจจะได้ทุนอื่นก็ได้ใครจะรู้ เพราะมันเป็นเรื่องของความสามารถและวาสนาว้อย”

    “ไม่เข็ดเหรอ”

    “ถ้าเราไม่รู้ว่าเมื่อใดว่าวันสุดท้ายของชีวิตจะมาถึงเมื่อใด ก็ไม่น่าแปลกที่จะใช้ให้คุ้มก่อนที่มันจะหมดลงโดยไม่รู้ตัว ว่าไหมล่ะ”

    “อื้อ มีความคิด มีความคิด” ดูเหมือนน้องเล็กจะหมดความสนใจเรื่องของผู้ใหญ่เพียงเท่านั้น เพราะเขาเลี่ยงขึ้นบ้านไปคุยโทรศัพท์กับสาวๆ ตามประสาคนหน้าตาดีที่อายุยังน้อย ปล่อยให้สองพี่ใหญ่ที่อายุรวมกันแล้วก็เลยห้าสิบมาไกลโข นั่งคุยกันตามประสาผู้สูงวัย

    “การได้อยู่กับแกในตอนนี้ และมีเรื่องราวมากมายเกิดขึ้นให้เป็นความทรงจำเป็นความสุขของฉัน เพราะวันหนึ่งข้างหน้าฉันจะไม่มีแกและแกก็จะไม่มีฉัน ดังนั้น ระหว่างนี้อะไรที่ฉันสามารถสร้างมันขึ้นมาได้ ฉันก็จะทำ เหมือนกับที่ฉันบอกว่า ฉันรักแกนะ นั่นแหละ เพราะฉันไม่รู้ว่าเมื่อไหร่วันสุดท้ายของชีวิตฉันจะมาเคาะประตูเรียก แล้วฉันจะไม่มีโอกาสได้บอกแก แต่ฉันไม่ถามหรอกว่าทำไมแกไม่รักฉัน เพราะถ้าฉันเป็นแก ฉันก็จะไม่รักฉัน”

    “เพราะคุณหน้าแป้น”

    “ยุ่งกะหน้าฉันอีกครั้งเดียว ฉันสังหารแกแน่เลยไอ้ยื่น”

    “ล้อเล่น... คุณจะไม่ถามจริงๆ เหรอว่าทำไมผมไม่รักคุณ”

    “ไม่อ่ะ เพราะแกกำลังจะบอก”

    “เพราะคุณหน้าแป้น” ก๊อบคำตอบเดิมมาตอบเป็นหนที่สอง

    “ผมรักคุณนะ ไม่ใช่ไม่รัก แล้วผมก็ขอบคุณมากสำหรับเรื่องที่คุณพยายามทำเพื่อผม แต่คุณไม่ได้แต่งงานกับพ่อผมหรือแม่ผมนี่ คุณคิดแทนท่านมากไปหรือเปล่า? เพราะคนที่จะตัดสินใจว่าจะเลือกใครน่ะ ไม่ใช่พ่อกับแม่ อะไรที่ผมเห็นว่าเหมาะสมแล้วผมมีเหตุผลรองรับทั้งนั้นแหละ และที่แน่ ๆ พ่อกับแม่ผมท่านเป็นคนมีเหตุผล ท่านแต่งงานกันด้วยความรัก ผมเชื่อว่าท่านเข้าใจถ้าผมจะเลือกใครสักคนด้วยความรัก ไม่ใช่ที่ฐานะ การศึกษา หรือเกียรติยศ คุณเป็นคนจิตใจดี... นี่แหละเหตุผลที่ผมรักคุณ”

    “แต่เราก็เป็นแค่เพื่อนกันนี่”

    “ก็ใช่น่ะสิ ก็ผมรักคุณแบบเพื่อน ไม่ได้รักแบบอื่นซะหน่อย แล้วคุณเข้าใจว่ายังไงล่ะ”

    “เฮ้อ... ฉันไปนอนดีกว่า พรุ่งนี้ฉันไม่ปลุกแกนะ บางทีฉันอาจจะตื่นสาย”

    “อื้อ ฝันดีนะ” ว่าจบก็เดินออกไปล็อคประตูหน้าบ้านแต่ก็ต้องตกใจเพราะน้องชายคนกลางยืนยิ้มอยู่ตรงประตู

    -------------------------------

    “อ้าว น้องกลาง มาตั้งแต่เมื่อไหร่ ทำไมไม่เข้าบ้าน”

    “มาตอนที่ยัยซุ่มซ่าม บอกว่าในโลกนี้มีสองอย่างที่ไม่เอาไหนเลยคือ กีฬา กับคณิตศาสตร์นั่นแหละ”

    “นั่นมันชั่วโมงก่อน”

    “ชมจันทร์อยู่น่ะพี่ แล้วก็ฟังคนคุยกันเพลินดี”

    “แอบฟังคนคุยกันเนี่ย พ่อแม่ไม่เคยสั่งสอนนะ”

    “ฮ่ะๆ ว่าแต่ พี่ไม่ได้รักเธอจริงๆ เหรอ”

    “เออสิ...”

    “พี่แน่ใจเหรอว่าไม่ได้รักเธอ” น้องชายดักคออย่างรู้ทัน

    “เอ้า ใครจะไปรู้ใจตัวเองมากไปกว่าตัวเองล่ะ”

    “แล้วถ้าเธอรักคนอื่นที่ไม่ใช่พี่ขึ้นมาล่ะ”

    “ก็เรื่องของเค้า พี่เป็นแค่เพื่อนกัน”

    “แล้วถ้าคนคนนั้นเป็นผมล่ะ”

    “ก็เรื่องของนาย เฮ้ย... อย่าได้คิดเชียว พี่จะฟ้องน้องยุ้ย”

    “ผมเลิกกับยุ้ยแล้ว และยิ่งพอได้ฟังเฌลลีพูดถึงความรู้สึกที่มีต่อพี่แล้ว ผมเลยรู้ว่าความรักของเฌลลีที่มีมันเป็นทั้งหมดที่เค้ามีเลยแหละ คนที่ทั้งรักและภักดีเนี่ยหาไม่ได้ง่ายๆ หรอกนะพี่” ณฌาเป็นคนขี้เศร้า เมื่อไหร่ที่เจ็บร้าวจากความรัก คำพูดแบบนักประพันธ์มักจะหล่นจากปากเขาเสมอ

    “ไปนอนไป วันนี้ตำแหน่งนายอยู่ที่โซฟาหน้าทีวี”

    “ใครบอก... ผมจะไปนอนชมจันทร์บนดาดฟ้าตะหาก ไปด้วยกันไหมล่ะ”

    “ไม่หรอก ตามใจ พี่ไม่ได้อกหักเหมือนนายนี่”

    “แล้วผมจะทำให้พี่อกหัก” ว่าจบก็ตะกายขึ้นไปถึงชั้นสองโดดผลุงลงโซฟา แล้วก็หลับไม่รู้เรื่อง

    “ขี้เมาเหมือนใครน๊าน้องกลางเอ๊ย” พี่ชายบ่นพึมพำก่อนลากคนตัวโตไปโยนลงบนเตียงที่ห้องของน้องเล็กซึ่งอยู่ใกล้สุด

    สามพี่น้อง นอนด้วยกัน คนหนึ่งหลับอย่างมีความสุขเพราะเพิ่งวางสายจากสาวสวย คนหนึ่งหลับอย่างเมามายเพราะเพิ่งอกหักมาสดๆ แต่อีกคนกลับข่มตาลงไม่ได้เลยเพราะคำถามที่ว่า “พี่แน่ใจเหรอว่าไม่ได้รักเธอ” ของน้องชายคนกลางที่เมาพับหลับไปเมื่อไม่นาน...

    และเพราะคำถามของน้องชายทำให้ณนนท์ต้องลุกจากที่นอนไป “นอนชมจันทร์” บนดาดฟ้าแทน.../

    จากคุณ : ดาริกามณี - [ 26 ม.ค. 50 08:58:23 ]

 
 


ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com | Torakhong.org | GameRoom