ในบทความเรื่อง ปรัชญาของความรัก จากเรื่อง Symposium ซึ่งอยู่ในหนังสือ ชุดปรัชญาของ เพลโต (Plato) ภาค บทสุนทรพจน์เฟดรัส (Phaedrus) เฟดรัส ได้ยกบทกวีของ เฮสิออด (Hesiod) กวีกรีกสมัยศตวรรษที่ 8 B.C. (800 ปี ก่อน ค.ศ) ที่ได้เคยบรรยายไว้ใน เทโอโกนี (Theogony) ซึ่งเป็นบทกวีเกี่ยวกับจักรวาลวิทยา ความว่า
"First chaos came. and then broad-bosomed Earth. The everlasting seat of all that is love."
พินิจ รัตนกุล แปลเป็นสยามพากย์ ว่า
อากูล แรกจรดก้าว.............มานำ
แผนแผ่นธรณีกาง..............กอดอ้อม
เป็นประดิษฐานชีพปวงจำ....จึงคลี่
แล้วแหล่ะรักล้ำน้อม...........เนื่องมา
นักปรัชญากรีกสมัยก่อน โสเครตีส (Socrates) ถือว่าทุกอย่างเกิดจาก อากูล (Chaos) ซึ่งบางคนก็บอกว่าคือความว่างเปล่าไม่มีที่สิ้นสุดแต่บางคนก็ว่าเป็นสสารที่ไม่มีรูปร่าง เทพนิยายกรีกกล่าวว่า แรกเริ่มเกิดความอากูล ต่อมาจึงเกิดโลก บาดาล และความรัก ความรักเป็นพลังที่จัดระเบียบของจักรวาล เกิดภาวะเสถียรภาพ (stable) กวีกรีกโบราณ เชื่อว่า "ความมีระเบียบมาจากความไร้ระเบียบ" เคออส หรือ คาออส (ภาษาอังกฤษ-Chaos, กรีก Khaos) ในความคิดของเฮสิออด เคออสเป็นเพียงแค่สภาวะแรกเริ่มของจักรวาลที่มืดมนอนธกาล ไม่มีชีวิต ไม่ได้เป็นเทพแต่อย่างใด ต่อมาโอวิด (Ovid) กวีชาวโรมัน (50 ปีก่อนคริสตกาล) ได้เขียนกำเนิดโลกไว้ใน Metamorphoses ว่าแรกมีเคออสเป็นปฐมเทพ จากนั้นจึงเกิดสิ่งต่างๆตามมา โดยรวมแล้ว เคออส คือ สภาพแรกเริ่มที่มืดดำ เวิ้งว้างไร้ขอบเขต ไร้ระเบียบหรือสรรพสิ่งใดๆ ด้วยเหตุนี้ภาษาอังกฤษเลยรับคำ Chaosไปใช้หมายถึง สภาพไร้ระเบียบ ยุ่งเหยิง สับสนวุ่นวายไม่มีขื่อแป และเพราะรากคำนี้เป็นภาษากรีก ตัว Ch เลยออกเสียงเป็น ค(K )
ไม่ใช่เสียง ช(Ch)
เอียน สจ๊วต (Ian Stewart : เกิด1945 ) นักคณิตศาสตร์ชาวอังกฤษ ได้ให้คำจำกัดความทฤษฎีไร้ระเบียบว่า " ความสามารถของวิธีวิทยาที่เรียบง่ายโดยปราศจากคุณสมบัติสะเปะสะปะไร้ทิศทางเพื่อให้กำเนิดพฤติกรรมที่ไร้แบบแผนขั้นสูง " สามารถอ่านเพิ่มใน http://en.wikipedia.org/wiki/Ian_Stewart_(mathematician)
นอกจากนี้ทฤษฎีไร้ระเบียบ ยังมีอีกหลายคำจำกัดความเช่น
"เป็นความมีระเบียบที่ไม่มีคาบ"
"เป็นพฤติกรรมที่เกิดขึ้นสะเปะสะปะไร้ทิศทางอย่างเห็นได้ชัดเจนในระบบที่ถูกกำหนดธรรมดา (ทำงานคล้ายนาฬิกา)"
"การศึกษาเชิงคุณภาพเรื่องพฤติกรรมแบบไม่เป็นคาบและไม่มีเสถียรภาพในระบบที่ถูกกำหนดไม่เป็นเส้นตรง" ฯลฯ
สำหรับ ในไทย ได้มีการกล่าวถึง สภาวะแรกเริ่มของจักรวาล ไว้ใน ลิลิตโองการแช่งน้ำ ความว่า
นานา อเนกน้าว เดิมกัลป์
จักร่ำ จักราพาฬ เมื่อไหม้
กล่าวถึง ตระวันเจ็ด อันพลุ่ง
น้ำแล้งไข้ ขอดหาย ฯ
เจ็ดปลา มันพุ่งหล้า เป็นไฟ
วะวาบ จัตุราบาย แผ่นขว้ำ
ชักไตรตรึงษ์ เป็นเผ้า
แลบ่ล้ำ สีลอง ฯ
อ้างใน http://th.wikisource.org/wiki/%E0%B9%82%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%81%E0%B8%8A%E0%B9%88%E0%B8%87%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B3
ลิลิตโองการแช่งน้ำกล่าวถึงเหตุการณ์ โลกประลัยด้วยไฟ เพราะมี ตระวันเจ็ด(ดวง) อัน (ลุกไม้) พลุ่ง (พล่าน) ดังนั้น น้ำ จึง แล้ง ไข้ ขอดหาย (น้ำแล้งและเป็นไข้ เพราะน้ำมีความร้อนสูง น้ำจึงแห้งขอดหายไป) เจ็ดปลามันพุ่งหล้าเป็นไฟ (ทวีปทั้ง 7 เกิดโกลาหล เพราะ หินเหลวร้อนพุ่งปะทุสู่ท้องฟ้า คนโบราณเชื่อว่า ใต้เปลือกโลกมีปลา ตัวใหญ่ชื่อปลาอานนท์ หนุนเปลือกโลกอยู่ ที่จริงปลาอานนท์ นี้ก็คือเปลือกโลกของทวีปต่างๆนั่นเอง ) ..........ขี้เกียจแปลต่อ..
สำหรับ เรื่อง การกำเนิดสรรพสิ่ง พุทธศาสนาอธิบายไว้อ้อมๆ ในเรื่อง ปฏิจจสมุปบาท
ปฏิจจสมุปบาท มีองค์หรือหัวข้อ 12 (การเกิดขึ้นพร้อมแห่งธรรมทั้งหลาย เพราะอาศัยกัน, ธรรมที่อาศัยกันเกิดขึ้นพร้อม, การที่สิ่งทั้งหลายอาศัยกันๆ จึงเกิดมีขึ้น the Dependent Origination; conditioned arising)
1/2. อวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา เพราะอวิชชา เป็นปัจจัย สังขาร จึงมี
(Dependent on lgnorance arise Kamma-Formations)
3. สงฺขาราปจฺจยา วิญฺญาณํ เพราะสังขารเป็นปัจจัย วิญญาณ จึงมี
(Dependent on Kamma-Formations arise Consciousness)
4. วิญฺญาณปจฺจยา นามรูปํ เพราะวิญญาณเป็นปัจจัย นามรูป จึงมี
(Dependent on Consciousness arise Mind and Matter)
5. นามรูปปจฺจยา สฬายตนํ เพราะนามรูปเป็นปัจจัย สฬายตนะ จึงมี
(Dependent on Mind and Matter arise the Six Sense-Bases.)
6. สฬายตนปจฺจยา ผสฺโส เพราะสฬายตนะเป็นปัจจัย ผัสสะ จึงมี
(Dependent on the Six Sense-Bases arises Contact)
7. ผสฺสปจฺจยา เวทนา เพราะผัสสะเป็นปัจจัย เวทนา จึงมี
(Dependent on Contact arise Feeling)
8. เวทนาปจฺจยา ตณฺหา เพราะเวทนาเป็นปัจจัย ตัณหา จึงมี
(Dependent on Feeling arise Craving.)
9. ตณฺหาปจฺจยา อุปาทานํ เพราะตัณหาเป็นปัจจัย อุปาทาน จึงมี
(Dependent on Craving arises Clinging.)
10. อุปาทานปจฺจยา ภโว เพราะอุปาทานเป็นปัจจัย ภพ จึงมี
(Dependent on Clinging arises Becoming.)
11. ภวปจฺจยา ชาติ เพราะภพเป็นปัจจัย ชาติ จึงมี
(Dependent on Becoming arises Birth.)
12. ชาติปจฺจยา ชรามรณํ เพราะชาติเป็นปัจจัย ชรามรณะ จึงมี
(Dependent on Birth arise Decay and Death.)
โสกปริเทวทุกฺขโทมนสฺสุปายาสา สมฺภวนฺติ
ความโศก ความคร่ำครวญ ทุกข์ โทมนัส และความคับแค้นใจ ก็มีพร้อม
(There also arise sorrow, lamentation, pain, grief and despair.)
เอวเมตสฺส เกวลสฺส ทุกฺขกฺขนฺธสฺส สมุทโย โหติ.
ความเกิดขึ้นแห่งกองทุกข์ทั้งปวงนี้ จึงมีด้วยประการฉะนี้
(Thus arises this whole mass of suffering.)
ทั้ง 12 ข้อ เป็นปัจจัยต่อเนื่องกันไป หมุนเวียนเป็นวงจร ไม่มีต้นไม่มีปลาย เรียกว่า ภวจักร (วงล้อหรือวงจรแห่งภพ wheel of existence)
ปฏิจจสมุปบาทนี้ มีชื่อเรียกอย่างอื่นอีก ที่สำคัญคือ อิทัปปัจจยตา (ภาวะที่มีอันนี้ๆ เป็นปัจจัย specific conditionality) ธรรมนิยาม (ความเป็นไปอันแน่นอนแห่งธรรมดา, กฎธรรมชาติ orderliness of nature; natural law) และ ปัจจยาการ (อาการที่สิ่งทั้งหลายเป็นปัจจัยแก่กัน mode of conditionality; structure of conditions) เฉพาะชื่อหลังนี้เป็นคำที่นิยมใช้ในคัมภีร์อภิธรรม และคัมภีร์รุ่นอรรถกถา.
อ้างใน http://84000.org/tipitaka/dic/d_item.php?i=340
แก้ไขเมื่อ 07 ก.พ. 50 13:02:01
แก้ไขเมื่อ 07 ก.พ. 50 12:50:16
แก้ไขเมื่อ 06 ก.พ. 50 21:01:02
แก้ไขเมื่อ 06 ก.พ. 50 21:00:33
แก้ไขเมื่อ 04 ก.พ. 50 21:06:20
แก้ไขเมื่อ 03 ก.พ. 50 20:54:01
แก้ไขเมื่อ 03 ก.พ. 50 20:51:17
แก้ไขเมื่อ 03 ก.พ. 50 20:17:25
แก้ไขเมื่อ 02 ก.พ. 50 21:56:48