เรื่องเรื่อยเปื่อย ของนายกริช
ผมไปบวชมาครับ นับเวลาตั้งแต่เริ่มอุปสมบทจนถึงลาสิกขาบท นับได้ 25 วัน คือตั้งแต่วันที่ 10 ธันวาคม 2549 ถึงวันที่ 4 มกราคม 2550 พอดีเลย
มูลเหตุก็ไม่มีอะไรมาก ช่วงนี้เป็นช่วงที่ผมว่างจากการเรียน การทำงานรายงาน และการทำบทความวิจัย เนื่องจากงานทั้งหลาย ได้ดำเนินการเสร็จสิ้นไปแล้ว อยู่ที่อาจารย์ทีปรึกษาทำการตรวจทานแก้ไขเท่านั้น แล้วก็จะได้กำหนดวันสอบจบเสียที นับได้ 5 ปี กับ 1 เทอม เป็นเวลาเรียนอันยาวนานจริงๆ นะเนี้ยะ
ผมกลับบ้านมาตั้งแต่วันที่ 25 พฤษจิกายนแล้ว เพื่อมาเตรียมตัว เอาบทสวดสำหรับบรรพชา และอุปสมบทไปท่อง ผมใช้เวลา 2 อาทิตย์ในการท่องแนะ แต่ท่องไป ถึงเวลาจริงๆ ก็ตื่นเต้น ลืมหมดอยู่ดี มีการอุปสมบท 2 แบบ ของผมเริ่มต้นด้วย เอสาหัง เลยสั้นหน่อย
ก่อนวันบวช 1 วัน ผมต้องเป็นนาคก่อน ก็คือการโกนหัวนั่นเอง ผมเริ่มโกนหัวตอนเย็นๆ มีพระพี่เลี้ยง ไปโกนให้ที่บ้าน ก็มีการเลี้ยงกันในหมู่ญาตินิดหน่อย ประมาณ 40 50 คนที่มางาน พอโกนหัวเสร็จ ผมก็เป็นนาคเลย มีพิธีขอขมาบิดามารดาก่อนเล็กน้อย
พอวันรุ่งขึ้น ผมต้องในเสื้อแขนยาวสีขาว นุ่งผ้านุ่งสีขาว มีชุดกาวน์ สีขาว คล้ายๆ ครุยรับปริญญาของจุฬาฯ น่ะ มีสร้อยคอทองคำด้วยนะ ใส่นอกเสื้อเหมือนพวกพ่อกำนันตามชนบทน่ะ ของจริงเส้นนึง ของปลอมเส้นนึง ไม่มีใครรู้หรอก ผมใส่ เค้าก็ว่าจริงทั้งนั้น 
เริ่มต้น ผมก็มาวัดแต่เช้าเลยประมาณเจ็ดโมงครึ่งได้นะ เริ่มพิธีเทศน์สอนนาคประมาณเกือบๆ 9 โมงเช้าได้น่ะ ก่อนหน้านั้นก็ทักทายแขกทั้งหลาย ส่วนใหญ่เป็นแขกของพ่อกับแม่ซะมาก แขกของผม ก็คือเพื่อนๆ ผมกว่าผมจะได้เจอ ก็พิธีบวชเสร็จไปแล้วโน้นแน่ หลังฉันท์เพลน่ะ
ท่านพระครู ที่เป็นพระผู้เทศน์สอนนาค ก็ได้สั่งสอน ท่านพระครูนี้ เป็นรักษาการเจ้าอาวาสวัดที่ผมบวชอยู่นี้เอง ตอนนี้ท่านได้รับการแต่งตั้งให้เป็นเจ้าอาวาสแล้วล่ะครับ ประมาณ 10 โมง ก็เริ่มตั้งขบวนแห่ ผมน่ะยังอยู่ในชุดนาคอยู่เลย อยู่ตรงกลางขบวน พ่อถือบาตร แม่ถือผ้าไตร แล้วก็คนอื่นๆ ก็แบ่งๆ กันไปคนละชิ้นสองชิ้นใครถืออะไรมั่ง ผมก็ไม่เห็น อย่าถามว่าใครถือหมอน เพราะไม่รู้เหมือนกัน
ขบวนแห่ แห่ไปรอบโบสถ์ 3 รอบ เวียนขวา ระหว่างนั้นก็มีเสียงโห่ เป็นระยะๆ เพื่อความครึกครึ้น พอครบ 3 รอบแล้ว ก็ไปหยุดที่หน้าโบสถ์ ตรงใบเสมา กล่าวคำขอขมา แล้วก็เข้าไปในโบสถ์ ระหว่างนั้น ญาติโยมทั้งหลาย ก็จะยื้อยุดฉุดกระชาก ไม่ให้เค้า ไม่รู้ว่าทำไมเหมือนกัน แต่ก็เข้าไปในโบสถ์ได้แล้ว พ่อกับแม่ก็รออยู่ในนั้น ไปนั่งคุกเข่าตรงหน้าพระอุปัชฌาย์ ที่นั่งเป็นประธานในหมู่คณะสงฆ์ประมาณ 20 รูป ด้านหน้าผม คือพระอุปัชฌาย์ เป็นประธาน ขนาบด้วยพระคู่สวดสองรูป พอพร้อม ก็เริ่มพิธีเลยครับ ผมก็ท่อง แต่ก็ติด ต้องมีพระคู่สวดนำให้ตลอด เพราะว่าตื่นเต้น เลยลืมหมดเลย
พอเสร็จ ผมก็เป็นพระแล้ว พระสงฆ์ที่อยู่ในโบสถ์ก็เดินออกมา ผมเป็นพระที่มีพรรษาน้อยที่สุด ก็ต้องเดินตามหลัง พอออกมา ก็มีญาติโยมค่อยใส่บาตรพระใหม่ มีการเอาเสื่อปูให้ผมเดินไปใส่รองเท้า ซึ่งเป็นรองเท้าใหม่เหมือนกันระหว่างนั้นก็มีการใส่บาตร ก็คือใส่ปัจจัยที่ย่ามของผมน่ะเอง ก็กว่าเดินไปใส่รองเท้าได้ก็นานพอควร แล้วก็ขึ้นไปฉันท์เพล ก็เป็นอันเสร็จพิธีครับ
หลังจากนั้น ชีวิตก็ผมเปลี่ยนไปเลย ช่วงแรกๆ ก็อึดอัดเหมือนกัน เพราะเดิมผมเป็นคนทีอะไรทำเยอะ พอเป็นพระ ภารกิจไม่ค่อยมี แต่อยู่ว่างๆ อยู่สองวัน ก็มีกิจนิมนต์ งานศพบ้าง งานทำบุญขึ้นบ้านใหม่บ้าง งานทำบุญปีใหม่บ้าง แต่ส่วนใหญ่เป็นงานศพ เรียกว่าสวดมาติกาน่ะครับ
ในตอนหน้า ก็จะเล่าให้ฟังถึงงานพิธีทางศาสนาต่างๆ ที่ผมได้ประสบมา ระหว่างที่เป็นพระนะครับ
จากคุณ :
กริชครับผม
- [
2 ก.พ. 50 08:45:12
]