สวัสดีครับ :
นานแล้วที่ผมไม่ได้เขียนอะไรเป็นเรื่องเป็นราว ( DP III ดองไปแล้ว ) เพราะมีธุระมากมาย แต่ในวันนี้ผมว่างพอที่จะเขียน และสมองผมมันก็แล่นพอดี เรื่องสั้นเรื่องนี้จึงออกมาได้ สำหรับเรื่องสั้นเรื่องนี้ ผมได้แรงบันดาลใจมาจากข่าวๆ หนึ่งเมื่อไม่กี่สัปดาห์ก่อนที่ว่า " สาวใจเด็ดชกหน้าชายหื่นกามแล้วจับส่งตำรวจ " โดยข้อสังเกตก็คือ ทำไมไม่มีใครคิดจะช่วยเธอเลย ทุกคนมองแล้วก็ผ่านไป
ผมจึงขออนุญาตมองในมุมของคนไม่เอาไหนอย่างผมบ้าง หวังว่าเมื่อได้อ่านแล้ว คงจะเข้าใจคนที่ไม่ได้เข้าไปช่วยเหลือมากขึ้นครับ
----------------------
สถานีรถไฟหัวลำโพง เวลา 19.30 น.
สถานีรถไฟที่ผู้คนแน่นขนัดตลอดไม่ว่าจะช่วงเวลากลางวันหรือกลางคืนเพราะเป็นจุดใหญ่ที่ผู้ใดต้องการจะโดยสารรถไฟไปยังที่ใดในประเทศไทยจะต้องมาที่นี่ บรรยากาศที่วุ่นวายของผู้คนมากหน้าหลายตา ทั้งผู้ที่มาใช้บริการรถไฟเพื่อเดินทาง เจ้าหน้าที่ประจำสถานีและขบวนรถ ตลอดจนพ่อค้าแม่ค้ารวมไปถึงคนจรจัดไร้ที่อยู่ที่ต้องนอนอยู่บริเวณรอบๆ อาคารพักผู้โดยสาร ภาพเหล่านี้เป็นที่ชินตาเป็นอย่างดีสำหรับผู้ที่เดินทางผ่านไปมาในย่านนี้อยู่บ่อยๆ
ผมนั่งรออยู่บนขบวนรถชั้นสามที่จะมุ่งหน้าขึ้นสู่จังหวัดทางภาคเหนือของประเทศด้วยสภาพที่อ่อนล้าทั้งร่างกายและจิตใจ ข้างกายผมมีเพียงกระเป๋าสะพายข้างใบเก่งของผมกับเบียร์สิงห์ขวดเล็กในมือเท่านั้น สายตามองออกไปนอกหน้าต่างราวกับคนหมดอาลัยตายอยาก ผมสังเกตเห็นสายตาของเด็กน้อยบางคนที่เดินทางกับครอบครัวมองผมด้วยสายตาแปลกๆ
" แม่ๆ ลุงคนนั้นเขาเป็นอะไรน่ะ "
ผมดูราวกับเป็นคนชราที่เสื่อมสมรรถภาพในสายตาของเด็กพวกนั้นที่บ่นพึมพำกับแม่ของเขาทั้งๆ ที่ผมอายุแค่เพียง 25 ปีเท่านั้น บางทีอาจจะเป็นเพราะตลอดสองเดือนมานี้ ผมดื่มจัดและใช้ชีวิตราวกับคนเสียสติ เพื่อนๆ ผมในละแวกบ้านเองก็ไม่ค่อยเข้าใจผมมากนัก ในที่สุด ผมก็ต้องเดินทางจากพวกเขามาด้วยความทุกข์ทรมานในใจ
" ก็ใครเล่า! จะมาแบกรับความทุกข์ที่กุประสบมาวะ พวกเมิงไม่เข้าใจหรอก คนอย่างกุ....คนอย่างกุ... "
ผมบ่นไปพลางมองออกไปนอกหน้าต่างด้วยความอาลัยว่าไม่รู้เมื่อไรจึงมีโอกาสได้กลับมายังกรุงเทพฯ นครหลวงที่ผมเกิดและเติบโต ความทรงจำของผมมากมายอยู่ที่นี่ แต่ผมเองก็ไม่อาจจะอยู่ได้ท่ามกลางสายตาและคำพูดที่ดูถูกของใครหลายคนรอบตัวได้เลย
" วู้นนนนนนนนนน! เคร้งๆ เคร้งๆ "
รถไฟค่อยๆ แล่นออกจากชานชาลาในเวลาเกือบสองทุ่ม ผมมองย้อนกลับไปยังสถานีด้วยความหดหู่ใจ น้ำใสๆ ค่อยๆ ไหลรินออกมาจากดวงตาของผมอย่างช้าๆ โดยที่ผมไม่รู้สึกตัว ผมไม่รู้เลยว่ามันออกมาเมื่อไร รู้แต่ว่าในความทรงจำของผม เรื่องบางเรื่องมันตามมาหลอกหลอนคนอย่างผมตลอด คนที่ได้ชื่อว่าเป็น " พ่อพิมพ์ของชาติ " แต่ไม่อาจจะเป็นตัวอย่างหรือแรงบันดาลใจให้กับต้นกล้าน้อยๆ ที่กำลังเติบโตได้เลย ผมหลับตาลงอีกครั้งหวังจะงีบหลับให้ลืมเรื่องบางเรื่องนั้นเสีย แต่ทว่า.....
" พ่อหนุ่ม! ลุงนั่งด้วยได้ไหม? "
" เชิญครับ! "
ชายวัยกลางคนผู้หนึ่งเดินหาที่นั่งมาจากโบกี้ด้านหน้าของขบวนรถ ดูจากอายุแล้วน่าจะราวๆ ห้าสิบเจ็ดถึงหกสิบปี แต่งกายง่ายๆ เหมือนกับชาวบ้านทั่วๆ ไป และแม้ว่าจะดูมีอายุหากมองที่ใบหน้าและผิวพรรณที่มีรอยย่นตามสังขารที่ไม่เที่ยง แต่ท่าทางการเคลื่อนไหวที่กระฉับกระเฉงนั้นก็ทำให้ผมอดทึ่งได้ไม่น้อย บางทีผมอาจจะมีสิทธิ์โดนลุงคนนี้ชกหน้าลงไปกองกับพื้นได้หากผมคิดจะมีเรื่องกับแก แต่ตอนนี้ลุงแกคงอยากหาที่นั่ง ซึ่งเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามผมก็ว่างอยู่แล้ว จึงเรียกให้ลุงแกนั่งเพราะเห็นแกเดินหาที่นั่งมาครู่ใหญ่แล้ว
ตลอดระยะเวลากว่าหนึ่งชั่วโมง ทั้งผมและชายวัยกลางคนไม่พูดจาโต้ตอบกันแม้สักประโยคเดียว ผมยังคงนั่งดื่มเบียร์ทั้งแบบขวดและแบบกระป๋องที่มีคนนำขึ้นมาขายบนรถ สายตาก็ยังคงมองออกไปนอกหน้าต่างที่ตอนนี้มีแต่ความมืดมิดเพราะออกนอกเขตกรุงเทพฯ มาแล้ว ทิวทัศน์ที่เต็มไปด้วยป่าและเสียงของหริ่งหรีดเรไรที่ดังระงมพอๆ กับเสียงเครื่องกลที่ทำให้รถไฟแล่นไปตามรางทางของมัน ขณะที่ลุงคนนั้นยังคงนั่งหลับอยู่ที่เก้าอี้ฝั่งตรงกันข้ามอย่างสบาย
" พ่อหนุ่ม! เอ็งจะดื่มไปถึงเมื่อไรกัน? " ชายวัยกลางคนถามผมทั้งที่ยังหลับตาอยู่
" ........ ดื่ม...ดื่มจนกว่าจะตายมั้งลุง ว่าแต่เอาเบียร์ไหม เดี๋ยวผมเลี้ยง มาดื่มเป็นเพื่อนผมหน่อย "
" ไม่ล่ะ! ถ้าข้าดื่ม เอ็งก็จะต้องดื่มไปมากกว่านี้ สุดท้ายเอ็งคงเมาตาย ไม่ได้ไปถึงจุดหมายที่เอ็งจะไปแน่นอน " ชายชราปฏิเสธผมด้วยน้ำเสียงที่เรียบๆ แต่แฝงด้วยความจริงใจที่แผ่รัศมีออกมาจนผมสัมผัสได้
" ไม่เกี่ยวกับลุงหรอก ผมจะดื่มให้ตายมันก็เรื่องของผม ลุงม่ายดื่มม่ายเปนราย โผมดื่มเองก้อล่าย "
" ถ้างั้นพอเถอะพ่อหนุ่ม เอ็งเมามากแล้ว ......มั่บ! "
ความจริงผมควรจะเมาจนหลับไปหลังจากที่ผมพูดจบด้วยซ้ำ สติสัมปชัญญะผมยังพอมีหากแต่ไม่สามารถควบคุมร่างกายของตัวเองได้ ผมพูดจาแบบคนเมาเสียงลากๆ ตาลอยๆ แต่ผมก็ตกใจจนลืมตาได้เต็มที่ทันทีที่มือซ้ายของลุงเอื้อมมาจับข้อมือผมจนผมเผลอปล่อยขวดเบียร์หลุดมือ ทว่าลุงคนนี้กลับใช้มือขวาเลื่อนมาคว้าขวดไว้ได้อย่างแม่นยำก่อนจะเก็บไว้ข้างตัวของแกเองแล้วปล่อยมือซ้ายออกจากข้อมือขวาของผม
" ลุงต้องการอะไรจากผม เงินหรือ? เอาไปเลย " ผมยื่นธนบัตรใบลำร้อย ใบละห้าสิบ และใบละยี่สิบบาทจำนวนหนึ่งในกระเป๋าผมจะให้แกไปด้วยความกลัว แต่ลุงกลับไม่รับและจ้องตาผมจนผมต้องมองหน้าแกด้วยสภาพที่ตื่นตัว
" พ่อหนุ่ม! อายุยังน้อย หนำซ้ำยังเป็นลูกผู้ชาย ไม่น่าตาขาวกระทั่งลุงแก่ๆ คนนึงเลย เอ็งเอาเงินเก็บไปเถอะ ข้าไม่ใช่โจรหรอกนะ "
" ลุงจะเข้าใจอะไรกับคนอย่างผม แล้วใครบอกว่าผมเป็นลูกผู้ชาย ลุงฟังผมนะ ยี่สิบกว่าปีมานี้ ผมไม่เคยคิดว่าตัวเองเป็นผู้ชายเต็มตัวกับเขาซะที ไม่เคยสักครั้ง " ผมพูดพร้อมกับจะหยิบเบียร์กระป๋องมาเปิดดื่มอีกแต่ชายวัยกลางคนจ้องหน้าผม ผมจึงเก็บมันใส่กระเป๋าไปด้วยความกลัว
" งั้นหรือ! อายุก็ยังน้อย ท่าทางการศึกษาก็สูง ไม่น่าเชื่อว่าคนที่เป็นปัญญาชนจะมีความคิดได้แค่นี้ น่าเสียดายจริงๆ "
" ลุงไม่เข้าใจผมหรอกน่า คนอย่างผมมันน่าจะตายๆ ไปซะด้วยซ้ำ "
" งั้นหรือ....เอ็งพูดว่าอยากตาย แต่แค่เอ็งจะเอาเบียร์มากินต่อหน้าข้า เอ็งยังไม่กล้าเลย ข้าว่าเอ็งมันกลัวตาย ดีแต่ปากมากกว่ามั้ง หุๆๆ "
คำพูดของลุงผู้นั้นเสียดแทงเข้ากลางใจของผมอย่างจัง ใช่สิ! คนอย่างผมแม้แต่จะตายยังไม่กล้า นับประสาอะไรกับความเจ็บปวดที่ได้รับมาตลอดทั้งชีวิตที่ผ่านมานี้ สติผมมันเตลิดอีกครั้ง ผมลุกขึ้นและกำลังจะพุ่งออกไปนอกหน้าต่างแต่ลุงผู้นั้นกลับดึงแขนผมไว้แค่เพียงเมื่อผมยื่นศีรษะออกไปเท่านั้น
" ดูท่าเอ็งจะมีเรื่องไม่สบายใจมากมาย ถ้าไม่คิดว่าข้าเป็นคนนอกก็ช่วยเล่าให้ฟังได้ไหม? " ลุงพูดกับผมด้วยใบหน้าที่ยิ้มน้อยๆ แบบเป็นมิตร ทำให้ผมใจเย็นลงได้บ้าง แต่น้ำตาของผมจะยังไหลไม่หยุด แม้ว่าผมจะพยายามควบคุมความเศร้าในใจก็ตาม
" ครับ! " ผมตอบสั้นๆ ก่อนที่จะเริ่มต้นนิทานที่แสนธรรมดาหากแต่ทำให้ผมต้องหลบลี้หนีหน้าคนได้ นิทานที่คนอื่นคงว่าไร้สาระ แต่ใครไม่เป็นแบบผมคงยากจะเข้าใจ
3 เดือนก่อน
" รู้ไหม? คนเราเนี่ย! ถ้าเห็นคนอื่นเดือดร้อนแล้วเราช่วยได้ต้องช่วยรู้ไหม? "
" ครับ! "
หลังจากที่ผมเรียนจบในระดับปริญญาตรีแล้ว ผมก็สมัครสอบเข้าบรรจุเป็นครูบาอาจารย์ในโรงเรียนแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ ในเวลานั้นผมอายุได้ยี่สิบสี่ปีเศษ ทุกวันที่ผมไปทำงาน ผมถือว่ามันเป็นหน้าที่ๆ สำคัญมาก ผมตั้งใจอยากจะเห็นคุณภาพของเด็กไทยดีขึ้นกว่านี้ ดังนั้นไม่ว่าจะด้านวิชาการก็ดี หรือปัญหาชีวิตส่วนตัวก็ดี ผมพยายามเข้าไปให้คำแนะนำเท่าที่ผมพึงจะมีสติปัญญาที่จะกระทำ เพราะนิยามความสำเร็จในหน้าที่การงานของผม คือการเห็นผู้ที่จะเติบโตไปเป็นผู้รู้และผู้กล้าในอนาคต และผมควรจะได้ทำหน้าที่นี้ไปตลอดจนกว่าผมจะเกษียณอายุราชการ หากเหตุการณ์บางอย่างที่ชักนำผมไปสู่ " ปม " ที่ไม่เคยลืมเลือนและตามหลอกหลอนผมมาตลอดไม่เกิดขึ้นกับผมและนักเรียนคนหนึ่งของผม
2 สัปดาห์ต่อมา
" อาจารย์! หวัดดีครับ "
ในเวลาหัวค่ำ ผมได้ไปทำธุระในย่านอนุสาวรีย์ชัย บังเอิญได้พบกับนักเรียนคนหนึ่ง เขายกมือไหว้ผมด้วยความเคารพ ผมก็ยิ้มให้เขาเช่นกัน เด็กคนนี้ก็มาทำธุระส่วนตัวแถวนี้เช่นกันและก็กำลังจะกลับบ้านกันทั้งคู่ แต่โชคชะตาเหมือนต้องการให้เด็กคนนี้ถึงฆาต เมื่อมีบางสิ่งเกิดขึ้นบริเวณนั้น
" ว่างายยยจ๊า...คนสวย พี่ขอเบอร์หน่อยได้ไหม "
วัยรุ่นท่าทางเหมือนพวกกุ๊ยจำนวน 2 คนยืนขวางหญิงสาววัย 18 ปีหน้าตาดีคนหนึ่งในชุดนักศึกษา พวกมันใช้สายตาลวนลามไปยังส่วนต่างๆ ทั่วเรือนร่างของเธอโดยเฉพาะส่วนที่นูนและเว้าเป็นร่อง ทั้งคู่ค่อยๆ เดินกดดันต้อนเธอเข้าไปในมุมที่เริ่มลับตาคน
" เฮ้ย! อย่ายุ่งโว้ย! เรื่องผัวเมียเขาเคลียร์กัน คนอื่นอย่าเสือ.....ก " หนึ่งในสองคนนั้นถือมีดสปาต้าชี้ไปรอบๆ ข่มขู่ผู้คนที่ผ่านไปมาจนไม่มีใครกล้ามอง ไม่ช้าสองคนนั้นพอไล่ต้อนหญิงสาวเข้าไปในตรอกเล็กๆ แถบนั้น
จากคุณ :
TonyMao_NK51
- [
3 ก.พ. 50 19:31:00
]