..
ความเดิมตอนที่แล้ว
บดินทร์ หนุ่มตี๋หน้าจืดหลงรักมาศมาลี สาวแฟกแฮกตัวยง ผู้ตั้งสัตย์ปฏิญาณว่าจะหาสามีที่เป็นเกย์ให้จงได้
เขาจึงไปขอความช่วยเหลือจากเพื่อนรัก คีรี เกย์หนุ่มเจ้าเสน่ห์ให้สอนวิธีเป็นเกย์ให้แก่เขา
-------
บดินทร์บอกเจ้าสัวธนินทร์ เตี่ยของตน ว่าจะเขาเป็นเกย์ และหอบผ้าผ่อนหนีไปอยู่กับคีรี บุตรชายของฯพณฯท่านหิรัญ เจ้าสัวจึงโทรไปเฉ่งกับหิรัญ และได้ข้อสรุปว่าจะยกเรื่องพวกเด็ก ๆ ให้หิรัญจัดการไปก่อน
..
ตัวต้นเรื่องถอดหูฟังออกเมื่อบทสนทนาจากการดักฟังจบสิ้น บดินทร์ซึ่งนั่งขัดสมาธิอยู่กับพื้นหน้าเครื่องมือท่าทางล้ำยุคก็ถอดหูฟังออกมาแล้วหันไปมองหน้าเพื่อน
"พ่อมืงเจ๋งจริง ๆ ว่ะ ทำเตี๋ยกูหงอไปเลย"
คีรีหัวเราะ หึหึ ในลำคอ พลางวางโสตอุปกรณ์ไว้ในพื้นที่มุมหนึ่งของคอนโดที่เขาอุทิศไว้สำหรับเครื่องมือของเจ้าตี๋โดยเฉพาะ
"มืงก็ใช่ย่อย ขนาดออกมาจากบ้านยังวางยาไว้อีก เตี่ยมืงคงแทบเต้นถ้ารู้ว่าถูกติดเครื่องดักฟังไว้ในตัวมือถือของแกเลย"
อาตี๋ยิ้มแป้น ถ้าเรื่องพวกเจาะข้อมูลสืบความลับน่ะขอให้บอก ตี๋จัดให้ เขาชอบเสาะแสวงความรู้เกี่ยวกับวงจรอิเล็กทรอนิกส์และโปรแกรมคอมพิวเตอร์มาตั้งแต่เยาว์วัยเพราะคลั่งไคล้ใหลหลงในตัวสายลับชื่อดังในภาพยนต์ โดยเฉพาะเมื่อประกอบกับที่บ้านทำธุรกิจเกี่ยวกับการสื่อสาร โครงสร้างและอะไรต่อมิอะไรของระบบโทรคมนาคมจึงหลุดรอดออกมาให้บดินทร์ศึกษา
"ก็บอกแล้วไง ที่บริษัทมือถือทั้งหลายว่าตะโกนปาว ๆ ว่าไม่มีการดักฟังโทรศัพท์เด็ดขาดน่ะมันแหลทั้งเพ ถ้าอยากทำก็ทำได้ แต่เพราะการที่ซิมไม่จำเป็นต้องลงทะเบียนชื่อก็ซื้อได้ ทำให้การเจาะจงดักฟังใครสักคนยากมาก"
"มืงนี่พูดยังกับนักวิชาการโทรศัพท์ ว่าแต่ว่าเครื่องดักฟังของมืงใช้ได้นานแค่ไหนล่ะนี่ แบตไม่มีหมดเหรอวะ"
"หึ" เจ้าตี๋ส่ายหน้าขาว ๆ ปฏิเสธ "เครื่องของกูไม่ต้องใช้แบตโว้ย ขโมยไฟหล่อโทรศัพท์มาโดยตรงเลย เตี่ยกูชาร์จเมื่อไหร่ไฟก็เข้าเครื่องกูด้วย"
"เออ ดีเว้ย งั้นเดี๋ยวกูจะกลับบ้านเสียหน่อย ถ้าเตี่ยมืงโทรออกอีกเมื่อไหร่อัดเสียงไว้ให้กูฟังด้วยนะ"
"มืงจะกลับบ้านทำแป๊ะอะไร เดี๋ยวพ่อมืงก็บังคับมืงให้พามาเจอกูหรอก" เจ้าตี๋ว่าด้วยน้ำเสียงหวั่น
"กูไม่กลับสิ ทั้งเตี่ยมืงทั้งพ่อกูจะมาลากคอพวกเรากลับ"
"ก็ไหนพ่อมืงบอกว่าไม่รู้ไงว่ามืงอยู่ที่ไหน"
คีรียักไหล่ด้วยมาดเท่ห์ "มืงจะไปเชื่ออะไรกับลิ้นนักการเมือง เอาเป็นว่ากูจะรีบกลับมา มืงเฝ้าห้องดี ๆ นะ ถ้ามีใครมาเรียกชื่อกูหน้าห้องห้ามเปิดรับเด็ดขาด"
บดินทร์เกาหัวแกรก ๆ เขามีแต่ให้รับรองแขกแทน แต่นี่ทำไมถึงต้องห้ามเปิดรับด้วยล่ะ แต่ไม่ทันที่จะได้ไถ่ถาม ร่างสูงก็ผลุบออกไปจากห้องแล้ว
กว่าจะฝ่าสภาพจราจลแออัดกลับมาถึงคฤหาสน์ใหญ่ตระกูลมัญจาโรได้ก็เย็นย่ำค่ำมืด คุณชายคีรีปิดไฟหน้ารถก่อนมาถึงหน้ารั้ว ทั้งเครื่องเปอร์เช่ที่ปรับแต่งมาเป็นอย่างดีก็ส่งเสียงเพียงนกฮัมมิ่งเบิร์ดตัวหนึ่ง
เจ้าชายสีรุ้งกดรีโมทเปิดประตูอัลลอยด์ มันอ้าออกช้า ๆ โดยไม่ส่งเสียงให้ใครกระโตกกระตากเพราะว่าได้รับการดูแลหยอดน้ำมันเป็นอย่างดี ข้าง ๆ นั้นลุงยามคนเก่าคนแก่หลับกรนครอก ๆ อยู่กับป้อมด้วยฤทธิ์เหล้าโรงร้อนแรงที่เขาเอาไปฝากไว้เมื่อเช้า
คีรีเผยอยิ้มเมื่อเห็นทุกอย่างเป็นไปดังแผนการ เขาหมุนพวงมาลัยนิ่มมือให้ระบบพาวเวอร์นำเปอร์เช่แดงสดเข้าเทียบท่าภายในบริเวณเคหาสถาน เมื่อจอดได้เนี้ยบดีแล้วคุณชายสุดหล่อก็ก้าวลงจากรถ ไฟหลังของพาหนะสีสดกระพริบแว๊บ ๆ ตอบรับต่อแสงอินฟราเรดของรีโมท
"ตาคี!"
เสียงเรียกของคนที่เขาไม่คิดว่าจะเจอเร็วขนาดนี้ดังมาจากมุมมืดในโรงจอดรถ คีรีสะดุ้งผงะพอดีกับแสงไฟฟลูออเรสเซนส์ขาวนวลพลันเปิดส่องให้ความสว่างทั่วบริเวณ
ภารดีมารดาของเขายืนอยู่ที่นั่น เคียงข้างด้วยฯพณฯท่านหิรัญผู้บิดา ทั้งคู่มีสีหน้าบอกบุญไม่รับเมื่อเห็นลูกชายตัวแสบ
"รู้รึเปล่าฮึตาคี ว่าพ่อแม่ได้รับรายงานเรื่องอะไรจากเจ้าสัวธนินทร์"
"อ้าว..รายงานเรื่องอะไรเหรอครับ" คีรีตีสีหน้าใสซื่อ น้ำเสียงก็บริสุทธิ์ราวกับว่าเป็นลูกแกะน้อย ๆ ที่ถูกใส่ความ
"ตาคี!" มารดาของเขาเอ็ดเสียงเข้มอีกรอบ "เรื่องลูกชายเจ้าสัวธนินทร์ลูกจะว่ายังไง"
"ผมก็ไม่ว่ายังไงนี่ครับ ไอ้ตี๋มันทำอะไรผิดเหรอครับ ทำไมผมจะต้องไปว่ามันด้วย"
ภารดีชักหมั่นไส้ลูกชายตัวเองเต็มทน ต่อความกะล่อนยิ่งกว่าน้ำกลิ้งบนใบบัว
"พอเถอะคุณ เดี๋ยวผมถามตาคีต่อเอง"
"พ่อครับ" คีรีรีบยกมือไหว้ "อย่าซักฟอกผมเลยนะครับ ผมกลัวแล้ว เห็นพวกรัฐมนตรีถูกพ่อยิงคำถามจนหน้าเขียวหน้าเหลืองผมก็กลัวจะแย่อยู่แล้ว"
"มันก็แล้วแต่ระดับของความผิดน่ะนะ" หิรัญว่าเรียบ ๆ "ถ้าเบา ๆ ก็เจอเบาะ ๆ แต่ถ้าร้ายแรงก็คงต้องใช้ไม้แข็งด้วยนิดนึง"
"อ้อ" เขาต่อเหมือนกับเพิ่งคิดขึ้นได้ "นอกจากนี้ยังขึ้นกับความร่วมมือของจำเลยด้วยอีกนะ ถ้าให้ความร่วมมือดี ก็อาจจะมีการลดหย่อนผ่อนโทษกันบ้าง แต่ถ้ามั่นใจว่าจะหลุดไปได้แล้วไม่ยอมสารภาพก็ตามใจนะ แต่ขอบอกว่าศาลบ้านนี้ไม่มีอุทธรณ์ฎีกาหรอก"
คุณชายคีชักขนลุก น้ำเสียงเย็นเนิบเสมือนเปี่ยมด้วยความเมตตาปรานี แต่นัยที่แฝงไว้คือหากโป้ปดแม้แต่คำเดียวเจอดีแน่
"โธ่ คุณพ่อครับ ลูกที่ดีอย่างผมนี่หรือจะปิดบังอะไรจากพ่อแม่ ถ้าคุณพ่อสงสัยอะไรก็ถามมาตรง ๆ เลยดีกว่าครับ อ้อมไปอ้อมมาเดี๋ยวหมดแรงกันพอดี"
"ขิงแก่น่ะเผ็ดนะลูก แรงไม่หมดง่าย ๆ หรอก สงสารแต่แกน่ะสิเจ้าคี ถ้าถูกกักตัวไว้ไม่ให้ออกไปไหนสักห้าวันสิบวันนี่คงหมดแรงตายก่อน"
"ลงแดงครับ ไม่ใช่หมดแรง" คีรีแก้ถ้อยของบิดา "แต่ว่าผมยังไม่รู้เลยว่าผมทำผิดอะไรไว้ ทำไมคุณพ่อถึงคิดจะใช้บทลงโทษกักตัวล่ะ ไม่มีเหตุผลเลยนี่นา"
"ลูกไม่ได้ทำอะไรผิดหรอก แต่ถ้าพ่อถามอะไรลูกแล้วไม่ได้คำตอบที่น่าพอใจ อาจจะถูกข้อหาไม่ให้ความร่วมมือต่อเจ้าพนักงานได้นะ"
"แล้วคุณพ่อจะเอาอะไรมาตัดสินว่าคำตอบไหนน่าพอใจ คำตอบไหนไม่น่าพอใจล่ะครับ"
"เอ๊ะ! ตาคี" ภารดีเสียงเขียวอีกรอบ
"ไม่เป็นไรคุณ ผมรู้อยู่แล้วว่ามันจะต้องมาไม้นี้"
คีรียิ้มกริ่ม ..ก็ลองดูสิพ่อ ผมก็ลูกนักการเมืองเหมือนกัน..
"คุณพ่อยังไม่ได้ตอบผมเลยนะครับ ว่าใช้อะไรในการชี้วัด อย่าลืมนะครับคุณพ่อเคยสอนผมว่าจะทำอะไรต้องใช้เหตุผล ถ้าเรื่องนี้คุณพ่อไม่มีเหตุผลให้ผมก็ไม่ยอมเหมือนกันนะ"
"เอ้า งั้นถ้าพ่อถามลูกว่า จะเอาอะไรมาชี้วัดว่าหลักเกณฑ์ไหนมีเหตุผล หลักเกณฑ์ไหนไม่มีเหตุผล"
"คุณพ่อกำลังตอบไม่ตรงคำถามนะครับ"
หิรัญเผยอยิ้มอย่างเป็นต่อ "ไม่ตรงคำถามแต่ก็ตรงประเด็นนะ อันที่จริงพ่อไม่ได้ต้องการคำตอบหรอก แต่นำมายกเปรียบเทียบให้ดูว่ามีหลายอย่างที่ไม่สามารถให้คำจำกัดความด้วยบทนิยามของข้อความสั้น ๆ ได้ แต่มันต้องใช้สามัญสำนึกตัดสิน หรือถ้าลูกคิดว่าพ่อไม่มีสามัญสำนึกก็ไม่จำเป็นจะต้องเชื่อเกณฑ์การตัดสินความน่าพอใจและไม่น่าพอใจก็ได้"
เจอไม้นี้เข้าไป อึ้งสิครับ ใครจะไปบังกาจว่าบุพการีของตนไม่มีสามัญสำนึกได้เล่า คีรีก็เป็นหนึ่งในนั้นจึงได้แต่นิ่งอั้นอย่างจำนน
"ในเมื่อลูกยอมรับวิธีการตัดสินของพ่อแล้ว พ่อก็จะถามล่ะนะ ว่าเจ้าตี๋อยู่ที่ไหน"
"ในคอนโดผมครับ" ชายหนุ่มตอบเสียงอ่อยแบบเสือสิ้นลาย "คุณพ่อคงไม่บอกเจ้าสัวใช่มั้ยครับ ว่าคอนโดผมอยู่ที่ไหน"
"แล้วถ้าพ่อบอกไปแล้วล่ะ" หิรัญถามลองเชิง แต่เพราะทราบมาก่อนล่วงหน้าคีรีจึงรับมือทันท่วงที
"คุณพ่อไม่บอกหรอกครับ"
"เอ้า" ฯพณฯท่านอุทานด้วยน้ำเสียงประหลาดใจ "ก็ลูกเขาเขาเป็นห่วงอยู่ พ่อมีเหตุผลอะไรที่จะไม่บอกล่ะ"
คีรียิ้มพราย เขากำลังจะพลิกตีตื้น หนุ่มหล่องอนิ้วขึ้นมานับ
"เหตุผลน่ะมีแน่ ๆ ครับ ผมจะไล่ให้ดูนะ ข้อหนึ่ง คุณพ่อยังไม่ทราบสถานการณ์ที่แน่ชัด ข้อสอง คุณพ่อยังคาดเดาผลไม่ได้หากปล่อยให้เจ้าสัวไปตามไอ้ตี๋กลับมา ข้อสาม คุณพ่อต้องการควบคุมสถานการณ์เหนือกว่าทั้งทางฝั่งผมและฝั่งเจ้าสัว ข้อมูลนี้จึงเป็นแต้มต่อที่สำคัญอย่างยิ่งยวด"
"เก่ง.." หิรัญหลุดปากชมจนได้ "แต่ในเมื่อลูกรู้แล้วว่าหากยังมีเงื่อนไขสามข้อนี้ ที่อยู่ของเจ้าตี๋จะถูกปิดเป็นความลับ แล้วจะกลับมาทำไมล่ะ"
รอยยิ้มซึ่งพรายทั้งปากและตาของคีรีเหมือนกว้างขวางยิ่งขึ้น
"เพราะผมเชื่อว่า...หากคุณพ่อทราบสถานการณ์และผลลัพธ์ที่แน่ชัด คุณพ่อจะต้องอยู่ฝั่งผมเป็นแน่"
หิรัญถึงกับเลิกคิ้ว ลงถ้าไอ้ลูกชายแน่ใจขนาดนี้ คงมีไม้เด็ดอะไรซ่อนอยู่แน่ ๆ เขาเหลือบมองภารดีซึ่งลูบแขนตนเองไปมาจากการรบกวนของยุง จึงรู้สึกได้ว่าอยู่ข้างนอกนานเกินไปแล้ว
"เอาเถอะ มีอะไรค่อยพูดกันข้างใน เข้าบ้านกันก่อนเถอะ แม่ของลูกโดนยุงกัดแล้วน่ะ"
ภารดีแย้มยิ้มให้สามี
"ดิฉันก็ฟังสองพ่อลูกชิงไหวชิงพริบเสียเพลินเลยไม่รู้ตัว"
หิรัญถอดเสื้อคลุมผ้าแพรตัวยาวสำหรับอยู่บ้านของตนมาห่มไหล่ของสตรีที่รัก
"ใส่ซะเดี๋ยวหนาว"
"วี๊ดวิ้ว" ไอ้ตัวดีเป่าปากเสียงแหลม "สวีทกันไม่อายลูกเลยนะครับ"
ผู้เป็นแม่ค้อนใส่วงใหญ่ แล้วค่อย ๆ เดินเคียงหิรัญเข้าเคหาสน์ไป
..
แก้ไขเมื่อ 09 ก.พ. 50 01:06:07
จากคุณ :
ปฤษณะ
- [
9 ก.พ. 50 01:05:42
]