"ผมว่าเราต่างเอาโปรเจคไปสรุปแล้วค่อยมาแชร์กันพรุ่งนี้อีกทีดีกว่า.." ผมพูดขึ้นทำลายความเงียบภายในกลุ่มผู้ร่วมงาน นอกจากตัวผมแล้วมี ชายอีก 4 คนและหญิงอีก1 ซึ่งต่างนั่งท้าวคาง บ้างก็เอนหลังพิงพนักอย่างเหนื่อยหน่าย พวกเรานั่งล้อมโต๊ะประชุมในห้องประชุมไม่ใหญ่นัก มีไฟเปิดส่องสว่างเพียงบริเวณโต๊ะที่นั่งกัน ส่วนอื่นๆไฟถูกปิดไปแล้วเพราะเป็นช่วงเวลาที่เลยเวลางานปกตินานมากแล้ว หญิงคนเดียวในนั้นซึ่งดูจะนั่งอยู่ในท่าที่เรียบร้อยกว่าคนอื่น เธอเหลือบมองนาฬิกาที่ข้อมือเธอ มันเป็นเวลาสี่ทุ่มสี่สิบห้า แล้วเธอก็พูดขึ้น "โอเคค่ะ ฉันขอตัวเลยแล้วกัน บายค่ะทุกคน" คนอื่นๆ พอได้ยินดังนั้นก็ต่าง ขยับเก็บข้าวของเอกสารของตนและกล่าวคำอำลากัน เดินกันออกไป รวมทั้งผม
ที่ลานจอดรถของที่นั่นเอง ผมเดินมาที่รถของผม หญิงคนเมื่อครู่ในห้องประชุมอยู่บนรถของเธอ เธอกำลังจะออกรถไปเธอพูดขึ้นกับผม
"พรุ่งนี้เจอกันค่ะ คุณ พงษ์ภรรยารอแย่แล้วซิคะ"
"แหะๆ ครับ ขับรถดี ๆนะครับ โชคดีครับ" ผมตอบ เธอยิ้มรับแล้วขับรถออกไป
ผมไขกุญแจเปิดประตูรถ แล้วขึ้นรถขับออกมา ระหว่างชลอรถรออยู่ที่ทางออกของลานจอดรถเพื่อออกสู่ถนนต่อไป โทรศัพท์มือถือดังขึ้นผมมองดูหมายเลขโทรเข้าแล้วจึงกดรับสาย "กำลังออกแล้วจ๊ะ"... "เคลียกันไม่ลงน่ะ"... "โอเคจ๊ะเดี๋ยวแวะซื้อจากปากซอยเข้าไปให้".. "จ้ารีบไปจ๊ะ..หวัดดีจ๊ะ" เป็นบทสนทนาของผมกับปลายสายซึ่งเป็นภรรยาผมเอง ผมเก็บโทรศัพท์ใส่กระเป๋าเสื้อนอก รู้สึกเบิกบานใจที่ได้ยินเสียงเธอ ผมถอดเสื้อนอกวางกองไว้เบาะหลังรถ คาดเข็มขัดนิรภัยแล้วเคลื่อนรถออกสู่ถนน
ผมเพิ่งกลับจากฮันนิมูนกับภรรยา เมื่อ 2 วันก่อนนี้ ช่วงนี้เป็นช่วงเวลาที่ผมรู้สึกทำงานและมีชีวิตอย่างมีความสุขมากที่สุดช่วงหนึ่ง ผมขับรถอารมณ์ดี เปิดวิทยุในรถ แต่ทันทีที่เจอดีเจหนุ่มขี้หลีเด็กมัธยมของคลื่นหนึ่ง จึงเปลี่ยนคลื่นไปฟังคลื่นอื่นจนหยุดพอใจที่ คลื่นที่มีแต่เพลงสากลเบา ๆคลื่นหนึ่ง บรรยากาศในรถตอนนี้ช่างอบอวนไปด้วยความสบายใจเสียจริง ผมรู้สึกผ่อนคลายยิ่งนัก
แต่บรรยากาศนอกรถครึมเหมือนฝนจะตก แสงฟ้าแลบเป็นเครื่องยืนยันชัดเจน ผมจึงเหยียบคันเร่ง เร่งความเร็วรถให้เร็วกว่าเดิม เพราะไม่อยากเจอฝน แต่ดินฟ้าอากาศไม่เคยรู้ใจใคร หยดน้ำฝนเริ่มหล่นจากฟ้ากระทบกับกระจกให้เห็นทีละเล็กทีละน้อย จนผมขับมาถึงถนนเข้าโครงการหมู่บ้าน หมู่บ้านซึ่งเป็นโครงการชานเมือง ผมชอบความเงียบสงบ และบ้านที่มีพื้นที่บริเวณบ้านพอสมควร ถึงแม้มันจะไกลและเข้าลึกซักหน่อยแต่ทุ่นเรื่องเงินไปได้เยอะ แถมบรรยากาศและรูปแบบบ้านเป็นที่พอใจจึงตัดสินใจซื้อไว้ ถนนเข้าโครงการในยามค่ำคืนที่ค่อนข้างเปลี่ยวข้างถนนมีเพียงนาร้างและป่าละเมาะสลับกันไป ฝนเริ่มแรงขึ้นสังเกตุได้จากสายฝนที่ผ่ากับแสงไฟหน้ารถ ผมไม่ได้ชะลอความเร็วลงเพราะถนนค่อนข้างโล่งเสมอในเวลาเช่นนี้
เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นอีกครั้ง ผมหาที่มาของเสียง ผมนึกได้ว่าเก็บมันไว้ในกระเป๋าเสื้อนอกที่วางไว้เบาะหลังนั่นเอง ผมเอื้อมมือไปคว้าได้ไม่ถนัดนักจึงปลดเข็มขัดนิรภัยออกเอื้อมหยิบได้สำเร็จ "ฮัลโหล..จ๊ะทางเข้า อีก2-3กิโล"...."ไม่ต้องซื้อแล้วเหรอ....." ทันใดนั้น แสงไฟหน้ารถก็กระทบกับวัตถุสิ่งหนึ่งบนถนน วัว! มันมาอยู่ได้ยังไง ท่ามกลางสายฝน ผมตกใจสุดขีด! มือเดียวที่อยู่บนพวงมาลัยพยายามหักหลบ ผมเหยียบเบรกจนรถเหวี่ยง มือที่ถือโทรศัพท์อยู่ถูกนำมาช่วยคว้าพวงมาลัย แต่มันก็ไร้ผล..
ถนนลื่น รถเสียความควบคุมโดยสิ้นเชิง ภาพที่ผมเห็นคือข้างทาง! ผมกำลังลงข้างทาง พอจะทันเห็นว่ามันต่ำกว่าถนนมาก ตัวผมกำลังถูกเหวี่ยง! พร้อมรถ ภาพที่เห็นทางหน้ากระจกตอนนี้ทางสายตารวดเร็วจนประสาทผมแยกไม่ออกรู้เพียงแต่ว่ามันรวดเร็ว ต้นหญ้ารก ๆ แสงไฟ สายฝน เสียง อื้ออึง จับความรู้สึกได้ว่าตัวผมเหมือนไม่ได้อยู่บนเบาะรถ มือเหมือนจะหลุดจากพวงมาลัยไปแล้ว ทุกสิ่งมันเกิดขึ้นเร็วมาก ประสาทสั่งงานไม่ทันแล้ว แยกแยะไม่ถูก หูอื้อ หัว! หน้าอก! โดนกระแทก อะไรกระทบแขนขาเต็มไปหมด นั่นเศษกระจก....ผมหลับตาไปตามสัญชาติญาณ.. หยุดแล้ว สงบแล้วหยุดแล้ว...
ผมยังอยู่ในรถและภวังค์ความเงียบเพราะหูอื้อ ..เริ่มได้ยินเสียงแล้ว เสียงฝนที่กระทบพื้นดิน เสียงน้ำฝนเดือด เมื่อตกลงมากระทบกับเครื่องยนต์ร้อน ๆดังช่า! เหม็นไหม้ จากอะไรหลายอย่าง กลิ่นดินโคลน.. รถหงายท้อง.. ผมมองแหงนไปนอกกระจกรถเห็นพื้นดินโคลนแฉะ ๆน้ำฝนกระทบกระเซนขึ้นรอบ ๆรถ -เราอยู่สภาพไหนเนี่ย- ผมคิดในใจ เริ่มสำรวจความรู้สึกไป ตามร่างกาย ผมขยับขาให้หล่นลงมาจากเบาะที่กลับขึ้นไปอยู่ด้านบนเพราะสภาพรถที่หงายท้องตอนนี้ มีบางอย่างทิ่มหลังอยู่ช่างมันนอนทับไปก่อนยังรู้สึกว่าไม่มีแรงขยับตอนนี้ -เรานอนอยู่บนส่วนหลังคารถ- แขนข้างขวาปวดเหลือเกินผมเหลือบไปมอง มันงอผิดปกติ! กระดูกแขนหัก!
ตาขวาเริ่มกระตุก ปวด เขารู้สึก เลือด! เลือดอุ่น ๆไหลลงไปที่หู เอะ! มันไหลออกมาจากหูด้วยนี่ ปวดหัว!.. เจ็บแขนที่หัก!.. เจ็บหัวเข่าซ้าย!.. -แขนซ้ายขยับได้ไม่เป็นอะไรนี่!- ผมยกมือซ้ายมาพยายามจะเอามาปาดเลือด เหนือตาขวาทันทีที่ผมยกแขนซ้ายขึ้น เจ็บที่หน้าอกด้านซ้าย "อุบส์" ผมอุทานออกมาเบา ๆอยู่ในลำคอ -ซี่โครงหักแน่เลย ทิ่มอะไรซักอย่าง- ปวดมากแต่เขาก็พยายามจะปาดเลือดที่เข้าตาขวา ทันทีที่หลังมือถึงบริเวณเหนือตาขวา ผมรู้สึกได้ด้วยสัมผัสว่ามันบวมมาก -นั่นสิมองอะไรภาพถึงเบลอ ๆ- รู้สึกเหนื่อย ผมเหนื่อยผมทิ้งแขนซ้ายกลับที่ เจ็บอก แขน เข่า แสบ ๆรอยขีดข่วนอีกหลายที่ คงเพราะกระจกแน่ๆ ละอองฝนถูกลมสาดเข้ามาได้ให้รู้สึก แสบที่แผลขีดข่วนเหล่านั้น -อากาศเบาบางจริง ๆ หายใจไม่ทัน- ผมคิดอีก ผมต้องหายใจเร็วขึ้น ถี่ ดัง จริง ๆแล้วอากาศปกติ แต่เหมือนอากาศ เข้าไปได้น้อยเองต่างหาก เริ่มรู้สึกร้อน ๆที่เท้าซ้าย.. น้ำร้อนจากหม้อน้ำที่แตกไหล มาได้ไง ผมพยายามจะขยับขาซ้ายหนี หัวเข่า มันปวดเหลือเกิน ไม่มีแรงขยับ ร้อน! ร้อน ผมต้องทน... ค่อย ๆอุ่นขึ้นแล้วคงเพราะฝน ตอนนี้ผมได้ยินแต่เสียงฝน ได้กลิ่นดินโคลนกับฝน เหนื่อย หายใจไม่ทันง่วงเหลือเกิน..ง่วงจริง ๆ จะตายมั้ย! ผมอยากหลับตา...หลับตา....
รู้สึกตัวขึ้นอีกครั้ง ....หนาว..ยังได้ยินเสียงฝนอยู่ ยังมืดอยู่ -เราคงหลับไปไม่นาน- ผมคิดในใจ -หรือว่านี่วิญญาณเรา..ไม่ใช่ยังไม่ตาย...- ระบมไปหมดทั้งตัว ยังรู้สึกหายใจขัดๆ -เน็ท- ผมนึกถึงชื่อภรรยา -แม่..พ่อ- ผมรู้สึกเจ็บปวด ชาคละเคล้า -เรากำลังจะตาย..หนาว..หนาวเหลือเกิน- ตอนนี้เริ่มได้กลิ่นคาวเลือดตัวเองแรงขึ้นทุกทีมันคงออกมาเยอะจากหลายที่ เสียงฝนเริ่มเบาลงแล้ว ได้ยินเสียง กบเขียดร้องอยู่ไกล ๆ เสียงรถ! มีรถวิ่งมา ไกลมาก เหนื่อยไม่มีแรง -เรานอนทับอะไรอยู่- ผมพยายามขยับตัว สอดมือซ้ายไปที่หลัง ลำบากมากแทบจะใช้แรงทั้งหมดที่เหลือ เจ็บอกข้างซ้ายอย่างมาก มือซ้ายของผมเจอมันแล้ว โทรศัพท์มือถือ! -ตอนนั้นเน็ทโทรมา..แล้วเรา...เน็ท..- ผมหยุดคิดตอนนี้ผมหมดแรงอย่างที่สุดปล่อยโทรศัพท์ไว้ข้างตัว.. หลับตา หนาวเหลือเกิน หายใจแรง แต่เหมือนไม่ได้หายใจ ผมคิดถึงหน้าเน็ท ภาพความหลังและภาพที่ร่างไว้ในอนาคตผ่านไปมาอย่างรวดเร็ว -เน็ต เราร่วมบุญกันแค่นี้เองหรือ- ผมคิด -บุญ...เราทำบุญแค่ไหนกันนะ- ความเจ็บปวดที่หน้าอกแทรกเข้ามา เดาว่าคงจะเป็นเพราะซี่โครงทิ่มปอด หายใจเหนื่อยอย่างที่สุด รู้สึกเหมือนอดนอนมานาน คงไม่ไหวแล้ว ผมจะหลับอีกรอบ -เสียงรถใกล้มาแล้วคงจะเลยผ่านไปอยู่ดี- ผมคิด ทั้งที่สติใกล้จะหมดเต็มที..
รถคันดังกล่าวเข้ามาใกล้ จอดมันจอด! เสียงคนเอะอะ "พี่พงษ์!" เสียงผู้หญิงตะโกนจากไกล ๆ มาจากบนถนน เสียงที่ผมรู้ว่าเป็นใคร แต่ผมคงจะหลอนไปหวังให้เป็นอย่างนั้น เรามีรถคันเดียวแล้วเน็ทก็ขับรถไม่เป็น ผมยังคงหลับตาอยู่ เป็นเสียงสุดท้ายที่ได้ยินแค่นั้น ผมไม่ได้ยินอะไรแล้ว สติสุดท้ายผมคิดได้แค่ -ลาก่อนเน็ท พี่...-
หลังจากความมืดดำในการหลับไหลผ่านไปนานมาก ตอนนี้รู้สึก.. -แสบตา..กลิ่นคุ้นๆ..ที่ไหนเราทำอะไรอยู่ สวรรค์รึว่านรก- ปวดที่หน้าอก แขน ขา ผมพยายามลืมตา -แสบตา ตาอีกข้างถูกปิดอยู่นี่!-
"พี่พงษ์"
เสียงผู้หญิงเรียกเบา ๆ ..เริ่มเห็นหน้าเธอแล้ว เน็ทนั่นเอง ผมมองเธอด้วยตาข้างเดียวอีกข้างถูกปิดอยู่ ผมยังไม่ตาย!
ผมอยู่ในโรงพยาบาล หลับไป 3 วัน หลังจากนั้นเธอเล่าให้ผมฟังว่า เธอเอะใจที่คุยโทรศัพท์กับผมอยู่แล้วเสียงผมหายไปได้ยินเสียงเบรกรถดังลั่น แล้วเงียบไป เธอจึงขอให้คนข้างบ้านช่วยพาออกมาดู เธอเล่าไปน้ำตาไหลไป..
ผมคิดว่าตัวเองตายไปแล้วได้ยินเสียงเธอเรียกก่อนตาย... ตอนนี้เกิดมาได้ยินเสียงเธอเรียกอีกครั้ง..หวังว่าผมคงได้ยินเสียงเธอไปจนกว่าจะตายอีกครั้ง....
จากคุณ :
Untrue
- [
17 ก.พ. 50 12:48:28
]