..สำหรับฉัน คำพูดบางคำเป็นมากกว่าคำพูด
..บางครั้งฉันรู้สึกว่าตัวเองคิดอะไรไกลมากเกินไป แต่บางครั้งเพราะความที่ไม่เคยคิดให้ไกลทำให้เราพลาดอะไรหลาย ๆ อย่างไป หรือแม้กระทั่งลืมบางสิ่งบางอย่างที่ตัวของเราเองเคยต้องการจริง ๆ
และตอนนี้ฉันกำลังยืนคิดถึงบางสิ่งบางอย่างเหล่านั้นอยู่บนรถเมล์.. กำลังคิดถึงเหตุการณ์ก่อนหน้านี้..
+++++++++
ฉันชื่อ นันท์ ฉันกำลังยืนอยู่ที่หน้าตึกที่ฉันทำงานอยู่ มันเป็นเวลาพักเที่ยงของบริษัท ฉันออกมายืนรอ ต้น ซึ่งทำงานอยู่ที่เดียวกับฉัน แต่คนละแผนกกัน ต้นเปิดเผยเจตนาของเขาตั้งแต่คุยกันครั้งแรกว่าเขาต้องการรู้จักฉันในฐานะใด ฉันจึงเพิ่งตัดสินใจให้เขาเป็นอะไรมากกว่าเพื่อนได้ประมาณเดือนเศษ เราตกลงที่จะศึกษาดูใจกันไปสักพัก วันนี้เขานัดฉันทานข้าวเที่ยงเช่นเคย และนั่นเขาขับรถมารับแล้ว
อากาศร้อนจังนะคะ ขนาดนันท์ออกมายืนรอต้นแค่แป๊บเดียว ฉันพูดหลังจากเข้ามานั่งในรถเก๋งของต้น
ต้นเร่งแอร์ให้นะครับ เขาตอบพลางยื่นมือไปจะไปปรับแอร์
ไม่เป็นไรค่ะ นันท์ไม่ได้หมายความอย่างงั้น ในนี้เย็นดีแล้วค่ะ ฉันตอบแล้วยิ้มน้อยๆ ให้เขาแล้วถามเขาว่า วันนี้ จะพานันท์ไปทานที่ไหนคะ
อืม..ต้นว่าไปตามห้าง ดีกว่าครับมีให้เลือก แล้วก็เดินเย็นสบายดีด้วย เขาตอบ
ค่ะ ดีค่ะ
ตั้งแต่เพื่อนของฉันไปเป็นแม่สื่อให้ต้นมาขอนัดฉันทานข้าวในครั้งแรก หลังจากวันนั้นเราก็ออกมาทานข้าวเที่ยงด้วยกันเกือบทุกวันที่มาทำงาน ด้วยเวลาเลิกงานของเราที่ต่างกัน การพบกันเวลานี้มันก็เป็นช่วงเวลาเดียวของวันที่เราสะดวกจะเจอกัน พูดคุยกันและศึกษานิสัยใจคอกันไป จากประสบการณ์ที่ผ่านมาของฉันทำให้ฉันไม่คิดจะเร่งร้อนความสัมพันธ์กับต้นมากนัก แม้เขาจะดูสุภาพบุรุษและแสนดีกับฉันมาก
เอ..รถไม่ติดเลยนะคะวันนี้ ฉันบอกเล่าอย่างอดแปลกใจไม่ได้
นั่นสิครับ งั้นไปร้านนี้ดีกว่า ต้นพูดจบแล้วก็หักพวงมาลัยเปลี่ยนช่องจราจรเข้าทางขวาเพื่อจะตรงไปข้ามแยกข้างหน้า
เอ๋ ไปห้างโน้นเหรอคะ ฉันถามโดยเดาจากเส้นทาง
ครับมีร้านหนึ่งอร่อย ต้นตอบและหันมายิ้มแฝงเจ้าเล่ห์ นัยอยากอวดร้านที่ว่า
เขาพาฉันไปทานร้านอาหารไทยบนห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่ง ภายในซึ่งตบแต่งได้น่าตื่นตาสำหรับชาวต่างประเทศ แต่สำหรับคนไทยคงชินตากับเครื่องประดับร้านหลาย ๆ อย่างเหล่านี้ และช่างน่าแปลกใจร้านอาหารที่ประกาศตนว่าเป็นร้านอาหารไทยแต่อาหารไทยในร้านมีชื่อเหล่านี้ปัจจุบัน อุดมไปด้วยเนย มาการีน การจัดจานสไตล์อิตาเลียน แต่ฉันว่ามันก็ทำให้รสชาติไม่เลวและดูมีราคาทีเดียว หลังจากทานอาหารกันเสร็จเราก็กลับกันทันที เวลาบนท้องถนนอีกมากทำให้เรามีเวลาพอที่จะสนทนาอะไรต่อมิอะไรกันประจำ โดยส่วนมากจะคุยกันเรื่องงานเรื่อง พ่อแม่ของเขา นินทาเพื่อน ๆ ที่บริษัท หรือบางทีเราก็แลกเปลี่ยนเรื่องทัศนคติและเรื่องส่วนตัวกันบ้าง
อากาศยามเที่ยง แดดที่สาดส่องตรงลงมาเมื่อพ้นชายคาตึกใหญ่และไร้ซึ่งสิ่งใดบดบัง ประหนึ่งดังต้องการสาดแสงที่จะทำร้ายกันให้ไหม้เกรียม ผสานกับถนนยามนี้ที่เปรียบเหมือนกระจกสะท้อนความระอุขึ้นมา ล้อมกรอบด้วยไอร้อนเครื่องยนต์ของรถราที่บ้างก็ติดรอยูเทิร์นบ้างก็เร่งเครื่องเพื่อไปหาจุดหมาย บ้างก็จอดรอต้องการออกจากห้างสรรพสินค้าเหมือนกับเรา ทั้งหลายรวมกันทวีความร้อน เป็นเครื่องทำความร้อนชั้นดี ดูสภาพท้องถนนรอบ ๆ ยามนี้ช่างอยู่บนความตึงเครียดแบ่งภาพความรู้สึกให้ดูหมิ่นเหม่ระหว่างความเคยชินขั้นชินชากับระเบิดแห่งโทสะเมื่อสิ้นความอดทน
ในรถ... ต้น กำลังเล่าเรื่องเพื่อนของคนเขาที่ทำงานอยู่ที่เดียวกันให้ฟัง ฉันมองออกไปนอกรถผ่านกระจกทางฝั่งของฉันเอง เห็นรถเมล์ที่แน่นไปด้วยผู้คน คนหลายคนที่จำต้องเดินทางในเวลานี้ ฉันมองดูพวกเขารู้สึกถึงความแตกต่างในจุดที่อยู่โดยสิ้นเชิง มันทำให้ฉันรู้สึกว่าสัมผัสได้ถึงความเย็นของแอร์ภายในรถได้ดีกว่าเดิม ทั้งที่นั่งมานานและรู้สึกร้อน ๆ รถเมล์สายนี้ ฉันเองก็เคยนั่งมาทำงานเพราะมันเป็นสายที่ผ่านจากที่พักของฉันไปยังบริษัท ฉันยังพอนึกถึงสภาพที่ฉันต้องติดอยู่บนรถคันนั้นพร้อมกับสภาพการจราจร และคนที่เบียดแน่นอยู่บนรถ ร้อน เครียด เหม็นกลิ่นเหงื่อคนรอบข้าง แล้วยิ่งเป็นเวลาเที่ยงวันแบบนี้ รถขยับพ้นหน้าห้างสรรพสินค้าเพียงนิดเดียวเราก็มาติดอีกครั้งบนถนน.. เสียงของต้นเรียกฉันให้หันกลับมามองเขา
คิดไรอยู่ครับนันท์ ฟังต้นเล่าแล้วเงียบไปเลย เขามองสบตามาถามฉัน
เอ่อ.. ป่าวคะ คิดเรื่องงานที่ค้างอยู่ ตอนก่อนที่จะออกมาน่ะค่ะ ฉันตอบแบบแกน ๆ
เขามองหน้าฉันงง ๆ แล้วเงียบไป รถในเลนทางซ้ายและทางขวาของรถเรา เริ่มขยับไปกันแล้ว เลนที่เราอยู่ขยับได้เพียงนิดเดียว ด้วยความแปลกใจเราจึงพากันมองเลยไปข้างหน้าเห็นรถที่อยู่หน้าเราถัดไปประมาณ 4 คันเปิดไฟเลี้ยวจะเข้าเลนซ้าย เขาน่าจะเข้าเลนซ้ายล่วงหน้าเสียตั้งนานหรือไม่ก็น่าจะตรงไปก่อน ช่างเห็นแก่ตัวจริง ๆ ฉันคิดในใจ
ขับรถแบบนี้ ผู้หญิงขับแหง ๆ ต้นพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด
ฉันมองหน้าต้น เขายังคงคิ้วขมวดยังคงมองไปทางรถคันนั้น
ผู้หญิงขับเหรอคะต้น ฉันถามกลับในขณะที่รถยังคงขยับไปไม่ได้
อืม คงงั้นแหละ ต้นตอบขณะที่ขับรถอยู่ไม่ได้หันมามองหน้าฉัน
ฉันพยายามมองไปเพื่อให้เห็นคนขับรถคันนั้น แต่ก็เกินสายตาที่จะมองเห็นได้ว่าเป็นผู้ชายหรือผู้หญิงที่ขับรถอยู่
ต้นแน่ใจเลยเหรอ ฉันถามด้วยความรู้สึกคาใจกับสิ่งที่เขาสรุปเอง เหมือนเขาจะงงที่ฉันถามแบบนี้ เขาหันมามองหน้าฉันครู่หนึ่งแล้วหันมองไปข้างหน้าเหมือนเดิม
นันท์เป็นไรจ๊ะ ต้นก็พูดรวม ๆ ไปงั้นเอง ก็ส่วนใหญ่เขาก็รู้ ๆ กันนะว่า.. แต่อื่ม นันท์เป็นผู้หญิงนี่นะ ผู้หญิงก็พูดกันนะ ว่าผู้หญิงขับรถแย่ ต้นพยายามชี้แจง
นันท์ก็ไม่เถียงหรอกนะคะว่าผู้หญิงก็ว่าผู้หญิงด้วยกันเอง แล้วก็ไม่เถียงที่เขาบอกกันว่าผู้หญิงส่วนใหญ่ขับรถไม่ดี แต่เมื่อกี้ต้นไม่เห็นไม่ใช่เหรอคะว่าคันเมื่อกี้เป็นผู้หญิงขับ มีความรู้สึกบางอย่างทำให้ฉันอยากจริงจังกับเรื่องนี้ขึ้นมา ต้นเริ่มหน้าเครียด และหันมามองฉันด้วยความแปลกใจในขณะที่รถเริ่มเคลื่อนตัว
แต่นันท์เองก็เถียงไม่ได้เหมือนกันว่าไม่ใช่ผู้หญิงขับ จริงมั้ย แล้วถ้าเทียบกันตามเปอร์เซ็นนะ ต้นว่าต้นอาจจะพูดถูกก็ได้ นันท์เองก็บอกต้นนี่ว่า ไม่เถียงที่ผู้หญิงขับรถไม่ดีเป็นส่วนใหญ่ ต้นแย้งด้วยเหตุผล เขาใจเย็นดีทีเดียว
งั้น หมายความว่าหนึ่งในนั้นต้องเป็นส่วนมากเสมอเหรอคะ ฉันแย้งกลับด้วยน้ำเสียงจริงจังขึ้นแต่ฉันไม่ได้ถึงกับมีอารมณ์
ก็ ความน่าจะเป็น ต้นพูดเหมือนเปรย ๆ
ถ้าอย่างนั้น ที่เค้าบอกว่าผู้ชายส่วนมากน่ะเจ้าชู้ ต้นก็ต้องเป็นหนึ่งในส่วนมากด้วยสิคะ ฉันรุกต่อ ทำให้ต้นเงียบไปครู่หนึ่ง
จากคุณ :
Untrue
- [
19 ก.พ. 50 10:01:08
]