Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com | Torakhong.org | GameRoom


    เรื่องตลกของโชคชะตา : เพราะฉะนั้น...

    มีรีเควส ถามถึงที่ไปที่มา ว่า พระเอกกับนางเอกรู้จักกันได้ยังไง, ก็เลยไปเขียนมาคั่นเวลาในระหว่างรอตอนต่อไป ที่พระเอกบอกว่า "เดี๋ยวผมเขียนที่เหลือเอง" นางเอกนึกในใจ (หึ หึ แล้วจะรู้สึก... แล้วจะรู้สึก)

    และหลังจากอ่านตอนนี้จบแล้ว จะย้อนกลับไปอ่านตอนที่ 1 อีกครั้งก็ไม่เสียหายอันใด ขอบคุณแควนๆ ที่ติดตามทั้งออกนอกหน้า และแอบอ่านแบบ "ไม่แสดงออก"

    ---------------------------------------------------
    ตอนที่ 22 เพราะฉะนั้นจึงรักกันเช่นฉะนี้


    เพลงของ ศุ บุญเลี้ยง ศิลปินคนโปรดของเฌลลี ซึ่งกำลังดังกระหึ่มทุกคลื่นวิทยุ แต่เฌลลีได้ยินเพลงนี้กลางหุบเขาในหมู่บ้านชาวลาหู่ไกลจากตัวจังหวัดถึงเกือบร้อยกิโลเมตร เสียงกีตาร์โปร่ง คลอด้วยเสียงร้องนุ่มหู ลากขาของเฌลลีให้เดินไปดูใกล้ๆ ชายหนุ่มร่างสูงผมยาวมัดรวบเรียบร้อย อยู่ในท่ามกลางวงล้อมของเด็กๆ ชาวลาหู่ ซึ่งนั่งตาแป๋วแหววมองอย่างตั้งอกตั้งใจ น้ำลายไหลยืดลงเป็นทาง

    “แต่ความรักที่ให้กัน ไม่มีวันลดน้อยลงเลย ยังคงพูดเชย เชย รักเธอ...” สองคำสุดท้าย เขาเงยหน้าขึ้นมาสบตายักคิ้วให้เธอหน้าตาเฉย

    “ไอ้บ้า...” เฌลลีเพียงแต่ด่าในใจเท่านั้นหรอกเพราะเธอไม่รู้ว่าเขาเป็นใคร บางทีอาจจะเป็นเด็กใหม่เฟรชชี่ปีหนึ่ง ที่เพิ่งเข้าร่วมกิจกรรมเป็นครั้งแรกกับทางชมรม ซึ่งมีเฌลลีเป็นหนึ่งในสมาชิกชมรมครูอาสาเพื่อพัฒนาชนบทของมหาวิทยาลัย และการออกค่ายครั้งนี้ก็มีทั้งรุ่นพี่ปีสี่ ไปจนถึงรุ่นน้องปีหนึ่งที่เพิ่งเข้ามาร่วมกันทำกิจกรรมบำเพ็ญประโยชน์เพื่อสงคม

    เฌลลีเดินหลบจากไอ้หนุ่มหน้าทะเล้นคนนั้นเข้ามาในครัว บางทีเธออาจจะช่วยทำอะไรได้บ้าง นอกจากตอกตะปู มุงแฝก ยกเสา ผสมปูน ซึ่งเป็นงานต้องใช้แรงงานที่ใครๆ มักเข้าใจว่าเธอทำได้ดี... ให้ตายเถอะ เฌลลีก็ไม่อยากเชื่อตัวเองเลยเหมือนกันว่าเธอทำงานประเภทนี้ได้ดีกว่าผู้ชายบางคน

    “สงสัยจะเป็นพรสวรรค์” เธอเพียงแต่รำพันกับตัวเองเท่านั้นแหละ

    “สาวๆ มีอะไรให้พี่ช่วยมั้ยคะ” เฌลลีไม่เข้าใจว่า บุคลิกภายนอกที่ออกแนว “แมน แอนด์ แฮนซั่ม” ของเธอหรือเปล่าก็ไม่รู้ ทำให้งานที่ถูกวางลงในมือเป็นงานหนักๆ เสียทุกอย่างไป

    “หุงข้าวค่ะพี่...” เด็กสาวรุ่นน้องหน้าตาดีวางหม้อข้าวใบใหญ่พร้อมฝาปิดให้เฌลลี ในนั้นมีข้าวสารเกือบเต็มหม้อ พร้อมนำไปใส่น้ำและตั้งไฟ

    “ฝากด้วยนะจ๊ะพี่สาว” เฌลลีได้แต่ยืนงง ก่อนที่จะหันไปมองคนที่เหลืออยู่ตาปริบๆ เกิดมาก็เคยแต่เอาข้าวใส่หม้อ เทน้ำลง เสียบปลั๊ก แล้วไปนั่งทอดหุ่ยรอเวลาข้าวสุก ไม่เคยที่จะต้องมาหุงข้าวแบบนั่งเฝ้าหม้อข้าว คอยเทน้ำออก คอยเติมฟืน ลดไฟ นานนับชั่วโมงแบบนี้จนกลายเป็นเรื่องเป็นราวเข้าจนได้หรอก...

    และหลังจากหุงข้าว ทำอาหารเย็นเสร็จ... นักศึกษาถูกแบ่งให้นั่งเป็นกลุ่มๆ ตามที่จับฉลากมาตั้งแต่คราวแรก เฌลลีเพิ่งรู้ว่าเจ้าหนุ่มหน้าตลกที่เล่นกีตาร์ให้เด็กๆ ฟังเมื่อสักครู่นี้อยู่กลุ่มเดียวกับเธอ ด้วยความที่เขาเป็นคนตัวสูง จึงดูโดดเด่นกว่าใครในกลุ่ม เฌลลีไม่รู้จักและไม่คิดจะทักทาย เธอถือว่าเขาเป็นรุ่นน้องต้องมาทักทายทำความรู้จักรุ่นพี่ ไม่ใช่ให้รุ่นพี่ไปทักทายรุ่นน้อง กฎเกณฑ์นี้เป็นที่รู้กันดีทั้งมหาวิทยาลัย

    “ข้าวทุกจาน อาหารทุกอย่าง อย่ากินทิ้งขว้างเป็นของมีค่า ผู้คนอดอยากมีมานักหนา สงสารบรรดาเด็กตาดำๆ” เข้าค่ายครั้งใดจะได้ยินคำปฏิญาณเป็นเสียงเดียวกันทั้งโรงอาหาร...

    “เฮ้ยยยยยยย เด็กปีหนึ่งใช่ไหมหุงข้าวเนี่ย... ครายยยยยยย ยกมือขึ้นเดี๋ยวนี้” เจ้าหนุ่มตัวสูงหน้าตลกนั่นเองแหละเป็นคนพูดประโยคนี้ขึ้นมา ไม่พูดเปล่า ยกจานข้าวเดินไปรอบโต๊ะ ชูช้อนแกว่งไปมาพร้อมเคาะหน้าผากคนได้ตลอดเวลาอีกต่างหาก

    “มันทำไมเหรอ ฉันก็ว่า... มันกินได้นี่” เฌลลี อ้อมแอ้มถาม ไม่เต็มปากเต็มคำนัก

    “ยัยบ๊อง ใครเขาหุงข้าวไม่เช็ดน้ำแบบนี้กันมั่ง ห๊า, อ่ะดมดิ๊... กลิ่นข้าวไหม้ชัดๆ เลย แล้วมันก็ไหม้ก้นหม้อด้วย ข้าวไม่สุกอีกต่างหาก บอกม๊า... ใครหุงข้าว” กลุ่มอื่นกำลังสนุกสนานกับมื้อค่ำของตัวเอง จึงไม่สนใจว่าเกิดอะไรขึ้นกับกลุ่มที่กำลังโหวกเหวกโวยวายอยู่นั้น เพราะแต่ละกลุ่ม ต่างก็แยกกันทำกับข้าว หุงข้าว กลุ่มใครกลุ่มมันไม่เกี่ยวข้องกัน ยกเว้นยืมน้ำปลา พริก เกลือ มะเขือ ลำไย เท่านั้น

    “นายเป็นใครเนี่ย ถึงได้โวยวายแหกปากลั่นโรงอาหารแบบนี้ ฉันเป็นรุ่นพี่ นายอยู่ปีไหน คณะอะไร”

    “ม่ายยยยโบกกกกก... ปล่อยให้งง มีไรมั้ยแป้นศรี”

    “ไอ้บ้า...” เธอพูดได้แค่นั้นก็สะบัดก้นลุกจากโต๊ะกินข้าวเข้าเต๊นท์ ไม่สนใจใครอีกเลย นักศึกษาทั้งกลุ่มนั่งอึ้งเพราะไม่มีใครกล้าบอกว่าคนที่หุงข้าวดิบบนก้นไหม้น่ะก็เจ๊คนที่เพิ่งสะบัดตูดหนีตะกี้แหละ...

    “พี่นนท์ฮะ พี่ไม่ต้องหาตัวคนหุงข้าวแล้วมั้งฮะ เพราะคนที่พี่หาอยู่น่ะ เดินหนีไปโน่นแล้วฮะ”

    “ก๊ากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก ยัยนั่นเองเหรอที่หุงข้าวไหม้ มิน่าเล่า ถึงได้ร้อนตัว” เขาไม่รู้หรอกว่ากับข้าวมื้อนั้นอร่อยหรือเปล่า พอๆ กับเฌลลีที่ไม่มีอะไรตกถึงท้องเลยนั่นแหละ เพราะพอเห็นเธอหนีเข้าเต๊นท์ไปเขาก็บอกรุ่นน้องให้แบ่งกับข้าวไว้ให้เธอ และเขาจะรอกินพร้อมเธอ แต่เฌลลีดันเผลอหลับจนถึงเช้า เขาก็เลยต้องอดข้าวถึงเช้าเหมือนกัน...

    ในท่ามกลางเด็กน้อยชาวเขาแก้มแดง ขี้มูกยืด มอมแมม นั้น ชายหนุ่มอุ้มเด็กตัวเล็กสุดขึ้นมาขี่คอพาเดินเล่น โดยมีเด็กๆ ในวัยไล่เลี่ยกัน วิ่งตามเป็นขบวน พอเบื่อวิ่งเล่นก็เล่านิทานให้เด็กๆ ฟังแล้วก็ชวนน้องๆ วาดรูป ดูเขาไม่เบื่อหน่ายที่จะอยู่กับเด็กๆ เฌลลีหมั่นไส้กับเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อวานจนไม่อยากจะเดินเข้าไปทักทาย เธอจึงเลี่ยงออกมาที่น้ำตกซึ่งไหลผ่านกลางหมู่บ้าน สายน้ำตกแห่งเดียวกันนี้ที่คนในหมู่บ้านใช้ ต้มน้ำชาดื่มแทนน้ำ

    “ไงแป้นศรี นั่งคนเดียวไม่เหงาเหรอ”

    “ฉันไม่ได้ชื่อแป้นศรี นายเป็นใคร”

    “ผม ก็เป็นผมน่ะสิ ว่าแต่ เมื่อวานผมขอโทษนะที่ทำให้คุณเสียหน้ากลางโรงอาหารน่ะ”

    “นายจะมาตอกย้ำซ้ำเติมฉันทำไมเนี่ย”

    “เปล่าตอกย้ำ แค่จะมาบอกวิธีหุงข้าวที่ถูกต้องเท่านั้นเอง”

    “ไม่ต้องเลย จะไปไหนก็ไป ไปให้ห่างๆ ฉัน ฉันเกลียดนาย”

    “เอ๊า... ซะงั้นน่ะ ผมบอกแล้วไง ว่าขอโทษคร้าบบบบบบ” พูดเปล่าเมื่อไหร่ แต่กลับยื่นหน้าทะเล้นๆ มาใกล้จนจมูกจะชิดหน้าอยู่รอมร่อ

    “ไปไกลๆ” ว่าจบก็ผลักร่างสูงนั้นออกห่างจนเสียหลักตกน้ำไป ก็เธอคว้าไว้ไม่ทันนี่ ช่วยไม่ได้...

    “เฮ้ย... ตายมั้ยนั่น” เขาจมลงไปแค่ครึ่งตัว แต่จากสภาพที่ไถลลงไปตามก้อนหิน คงเจ็บไม่หยอกอยู่หรอกนั่นน่ะ ก็สมควรกับปากอย่างนี้แล้วล่ะนะ

    “ถ้าลึกกว่านี้คงตาย”

    “หายกัน ฉันไม่โกรธนายแล้ว ขึ้นมา” เฌลลีพยายามจะดึงคนตัวสูงขึ้นจากน้ำ

    “ไม่ต้องเจ๊ เดี๋ยวก็ตกลงมาทับผม คราวนี้ผมคงตายแน่ ดูๆ แล้วคงหนักไม่ใช่เล่นเลยนี่”

    “งั้นขึ้นมาเองก็แล้วกัน เออ นี่ ฉันมีอะไรจะถามน่ะ เมื่อเช้าเห็นนายอยู่กับเด็ก นายทำยังไงให้พวกเค้าติดได้ขนาดนั้น ฉันเองเล่นกับเด็กพักเดียวพวกเขาก็เบื่อแล้ว”

    “ก็ลองถอดใจไปเป็นเด็กดูสิ ลองนึกดูนะว่าสมัยคุณเป็นเด็กน่ะ คุณชอบอะไร และไม่ชอบอะไร บางทีถ้าเรารู้สึกเป็นเด็กเหมือนพวกเค้า เราจะสนุกที่ได้เล่นเป็นเด็กๆ นะ”

    “ฉันยอมแพ้ ฉันแบกเสา สร้างโรงเรียนจะถนัดกว่า”

    “ผมก็ว่าอย่างนั้น แต่คุณอย่าวางคานเองนะ... งานนั้นให้ผู้ชายเค้าทำ มันมีอาถรรพ์นะรู้ป่าว”

    “ตาบ้า ปากคอนายนี่ ชาตินี้คงไม่มีใครเอาเป็นแฟน”

    “อ๊ะ มันก็ไม่แน่หรอกเจ๊ คนที่จะเป็นแฟนผมในอนาคต อาจจะเป็นเจ๊ก็ได้ใครจะไปรู้ ใช่ไหมเจ๊แป้นศรี”

    “ไม่มีทาง ไม่มีทางเด็ดขาด หัวเด็ดตีนขาดฉันก็ไม่มีวันเป็นแฟนกับนาย ที่แน่ๆ เทอมนี้เป็นเทอมสุดท้ายด้วย ฉันเรียนจบแล้วก็จะไปเรียนต่อเมืองนอกเลย รับรองได้ว่าไม่มีทางได้เจอนายอีกแน่ๆ เรื่องจะเป็นแฟนกับนายน่ะ...ชาติหน้าเถอะย่ะ” แต่ดูเหมือนเจ้าป่า เจ้าเขา ผีดอย ผีน้ำตก จะไม่เป็นใจนัก

    เพราะหลังจากนั้นมาเธอได้ก็ไม่ได้เจอกับเขาอีกเลยนอกจากได้ยินชื่อเสียงที่ดังกระฉ่อนคับมหาวิทยาลัย หลังจากเล่นบาสแล้วไปทำฝ่ายตรงข้ามปากแตก แขนหัก ขาเดี้ยง ดั้งยุบ นั่นแหละ ข้อมูลส่วนตัวที่เธอรู้คือเจ้าหนุ่มคางยื่น หน้ายาว ตัวสูงคนนั้น ก่อนเอ็นทรานส์เข้ามาเรียนที่นี่เขาเป็นเด็กเหรียญเงินฟิสิกส์โอลิมปิก เท่านั้นเอง

    สามปีผ่านไปไวเหมือนกามนิตหนุ่มตามหาวาสิฏฐี เฌลลีเรียนจบกลับเมืองไทยเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัยได้สักพักใหญ่และทนกับนโยบายทางการเมืองบางอย่างของสถาบันไม่ได้จึงลาออก แล้วไสหัวตัวเองจากสาทรฟ้าอมรเมืองบางกอกมาเขียนหนังสือที่บ้านนอกริมแม่น้ำจันทบุรี พร้อมกับเป็นอาจารย์พิเศษประจำมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งในภาคตะวันออก จนวันหนึ่งทางมหาวิทยาลัยส่งตัวไปสัมมนา เรื่องการพัฒนาบุคลากรในส่วนของอาจารย์จ้างสอนเพื่อทำตำแหน่งทางวิชาการ หนึ่งในผู้เข้าร่วมสัมมนา เป็นอาจารย์หนุ่มหล่อภาควิชาฟิสิกส์นิวเคลียร์ของมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งในเมืองหลวง...

    “หวัดดีเจ๊แป้นศรี”

    “เราเคยรู้จักกันมาก่อนหน้านี้ใช่ไหม” เฌลลีจำได้แม่นเลยแหละหมอนี่ แต่ก็ไว้เชิงด้วยการตั้งคำถาม

    “อ๊ะ แน่นอน ฉายาแป้นศรีเนี่ยผมเป็นคนตั้งให้เจ๊เอง จำไม่ได้เหรอ เจ๊เป็นคนผลักผมตกน้ำที่หมู่บ้านลาหู่ตอนไปออกค่ายเป็นครูอาสาของชมรมน่ะ ทำเป็นลืม เอ๊ะ หรือว่าลืมจริง ก็ตั้งสามปีแล้วนี่นะ เจ๊แก่ลงมากแล้วคงลืมจริงๆ นั่นแหละ”

    “คิดว่าฉันจะลืมนายง่ายๆ งั้นสิ ชะ ไม่มีทางหรอก นายแหละตัวดี ถ้าไม่ทำให้ฉันหน้าแตกกลางวงข้าว ป่านนี้ฉันคงหุงข้าวเป็นแล้ว”

    “หา อะไรนะ... ป่านนี้แล้วคุณยังหุงข้าวไม่เป็นเหรอเนี่ย”

    “ความผิดของนายนั่นแหละ จำไว้ ไอ้หน้ายื่น”

    “ไอ้หน้าแป้น”

    “ไอ้หน้ายื่น”

    “ไอ้แป้น”

    “ไอ้ยื่น”

    “ไอ้แป้น”

    “ไอ้ยื่น”

    เสียงเพลง เพราะฉะนั้นจึงรักกันเช่นฉะนี้ ดังขึ้นในหอประชุมหลังจบการสัมมนา มิตรภาพที่ต่างก็ไม่คิดว่าจะเริ่มต้นใหม่ได้อีกครั้ง ก็เริ่มหยั่งรากชอนไชลงในดิน (อย่างไม่ตั้งใจ)

    “ไปกินข้าวกัน เย็นนี้ ผมเลี้ยง”

    “ฉันก็อยากจะถามอยู่เหมือนกันว่าแกหายไปไหนมา สามปีน่ะ” สรรพนามเริ่มเปลี่ยนเป็นสนิทสนม

    “โอ้ย เรื่องมันยาว ว่าแต่กินอะไรดี คุณชอบกินอะไร ยกเว้นข้าวไหม้ ผมไม่มีรู้จะพาไปกินไหนนะ”

    “ฉันมีร้านประจำอยู่ตรงสาทรซอยสิบชื่อ Circle of friends ไง ชื่อร้าน เก๋มั้ย”

    “กู้ด...เหมาะกับการสานต่อมิตรภาพเป็นอย่างยิ่ง”

    ---------------

    จากคุณ : ดาริกามณี - [ 1 มี.ค. 50 11:25:44 ]

 
 


ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com | Torakhong.org | GameRoom