เจ็ดอาวุธกาลี
บทที่ 1 ทวนแตกดับ ตอนต้น
โดย...อุกเงียว
ภายใต้อากาศที่อบอ้าวแต่อับชื้น ท้องฟ้าเบื้องบนมืดครึ้ม ดูท่าอีกไม่นานคงมีสายพิรุณโปรยปราย
ณ ประตูทางเข้าร้านสุราซอมซ่อในหมู่บ้านชนบทอันห่างไกลและยากไร้ ซึ่งอันที่จริงสมควรเรียกเป็นเพิงโทรมโทรมแห่งหนึ่งเสียมากกว่า
ชายร่างใหญ่ที่มีหนวดเครารกครึ้มเดินแบกทวนสีดำขลับยาวราวหนึ่งวาครึ่งก้าวเข้าไปในเพิง
เจ้าของร้านชราเงยหน้าขึ้นจากโต๊ะบัญชีเก่าเก่าอย่างงวยงง เพราะหมู่บ้านแห่งนี้แทบไม่มีอาคันตุกะมาเยี่ยมเยือน โดยเฉพาะคนที่มองปราดเดียวก็ทราบว่าเป็นผู้ท่องยุทธจักร
เจ้าของร้านกล่าวต่อชายร่างใหญ่ที่แบกทวน
ร้านสุราเล็กเล็กของเรามีเพียงสุราเผาดาบและสุราขาวอันฉุนเฉียว ส่วนกับแกล้มมีเพียงขนมเปี๊ยะอันจืดชืดและถั่วลิสงอันแห้งฝ่อ เกรงว่าจะไม่ถูกปากตั่วเอี้ย (นายท่าน) ท่านนี้
เฮอะ ดูจากสภาพร้านรวงเราก็ไม่คาดหวังอันใดแต่แรก มีสิ่งใดล้วนยกมาเถิด
บนโต๊ะที่เอียงกระเท่เร่จัดตั้งไว้ด้วยสุราขาวหนึ่งไห ถ้วยสุราหนึ่งใบ ถ้วยใส่ถั่วลิสงหนึ่งใบและทวนสีดำขลับยาวราวหนึ่งวาครึ่งอีกหนึ่งเล่ม
ชายร่างใหญ่ที่มีหนวดเครารกครึ้มขบเคี้ยวเม็ดถั่วแห้งฝ่อพลางจิบสุรา
เพียงไม่นานประตูทางเข้าร้านสุราอันซอมซ่อก็ปรากฏร่างชายฉกรรจ์อายุราวยี่สิบหกยี่สิบเจ็ดปี สวมเสื้อผ้าเก่าขาดจนต้องปะชุนไปทั่วร่าง ผมเผ้ายาวรุงรังปิดใบหน้ากลิ่นตัวเหม็นคลุ้งเดินโซเซเข้ามาในร้านร้องสั่งเสียงอ้อแอ้
ตั่วแป๊ะ (ลุงใหญ่) ในมือข้าพเจ้ามีเงินสี่อีแปะสามารถดื่มได้มากน้อยเท่าใด
บ้อเมี้ย (ไร้ชื่อ) ดื่มสุราร้านเรามากี่ปีแล้วเคยจดจำราคาสุราในร้านบ้างหรือไม่ เงินสี่อีแปะดื่มได้ครึ่งไห แต่หากท่านไปเก็บกวาดคอกสุกรให้เราจะดื่มได้อีกหนึ่งป้านพร้อมกับถั่วลิสงจานหนึ่งเจ้าของร้านบอก
นั่นเป็นที่หลับนอนของข้าพเจ้าย่อมต้องเก็บกวาดอยู่ทุกวัน ตั่วแป๊ะมีงานใดไหว้วานอีกหรือไม่คนไร้ชื่อกล่าวด้วยน้ำเสียงมั่นคงขึ้น
เจ้าของร้านยิ้มส่ายหน้าแล้วกล่าว
เช่นนั้นท่านไปตัดไม้ฟืนที่ข้างห้องครัวแล้วยกเข้าไปภายในห้องเถิด เราจะตระเตรียมสุราไว้คอยท่า
คนไร้ชื่อค่อยมีรอยยิ้มบางบางที่มุมปาก มันเดินเซไปกระแทกโต๊ะเก้าอี้วกอ้อมออกไปห้องครัวที่อยู่ข้างหลังร้าน
ชายร่างใหญ่ที่มีหนวดเครารกครึ้มเห็นดังนั้นเพียงแค่นเสียงในลำคอ
.............................................................................................
เสียงผ่าฟืนในครัวค่อยเงียบไป คนไร้ชื่อตัวชุ่มเหงื่อโซเซเข้ามาในร้าน มันทรุดนั่งลงบนโต๊ะตัวที่อยู่มุมร้านอันเป็นจุดอับแสงที่สุด
เจ้าของร้านชราซึ่งทราบดีว่าเป็นโต๊ะที่มันนั่งเป็นประจำจึงจัดวางไหสุราไว้เป็นที่เรียบร้อย
กลิ่นตัวที่เหม็นคลุ้งอยู่แล้วของคนไร้ชื่อเมื่อผสมกับกลิ่นเหงื่อไคลทำให้เจ้าของร้านชราทำหน้าเหยเกกล่าว
พรุ่งนี้หากท่านไปตักน้ำที่บ่อหน้าหมู่บ้านมาราดรดตัว เราจะให้ท่านดื่มสุราอีกไหหนึ่ง
คนไร้ชื่อเพียงแย้มยิ้ม แต่ชายร่างใหญ่กลับกล่าวเสียงดัง
เล่าปั้ง (เจ้าของร้าน) เดรัจฉานที่เหม็นคลุ้งนี้รับจ้างทำงานทุกประเภทใช่หรือไม่!
เจ้าของร้านชรารับคำอย่างหวาดหวั่น แต่มือของคนไร้ชื่อที่จับถ้วยสุรากลับเกร็งจนเส้นเอ็นปูดโปน
ชายร่างใหญ่ดื่มสุรารวดเดียวหมดถ้วยแล้วยกทวนสีดำขึ้นพาดบ่า มันหันหน้าไปกล่าวกับคนไร้ชื่อ
หากท่านเข้ามาประมือกับเรา เราจะซื้อร้านสุราโสโครกนี้ให้เป็นหลุมฝังศพของท่านเป็นไร!
เสียงเพล้ง ถ้วยสุราในมือของคนไร้ชื่อถูกบีบจนแตกละเอียด ชายร่างใหญ่กล่าวต่อ
ดูสภาพของท่านเสียบ้างบัดนี้เป็นประดุจซากศพตนหนึ่ง ความองอาจเมื่อคราวกวาดล้างเหล่าอันธพาลน้อยใหญ่ ความกล้าหาญดุดันที่แสดงบน ไป่เทียนไท้ (แท่นคารวะฟ้า) หายไปที่ใดเสียแล้ว
มารดามัน! แต่นั่นล้วนไม่ข้องเกี่ยวกับเรา หยิบยื่นค่าหัวของท่านมาอย่าได้รีรออันใดเลย จับเมี่ยเงียวอ้วง (จ้าววิฬาร์สิบชีวิต)!
คำสุดท้ายชายร่างใหญ่กล่าวเน้นอย่างหนักแน่น
เจ้าของร้านชราเลิกคิ้ว แม้มันอาศัยอยู่ในชนบทห่างไกลกลับเคยได้ยินฉายานี้มาไม่น้อย มันหวนนึกถึงเคยใช้ชายผู้นี้ทำงานต้อยต่ำทั้งยังให้หลับนอนในคอกสุกรจึงกล่าวเสียงสั่น
ผู้ต่ำต้อยไม่ทราบว่าเป็นจับเมี่ยไต้เฮียบ (ผู้กล้าสิบชีวิต) การกระทำที่ผ่านมาโปรดอภัยให้ผู้ต่ำต้อยด้วยกล่าวจบก็ก้มกายลงกราบกรานคนไร้ชื่อด้วยตัวสั่นเทา
คนไร้ชื่อกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
ตั่วแป๊ะได้โปรดลุกขึ้นก่อน ฉายาจับเมี่ยเงียวอ้วงไม่เคยมีมาแต่แรก เบื้องหน้าท่านย่อมเป็นบ้อเมี้ย (ไร้ชื่อ) เสมอมา
ชายร่างใหญ่ตบโต๊ะเสียงดังพลันลุกขึ้นใช้ทวนชี้หน้าคนไร้ชื่อ
ปากท่านแม้ไม่ยอมรับแต่เบื้องลึกในจิตใจท่านสามารถปฏิเสธได้หรือ!บรรดาญาติมิตรของผู้ตกตายบนแท่นคารวะฟ้าล้วนต้องการศีรษะท่านเป็นเครื่องส่งวิญญาณคนเหล่านั้น
พวกมันล้วนสมควรจบชีวิตลงแล้ว ท่านมาทวงถามอันใด!คนไร้ชื่อยืนขึ้นบ้างแต่ร่างกายมันซวนเซ มิทราบเป็นเพราะฤทธิ์สุราหรือเพราะความเจ็บช้ำใจ
ชายร่างใหญ่เชิดหน้ากล่าว
ถูกแล้วพวกมันสมควรตกตาย เราก็สมควรตกตาย แต่มีเพียงท่านหรือที่ถือสิทธิ์ตัดสินถูกผิดดีเลว มีเพียงท่านหรือที่ถือสิทธิ์มีลมหายใจ!
หากท่านมีชีวิตอยู่แล้วทำตัวตกต่ำไร้ค่าเช่นนี้มิสู้ตกตายไปอย่าได้ให้คนในหมู่บ้านสิ้นเปลืองเงินทองเลี้ยงดูท่านเยี่ยงนี้!
คนไร้ชื่อเมื่อได้ฟังก็ยืนตะลึงแน่นิ่ง มันครุ่นคิด
ชายร่างใหญ่เบื้องหน้าแม้มีเจตนามาเข่นฆ่าเราให้ด่าวดิ้น แต่ทุกคำพูดที่มันกล่าวล้วนไขความอัดอั้นตันใจที่มีมาเนิ่นนาน
แรกเริ่มตัวเราคิดว่าการประหารคนชั่วคือสิ่งที่ถูกต้อง เมื่อเห็นซากศพก่ายกองบนแท่นคารวะฟ้าจึงสับสนคิดหลีกหนีคำตอบและความเป็นจริง
หลายปีมานี้คนในหมู่บ้านอันยากไร้มีเมตตาต่อคนไร้ค่าเยี่ยงเราจริงแท้
การที่สวรรค์ประทานกำลังความสามารถให้เรานั้นย่อมต้องมีสาเหตุ
การที่เราละเลยบทบาทและหน้าที่อันยังมิสามารถสรุปได้ว่าถูกหรือผิด แม้เช่นนั้นก็ยังเป็นการย่ำยีต่อสิ่งที่สวรรค์ประทาน
วันนี้คำตอบที่ดีที่สุดสำหรับเส้นทางที่เราควรมุ่งไปยังมิปรากฏ แต่เราขอละทิ้งความสับสนสิ้นหวังหวนคืนสู่ยุทธจักรอันโหดร้ายเพื่อสนองคุณคนในหมู่บ้านเป็นเบื้องต้นก่อนเถิด
คิดได้ดังนั้นแล้วคนไร้ชื่อจึงยกมือขึ้นเกล้าผมอันรุงรัง เผยให้เห็นใบหน้าอันองอาจและแววตาแกร่งกร้าว มันกล่าวกับชายร่างใหญ่ว่า
ที่ท่านกล่าวมาล้วนถูกต้อง เชิญออกไปยังลานกว้างนอกร้านนี้ก่อนเถิด ข้าพเจ้าเก้าเมี่ยเงียว (แมวเก้าชีวิต) ยินดีต่อกรกับท่านจวบจนทราบผลเป็นตาย
เราฉายา ตั้งอีทิซัว (ภูเขาเหล็กเสื้อทองแดง) ในมือถือ ทวนแตกดับ จะขอรับศีรษะและชีวิตทั้งสิบของจับเมี่ยเงียวอ้วง (จ้าววิฬาร์สิบชีวิต) ใต้เพิงขายสุราซอมซ่อแห่งนี้!
กล่าวจบภูเขาเหล็กเสื้อทองแดงก็ร่ายรำเพลงทวนออกทิ่มแทงแมวเก้าชีวิตคราเดียวสิบแปดกระบวนท่า
แมวเก้าชีวิตแม้ขาดการฝึกปรือฝีมือไปถึงห้าปีแต่การสลับเท้าหลบหลีกครานี้กลับทำได้หมดจดงดงาม ปลายทวนแหลมคมทั้งสิบแปดทิ่มแทงเข้ายังฝาไม้ที่ตีบนเคร่าเป็นผนังเพิง
ไม้ฝาทั้งสิบแปดชิ้นแตกระเบิดเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย เก้าเมี่ยเงียวเลิกคิ้วเบิกตาดูอย่างตระหนก
ทวนซึ่งเป็นอาวุธแหลมคม ผลของการโจมตีสมควรจะเป็นร่องรอยกรีดแทง แต่ที่แผ่นไม้แตกระเบิดออกจากกันนั้น สรุปได้ประการเดียวคือภูเขาเหล็กเสื้อทองแดงถ่ายทอดพลังปราณผ่านด้ามทวนเข้าสู่ส่วนปลายกระแทกวัตถุจนแตกหัก
...แต่นั่นจะเป็นไปได้หรือ
เจ้าของร้านชราเผ่นออกจากร้านแต่แรก เก้าเมี่ยเงียวพลิกมือสะบัดเก้าอี้ไม้ไผ่เข้ากระแทกภูเขาเหล็ก
ขณะที่เก้าอี้ไม้ไผ่ลอยอยู่กลางอากาศ เก้าเมี่ยเงียวเตะขาโต๊ะข้างหนึ่งให้หักปลิวมาเข้ามือและลอบถ่ายทอดลมปราณเข้าสู่ขาโต๊ะไม้ กระโดดลอยตัวตามเก้าอี้ทิ่มแทงขาโต๊ะออกด้วยท่วงท่าพื้นฐานของการใช้ทวน
ภูเขาเหล็กเสื้อทองแดงแทงทวนใส่ เก้าอี้ไม้ไผ่ก็ระเบิดออกจากกัน ส่วนปลายของขาโต๊ะจากมือเก้าเมี่ยเงียวตามติดมาทันที มันเพียงแสยะยิ้มเบี่ยงปลายทวนเล็กน้อยเข้าปะทะ ขาโต๊ะในมือเก้าเมี่ยเงียวก็แตกออกเป็นชิ้น
เก้าเมี่ยเงียวอาศัยพลังกระแทกถอยลอยตัวลงสู่พื้น เมื่อปลายทวนและขาโต๊ะกระแทกกันมันทราบทันทีว่าภูเขาเหล็กเสื้อทองแดงมิได้โคจรลมปราณใดใดผ่านตัวทวนเลย นั่นยิ่งสร้างความฉงนให้แก่มันยิ่งนัก มันเตะขาเก้าอี้เข้าสู่มือและเข้าจู่โจมอีกครั้ง ภูเขาเหล็กตวาด
ยังคิดอ่านทดสอบอันใด!
ผลลัพธ์ออกมาเช่นเดิม ภูเขาเหล็กเสื้อทองแดงรวบทวนเข้าแนบกาย มือหนึ่งหยิบถ้วยสุราขึ้นดื่มแล้วกล่าว
จับเมี่ยเงียวอ้วง ท่านคงคาดคิดว่าเราถ่ายทอดปราณผ่านปลายทวนเข้ากระแทกวัตถุให้แตกออกจากกันใช่หรือไม่
เก้าเมี่ยเงียวไม่กล่าวอันใด ภูเขาเหล็กเสื้อทองแดงกล่าวต่อ
นับแต่นี้ประวัติศาสตร์พันปีของยุทธจักรต้องจารึกบทใหม่แห่งการต่อสู้ด้วย ทวนแตกดับ ในมือเรา กาลเบื้องหน้าสืบไปศาสตราที่มีอานุภาพแฝงเร้นจะถือครองยุทธจักร ชาวยุทธทั้งหลายเมื่อได้ยินนามต้องแตกตื่นจนต้องหลบลี้หนีหน้า นามของจับเมี่ยเงียวอ้วงจะถูกจดจำว่าโดนประหารล้มลงภายใต้หนึ่งใน เจ็ดอาวุธกาลี!
เก้าเมี่ยเงียวเมื่อได้ฟังยิ่งไม่กล่าวอันใด
สายฝนเทลงมาแล้วท่ามกลางความอบอ้าวอับชื้น
บรรยากาศใต้เพิงสุรายิ่งเคร่งเครียดจนอึดอัด...
(โปรดติดตามตอนต่อไป)
จากคุณ :
อุกเงียว
- [
1 มี.ค. 50 14:46:06
]