บันทึกของคนเดินเท้า
การปฏิบัติธรรม....ไม่ยากอย่างที่คิด
ได้เล่าถึงการรักษาศีลข้อที่ ๑ ไปแล้ว คราวนนี้มาเล่าต่อ
ศีลข้อที่สอง สำหรับผมที่มีบำนาญพอกิน พอเลี้ยงครอบครัวแล้ว ก็ไม่ต้องไปลักขโมยใคร หรือไม่อยากได้ของใครที่เขาไม่ได้ให้เรา พอใจอยู่แต่เพียงสิ่งที่เราควรได้เท่านั้น เท่านี้ก็ปลอดภัยแล้ว
แต่ควรจะเพิ่มการบริจาคทานด้วย ท่านว่าเมื่อเรามีพอกินแล้ว ส่วนที่เกินก็ควรจะบริจาคให้แก่ผู้ที่ขาดแคลนบ้าง
ผมก็พยายามแบ่งเงินเอาไว้ทำบุญทำทานพอสมควร ถ้าเป็นขอทานก็ให้รายละสองบาท ไม่เลือกเพศเลือกวัย ไม่เลือกว่าวนิพกหรือคนพิการ เขาจะเอาไปทำอะไรก็เป็นเรื่องของเขา ถ้าเขาเอาไปซื้อข้าวกิน เขาก็อิ่ม ถ้าเอาไปซื้อกาวดม เขาก็เมา ไม่เกี่ยวกับเรา
ผมพยายามช่วยเหลือผู้ที่ด้อยโอกาสกว่าเราเสมอ เท่าที่จะทำได้ ผมมีงบบริจาคสำหรับการสาธารณกุศลทุกเดือน เปลี่ยนที่กันไปเรื่อย ๆ
เช่นมูลนิธิเกี่ยวกับเด็ก มูลนิธิเกี่ยวกับคนพิการ มูลนิธิเกี่ยวกับสัตว์เลี้ยง เป็นต้น
ส่วนเรื่องผ้าป่ากฐินก็ปวารณาไว้เลยว่า ใครอยากจะให้ผมทำบุญก็ใส่ชื่อไปเลยโดยไม่ต้องขออนุญาต แต่อย่าเอาไปเป็นประธานหรือรองประธานเลย เพราะจะช่วยเพียงซองละร้อยเดียวเท่านั้น ก็ได้ทำบุญอยู่ทุกปีเป็นประจำ
ศีลข้อที่สามเป็นเรื่องของกิเลสคือความอยาก ในสิ่งที่ไม่เหมาะสม เมื่อเวลาผ่านไปจนสังขารร่วงโรย ไม่มีใครเขาเหลียวแลแล้ว การไม่ผิดศีลในข้อนี้จึงทำได้ง่ายมาก เพราะปัจจัยที่แปลว่าเงินก็มีแค่เพียงพอกิน ไม่เหลือเฟือพอที่จะอุปการะหรืออุปถัมภ์ใครได้อีก
สมัยที่เขามีเทาว์เฮ้าส์หนึ่งหลัง รถเก๋งหนึ่งคัน เงินเดือนหนึ่งหมื่นนั้น สำหรับผมไม่เคยพานพบ มาสมัยนี้ก็เลยรอดตัวไปได้ ไม่หลงติดอ่าง ฟังเพลงแกล้มเหล้า เฝ้านักร้อง เพราะอยู่บ้านก็แค่ กิน ถ่าย แล้วก็นอนเท่านั้น ชีวิตก็เป็นสุขแล้ว
ศีลข้อที่สี่ซึ่งปฏิบัติได้ยากมากนั้น ต้องอาศัยรู้ตัวอยู่ตลอดเวลา ว่าจะไม่พูดเท็จ หรือโกหก
สมัยก่อนที่ไปกินเหล้ากับเพื่อนหลังเลิกงาน แล้วบอกว่าติดประชุมนั้น ก็ไม่มีข้ออ้างแล้ว เรื่องอื่นก็ไม่มี จะไปไหนมาไหนก็บอกกล่าวกันไปตามตรง เรื่องใดไม่อยากพูดก็นิ่งเสีย
ศีลข้อนี้ท่านเพิ่มเติมว่า ไม่พูดโกหก ไม่พูดคำหยาบ ไม่พูดส่อเสียดยุยง ไม่พูดเพ้อเจ้อ แล้วต้องพูดด้วยวาจาไพเราะอ่อนหวาน พูดให้สมานไมตรี พูดให้มีประโยชน์ อีกด้วย ซึ่งก็ทำได้ไม่ยากเย็น
สำหรับผมเมื่อรับศีลกลับจากวัดแล้ว ผมก็แวะเข้าไปอ่านหนังสือในหอสมุดแห่งชาติ ไม่ได้พูดกับใครเลย จนเย็นก็กลับมากินข้าวบ้าน ไม่ดูทีวี ไม่อ่านหนังสือพิมพ์ ฟังเพลงที่ทำให้ใจเยือกเย็น แล้วก็เข้านอน
ก่อนนอนก็สวดมนต์บทสรรเสริญพระรัตนตรัย แบบที่เราเคยสวดสมัยอยู่โรงเรียน ทำให้หลับสบายไม่ฝันร้ายอีกด้วย
ศีลข้อสุดท้ายซึ่งเป็นกิจที่ทำมานานหลายสิบปี คือการดื่มแอลกอฮอล์
สุราเมระยะ ท่านแปลว่าสุราเมรัย อันได้แก่เหล้าและเบียร์ บรั่นดี ไวน์ น้ำขาว น้ำตาลเมา กระแช่ อุ สาโท
ส่วนมัชชะ ท่านแปลว่าสิ่งเสพติดทั้งปวง อันได้แก่ฝิ่น กัญชา เฮโรอีน ยาบ้า ยาขยัน ยาเลิฟ กระท่อม หมากพลู บุหรี่ ยานัดถุ์ เป็นต้น
ว่าที่จริงพวกเครื่องดื่มประเภทบำรุงกำลังขวดเล็ก ๆ ก็น่าจะอนุโลมเข้าด้วย เพราะมีตัวที่ทำให้เสพติดได้เหมือนกัน
บุหรี่ผมก็เลิกสูบมาตั้งแต่อายุได้สามสิบกว่า ๆ นอกนั้นไม่ได้แตะต้องเลย เหลือแต่เบียร์เติมโซดา มื้อละขวดสองขวดเท่านั้น ซึ่งสามารถจะงดได้ไม่ยาก
ท่านนักเขียนการ์ตูนระดับรางวัลแม็กไซไซ ท่านบอกว่าเมื่อถึงเวลาอาหารมื้อใดก็ตามรีบกินข้าวให้อิ่มเสียโดยเร็ว มันก็ไม่อยากกินเหล้าไปเอง
แต่ใช้ไม่ได้สำหรับผมและเพื่อนของผมบางคน เพราะกินข้าวแล้วก็ยังกินเหล้าเบียร์ต่อได้อีก ถ้าตั้งใจจะงดก็งดในวันนั้นตลอดวันหนึ่งคืนหนึ่งเลยทีเดียว
ทั้งหมดนี้เป็นการเล่าถึงความพยายามของผม ที่จะรักษาศีลห้าในวันสำคัญของพุทธศาสนา ไม่ได้เจตนาจะสั่งสอนผู้ใด ให้เชื่อหรือให้ทำตาม
ทุกคนมีกรรมเป็นของตน มีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์ มีกรรมเป็นที่พึ่งอาศัย และต้องได้รับผลของกรรมนั้น ๆ ไม่ว่าจะดีหรือชั่วก็ตาม
ที่ผมพยายามจะรักษาศีลก็เพราะคิดว่าได้ทำชั่วมานานแล้ว เหลือเวลาอีกไม่มากนักก็ควรจะสะสมความดีไว้บ้าง ดังที่ท่านสอนไว้ว่า
จงละความชั่วทั้งปวง กระทำความดีให้ถึงที่สุด และทำใจให้สะอาด สว่าง สงบ นั่นเอง
และอย่าลืมว่า ผมก็ทำเท่าที่จะสามารถทำได้เท่านั้น
แม้จะไม่ยากนักก็ตาม.
#############
แก้ไขเมื่อ 04 มี.ค. 50 20:43:45
จากคุณ :
เจียวต้าย
- [
4 มี.ค. 50 05:20:34
]